เจียงจี้หลิวกวาดสายตาสำรวจมองสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่ด้วยความชื่นชม เงียบสงบและร่มรื่น ไม่ต่างจากสวรรค์บนดิน นับว่าเจ้ามีรสนิยมที่ดีเลิศ
พูดได้ดี
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
เจียงจี้หลิวกล่าวว่า บ้านของเจ้าสวยมาก
ไม่นานต่อมา ทั้งสองหนุ่มก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารภายในบ้านพัก
เมื่อผู้เป็นอาคันตุกะเปิดดินปิดฝาไหสุราออก
กลิ่นหอมหวลชวนสูดดมก็ลอยในอากาศ
ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นนักดื่มตัวยง ดังนั้น ข้าจึงซื้อสุราดาราสมุทรซึ่งเป็นสุราชื่อดังประจำเมืองเจาฮุย มาให้เจ้าได้ลองชิมโดยเฉพาะ
เจียงจี้หลิวตบไหสุราแผ่วเบา
ของเหลวที่อยู่ในไหบางส่วนกระเด็นขึ้นมาลอยเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินอ้าปากงับของเหลวเหล่านั้นเข้าปากด้วยความแม่นยำ
พลัน ความร้อนสายหนึ่งก็แล่นผ่านลำคอกระจายไปตามแขนขา หลินเป่ยเฉินรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในพริบตา เหมือนจิตวิญญาณได้ผ่านการชำระล้างอย่างไรอย่างนั้น
นับว่าเป็นสุราที่ประเสริฐ
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและถามออกมาอีกครั้ง ว่าแต่เจ้าไม่ได้ใส่ยาพิษในสุราไหนี้จริงๆ ใช่ไหม?
เจียงจี้หลิวยิ้มแย้มเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินช่างเป็นคนมีอารมณ์ขันเกินกว่าที่ข้าคาดคิดทีเดียว
พูดจบแล้ว เขาก็ยกไหขึ้นดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
บังเกิดเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากด้านข้างตำหนักไม้ไผ่
เสียงนี้คืออะไร… เจียงจี้หลิวถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินดื่มสุราชื่อดังจากต่างเมือง 3 ถ้วยรวด ก่อนตอบว่า อ้อ เป็นเสียงสัตว์เลี้ยงกับสหายของข้ากำลังฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ด้วยกันนะ
คนกับสัตว์เลี้ยงฝึกวิทยายุทธ์ด้วยกัน?
เจียงจี้หลิวเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปาดคราบสุราออกไปจากมุมปาก หากเจ้ามาตรวจสอบที่นี่ทุกวัน ก็คงได้ทราบว่ามันถือเป็นเรื่องปกติที่สุดแล้ว
เจียงจี้หลิวเพียงยิ้มตอบกลับมา
ยิ่งได้รู้จักหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมคนคนนี้มากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่แปลกใหม่ ลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนใคร แม้เป็นพวกปากร้าย แต่จิตใจของหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้เลวทราม
บุคคลเช่นนี้สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้อื่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว
บุคคลเช่นนี้เหมาะสมกับการคบหาเป็นสหายอย่างที่สุด
แต่ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
เจียงจี้หลิวนำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ และนำมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร พูดว่า หลินเป่ยเฉิน รบกวนเจ้าช่วยอ่านก่อน
หลินเป่ยเฉินดื่มสุราเลิศรสอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ ถามว่า อะไรรึ? อย่าบอกนะว่าเจ้าจะมอบคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ให้กับข้า? ช่างเป็นคนใจดีอะไรเช่นนี้
ระหว่างที่พูด หลินเป่ยเฉินก็หยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคลี่ออกอ่าน
แล้วสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในพริบตา
สัญญามอบชีวิต?
เขาตวัดสายตามองหน้าเจียงจี้หลิว เจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?
เจียงจี้หลิวกลับมามีสีหน้าเย็นชาอีกครั้งพร้อมกับตอบว่า นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ดีกว่าทางออกที่ข้าเสนอเจ้าอีกหรือ?
ไม่ใช่อย่างนั้น
เจียงจี้หลิวอธิบายต่อ นี่คือทางออกจากปัญหาที่ดีที่สุด
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว เจ้ามีพลังปราณธาตุสายฟ้า และมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 4 เจตนาถือสัญญาส่งมอบความตายมาให้คู่ต่อสู้ ซึ่งมีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 ลงนาม เช่นนี้ไม่ต้องหิ้วสุรามาฝากกันก็ได้กระมัง
พลัน เจียงจี้หลิวพูดด้วยสีหน้าจริงจังมากกว่าเดิม ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้ามีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 เลยนะ เพราะว่าเจ้ายังมีความลับอีกหลายอย่างซุกซ่อนอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยอมลงนามในสัญญาส่งมอบความตายนี้ แต่ก็ไม่มีใครทราบเลยว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรได้บ้างในวันประลองจริง
ข้ามันร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินดื่มสุราดาราสมุทรจนหมดถ้วยในรวดเดียว หลังจากนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าใจว่า แล้วถ้าเกิดข้าเป็นเพียงผู้ที่มีพลังยุทธขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 จริงๆ ล่ะ?
เจียงจี้หลิวตอบว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็จะโดนข้าสังหารโหด ตายคาเวทีอย่างน่าอนาถ ต่อหน้าคนดูจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เจ้าไม่คิดว่ากำลังเอาเปรียบข้าเกินไปหน่อยหรือไง
เมื่อสักครู่นี้ เขายังมีความรู้สึกดีๆ กับเจียงจี้หลิว แต่บัดนี้ ความเกลียดชังเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉินแล้ว
เจียงจี้หลิวยิ้มแย้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ถ้าไม่เป็นฝ่ายเอาเปรียบคนอื่น ก็ต้องตกเป็นฝ่ายที่ถูกคนอื่นเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจถึงหลักการนี้ตั้งนานแล้วนี่ ในเมื่อเจ้าลงมือก่อเหตุโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เจ้าก็สมควรต้องยอมรับผลกรรมที่ก่อไว้ไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในคาบเรียนวิชาศีลธรรมไม่มีผิด
หลินเป่ยเฉินยกมือตบไหสุรา ยิ้มแย้มและกล่าวว่า แต่ปัญหาก็คือสำหรับข้าแล้ว การลงนามในสัญญามอบชีวิตในการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไหร่
เขายังจำได้ดีถึงคำแนะนำของนักพรตหญิงชิน จึงไม่มีทางลงนามในสัญญามอบความตายโดยพละการเด็ดขาด
เจียงจี้หลิวส่ายหน้าปฏิเสธ ผิดแล้ว สัญญามอบความตายนี่แหละ คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนามยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว เจ้าหมายความว่าอย่างไร?
เจียงจี้หลิวก้มหน้าลง ไม่ตอบคำถาม
ผ่านไปอึดใจใหญ่ มือกระบี่ผู้หล่อเหลาจากเมืองเจาฮุยก็เงยหน้าขึ้นมา พูดว่า มีแต่เพียงวิธีนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถรักษาชีวิตญาติสนิทมิตรสหาย ผู้คนรอบตัวของเจ้า รวมถึงรักษาชีวิตสัตว์เลี้ยงของเจ้าเอาไว้ได้
หืม?
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
เขาถามกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา นี่เจ้ากำลังขู่ข้า?
เจียงจี้หลิวพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง จะว่าอย่างนั้นก็ได้
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก ก่อนพูดว่า พอจะบอกได้หรือไม่ ถ้าข้าไม่ลงนามในสัญญามอบความตาย คนรอบตัวของข้าที่เจ้าจะเล่นงานมีใครบ้าง?
เจียงจี้หลิวตอบว่า ถึงแม้บิดาเจ้าจะทำให้ตระกูลล่มสลาย แต่เจ้าก็ยังคงมีสหายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียง มี่หรู่หยาน แล้วก็คนที่เป็นเหมือนครอบครัวของเจ้าอีกนับไม่ถ้วน อย่างเช่นหวังจง สองสาวรับใช้ประจำตัว เหล่าลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม แล้วก็อันธพาลข้างถนนที่ชื่อกงกง รวมไปถึงลูกน้องของมันอีก 40 กว่าคน ยังไม่รวมถึงชาวเมืองที่แอบทำงานลับๆ ให้กับเจ้าอีกจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินถามกลับไป หากข้าไม่ลงนามในสัญญามอบความตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?
เจียงจี้หลิวตอบว่า ข้าไม่สามารถรับประกันได้
นี่เจ้าเป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ
เจียงจี้หลิวพยักหน้าตอบรับไม่สะทกสะท้านใดๆ
หลินเป่ยเฉินพลันหัวเราะในลำคอ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงผิดหวังแล้ว
เจียงจี้หลิวไม่พูดคำใด
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ เพราะข้าก็เป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นกัน
ในเมื่อหลินเป่ยเฉินเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอาย เขาย่อมไม่เป็นห่วงชีวิตผู้อื่นอยู่แล้ว
เจียงจี้หลิวพยักหน้าและลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ต้องยอมรับว่าเจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ลองคิดดูอีกครั้ง เจ้ามีเวลาตัดสินใจก่อนการแข่งขันรอบสุดท้ายกับข้าวันพรุ่งนี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น เจ้ายังสามารถเปลี่ยนใจลงนามในสัญญามอบชีวิตได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินยังคงนั่งหัวเราะอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม เจ้าแน่ใจหรือว่าจะได้เข้าไปเจอข้าในรอบสุดท้ายจริงๆ?
เจียงจี้หลิวพยักหน้าอีกครั้ง หากเจ้าสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบนั้นได้สำเร็จ ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้ขบคิดอีกสักครั้ง ก่อนที่เราจะเริ่มประลองกัน
พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มเจ้าของฉายามือกระบี่พันหน้าก็เดินออกไปจากตำหนักไม้ไผ่
ม้วนสัญญาส่งมอบความตายยังคงวางอยู่บนโต๊ะอาหาร
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
เขาจ้องมองแผ่นหลังของเจียงจี้หลิวพร้อมกับถอนหายใจออกมาและพูดว่า บอกตามตรงเลยนะ ข้าก็ผิดหวังในตัวเจ้าไม่น้อยเช่นกัน ข้าเกือบจะมองเจ้าเป็นคนใหม่เสียแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอถอนคำพูดทุกอย่างกลับคืนก็แล้วกัน เจ้าไม่มีค่าคู่ควรที่จะมาเป็นสหายของข้า
เจียงจี้หลิวเดินหายลับไปจากตำหนักไม้ไผ่โดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอย่างเชื่องช้า
หวังจง
เขาตะโกนเรียกเสียงดัง เจ้าไปตายอยู่ที่ไหนแล้ว?
พ่อบ้านหวังรีบออกไปทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จเจ้าค่ะ เห็นว่ากลุ่มหาข่าวในเมืองมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรายงานให้ทราบ เฉียนเหมยยื่นศีรษะเข้ามาจากห้องนั่งเล่นและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเอง
เจียงจี้หลิวนี่มันเป็นมหันตภัยของเขาจริงๆ
ถ้าเกิดอีกฝ่ายจับตัวญาติพี่น้องของฮันปู้ฟู่ มี่หรู่หยาน หรือเยว่หงเซียงมาข่มขู่ให้เขาลงนามในสัญญามอบชีวิต หลินเป่ยเฉินจะทำอย่างไรดี?
เฮ้อ
เขาก็คงทำได้เพียงหันหน้าหนีและปฏิเสธไม่รู้จักทุกคนเท่านั้น
ก็คนเหล่านั้นไม่ใช่ญาติพี่น้องของเขาสักหน่อยนี่นา ทำไมจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วย?
สถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก
นี่คือวิธีคิดที่หลินเป่ยเฉินบอกกับตนเองเสมอเวลาเจอปัญหา
แต่ในทันใดนั้น…
ก๊อกก๊อกก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู ในมือของเขามีกล่องใส่อาหารสีดำถืออยู่เด่นหรา ท่านคือคุณชายหลินเป่ยเฉินใช่ไหมขอรับ?
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่ชอบใจ ข้าเป็นถึงหนุ่มหล่ออันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง เจ้าเป็นใครมาจากไหน? เพราะเหตุใดถึงไม่รู้จักข้า?
เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย รีบเดินเข้ามาวางกล่องอาหารสีดำไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า มีคนสั่งให้ข้าน้อยนำกล่องอาหารมาส่งมอบขอรับ
หืม?
ใครกันนะอยากจะเลี้ยงข้าวเขา?
หลินเป่ยเฉินสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง รีบเปิดกล่องอาหารออกดูทันที
กลิ่นเลือดโชยออกมาจากด้านใน
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปในพริบตา
ด้านในกล่องอาหารชั้นแรก บรรจุไว้ด้วยมือมนุษย์ข้างหนึ่ง
เป็นมือมนุษย์ที่สดใหม่ ถูกตัดเสมอข้อด้วยอาวุธคมกริบ