ดูเหมือนว่านักพรตหญิงชินคงไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
มิฉะนั้น นางก็คงไม่รบกวนขอความช่วยเหลือจากบุรุษหน้ากากแดงเป็นแน่แท้
เพราะนี่นับเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
นักพรตหญิงชินรู้ทั้งรู้ว่าบุรุษหน้ากากแดงมักต่อสู้โดยไม่ใส่เสื้อผ้า แต่นางไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
เจ้าหมอนั่น… บางครั้งก็ติดต่อได้ แต่บางครั้งก็ติดต่อไม่ได้ขอรับ
หลินเป่ยเฉินตอบ
เด็กหนุ่มตั้งใจเรียกบุรุษหน้ากากแดงว่าเป็น ‘เจ้าหมอนั่น’ เพื่อป้องกันไม่ให้นักบวชสาวทั้งสองคนเชื่อมโยงมาได้ว่าบุรุษหน้ากากแดงกับเขาคือคนคนเดียวกัน
เผื่อพวกนางอาจจะสงสัยอยู่ก็เป็นได้
แล้วนักพรตหญิงชินจะจัดการอย่างไรต่อไปนะ?
หัวหน้านักบวชสาวมีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย
ไม่เป็นไร ลองติดต่อเขาดูก่อนก็ได้ นักพรตหญิงชินพยักหน้า พูดว่า ก่อนตะวันขึ้นวันพรุ่งนี้ ช่วยมาบอกข้าด้วยก็แล้วกันว่าเจ้าติดต่อเขาได้หรือไม่
หลินเป่ยเฉินรับปากว่าจะรีบปฏิบัติตามทันที ส่วนในเวลาระหว่างนี้ เขาก็คิดหาทางออกให้ตนเอง
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ท่านนักพรตหญิงชินขอรับ ข้าน้อยอยากออกไปต่อสู้ด้วยจริงๆ ไม่มีใครเหมาะสมสำหรับการต่อสู้ตัวต่อตัวยิ่งไปกว่าข้าน้อยอีกแล้ว ที่สำคัญ ข้าน้อยไม่ถนัดการรับหน้าที่คอยคุ้มกันคนอื่นเลย ได้โปรดท่านนักพรตหญิงชินช่วยลองทบทวนดูใหม่อีกสักครั้ง
นักพรตหญิงชินไม่ตอบคำถามโดยตรง แต่นางเปิดฉากถามกลับมาว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าได้เรียนรู้วิธีการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าบัดนี้ฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว?
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปโดยเร็ว ข้าน้อยตั้งใจฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนเลยขอรับ บัดนี้ ข้าน้อยจึงสามารถโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานได้แล้ว น่าทึ่งใช่ไหมล่ะขอรับ? หุหุ หากท่านนักพรตหญิงชินไม่เชื่อ ข้าจะกางปีกกระบี่ให้ดูเดี๋ยวนี้…
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ทำท่าจะรวบรวมพลังปราณศักดิ์สิทธิ์
อย่านะเจ้าคะ…
เยว่เว่ยหยางพลันส่งเสียงห้ามด้วยความตกตะลึง
ถ้าหลินเป่ยเฉินมีปีกกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้นมาพวกนางจะทำอย่างไร?
บ้านพักหลังนี้ไม่พังถล่มลงไปทั้งหลังเลยหรือ?
แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ฟึบ
ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
แล้วปีกกระบี่คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังหลินเป่ยเฉิน
บ้านพักหลังนี้ยังไม่ได้พังถล่ม
มวลอากาศไม่ได้ปั่นป่วน…
มีแต่เสื้อผ้าของหลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่ฉีกขาด
เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขารู้สึกหนาววูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เพราะว่าปีกกระบี่ที่ทะลุออกมาบนแผ่นหลังนั้น ระเบิดพลังลมปราณศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรง ทำให้เสื้อผ้าของหลินเป่ยเฉินฉีกขาดออกจากกันแทบทุกส่วน ส่งผลให้ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินยืนเปลือยท่อนบน อวดแผงอกกำยำและกล้ามหน้าท้องเป็นลูกๆ ซ้ำกางเกงของเขายังฉีกขาด…โดยเฉพาะตรงบริเวณเป้ากางเกงที่รู้สึกหนาวเย็นเป็นพิเศษ
แม่งเอ๊ย!
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
เนื่องด้วยปกติแล้ว เขาฝึกวิชาผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงไม่เคยได้ลองใช้การโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มาก่อน
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าตาปีกกระบี่ของตัวเองด้วยซ้ำ
ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างนี้เล่า?
ว๊าย…
เยว่เว่ยหยางเขินอายใบหน้าแดงก่ำ ต้องรีบยกมือปิดหน้าและวิ่งหนีออกไปจากห้องทันที
หลินเป่ยเฉินพยายามยกมือเรียก เดี๋ยวก่อนสิ จะหนีไปไหนน่ะ…
แย่แล้ว
เขาไม่ควรพูดเช่นนั้นเลย
ยิ่งพูด ยิ่งดูแย่มากกว่าเดิมอีก
หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ก่อนหันไปมองหน้านักพรตหญิงชินโดยไม่รู้ตัว
หัวหน้านักบวชสาวไม่เพียงแต่มีสีหน้าเย็นชาเท่านั้น แต่กลับยังสำรวจมองหลินเป่ยเฉินขึ้นๆ ลงๆ ด้วยความสนใจ
ปัญหาก็คือสายตาที่นางใช้มองเขานั้น ไม่ใช่สายตาที่ผู้คนใช้มองสิ่งมีชีวิต
แต่มันเป็นสายตาที่ผู้คนใช้มองรูปปั้น ใช้มองวัตถุสิ่งของต่างหาก
หลินเป่ยเฉินจึงเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
ท่านนักพรตหญิงชินขอรับ ได้โปรดรับฟังข้าน้อยก่อน…
เด็กหนุ่มพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
นักพรตหญิงชินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว เจ้าเพิ่งเริ่มฝึกการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับพื้นฐาน บัดนี้ยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ นี่นับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ตอนที่เสี่ยวเยว่ลองโคจรพลังอัญเชิญปีกกระบี่ของตนเองเป็นครั้งแรก ห้องพักของนางถึงกับพังถล่มลงไปเลยทีเดียว
อ้าว รุนแรงระดับนั้นเลยเหรอ?
หลินเป่ยเฉินนึกภาพของเด็กสาวจอมทำลายล้างขึ้นมาโดยทันที
ท่านนักพรตหญิงชินขอรับ ไม่ทราบว่าตอนที่ท่านลองโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกนั้น…
หลินเป่ยเฉินพยายามถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดประโยคปิดท้ายว่า เสื้อผ้าของท่านฉีกขาดหรือไม่?
นักพรตหญิงชินก็ชิงตอบออกมาเสียก่อนว่า ไม่ ตอนนั้นข้ามีอายุได้เพียงสามขวบ ก็สามารถโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์และอัญเชิญปีกกระบี่ได้สำเร็จ แต่ด้วยความที่ร่างกายยังเป็นเด็กน้อย พลังการทำลายล้างจึงมีไม่มาก เหตุการณ์เสื้อผ้าฉีกขาดอย่างที่เจ้าเผชิญอยู่ จึงไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับข้า
หืม?
กางปีกกระบี่ได้ตั้งแต่อายุสามขวบเลยหรอ?
นี่นางแค่อยากเล่าให้ฟัง หรือตั้งใจเกทับเขากันแน่
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและไม่พูดอะไรอีก
นักพรตหญิงชินกล่าวว่า เจ้ารีบสวมใส่เสื้อผ้าก่อนดีกว่า
นั่นเองเด็กหนุ่มถึงได้ชะงักไปเล็กน้อย
จริงด้วยสิ
เขาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาดาวน์โหลดเสื้อคลุมชุดใหม่ออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ จัดการสวมใส่ขณะพูดว่า ปีกกระบี่ของข้ามันดูเล็กชอบกลนะขอรับ…
อย่าว่าแต่มีขนาดเล็ก…
นักพรตหญิงชินกล่าวเสริม ทั้งยังสั้นมากอีกด้วย
นั่นสิขอรับ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แต่ในจังหวะต่อมานั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ
นักพรตหญิงชิน?
ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อท่านเลยนะ แล้วทำไมถึงต้องมาเหยียดหยามกันขนาดนี้ด้วย?
แต่สีหน้าของนักพรตหญิงชินก็ยังคงเย็นชาเฉยเมยอยู่เช่นเคย ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย
หรือว่านางจะไม่ได้ตั้งใจเหยียดหยามเขา?
แต่เป็นหลินเป่ยเฉินที่คิดมากเกินไปเอง?
หลินเป่ยเฉินพยายามมองในแง่ดี
เขาหันไปมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกและมองปีกกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลัง
เอ่อ…
จะอธิบายว่าอย่างไรดีนะ?
มันเป็นปีกกระบี่ที่มีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตรและมีความกว้างราวๆ 20 เซนติเมตรเท่านั้น
ยาวเท่ากับหนึ่งช่วงแขนคนพอดี
มีสีเงินเป็นประกายแวววาว
ปีกกระบี่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา นับดูแล้วมีจำนวนกระบี่เล็กๆ ข้างละ 20 เล่ม
ไม่ได้ดูมีความน่าเกรงขามเลยแม้แต่นิดเดียว
ออกจะดู… น่ารักน่าชังเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ
น่าอายชะมัด
เวลาที่เขากางปีกต่อสู้กับศัตรูในอนาคต อีกฝ่ายคงไม่ได้คิดว่าเขากำลังเอาชนะใจด้วยการทำตัวแอ๊บแบ๊วหรอกใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
แน่นอนว่าเส้นทางแห่งการพึ่งพาตนเองไม่ใช่งานง่าย
แต่มันจะมีอะไรดีไปกว่าการพึ่งพาตนเองอีกเล่า?
นักพรตหญิงชินกำลังใช้สายตาสำรวจมองปีกกระบี่ของหลินเป่ยเฉินด้วยความพินิจพิเคราะห์ ในแววตาของนางปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย พร้อมด้วยความตลกขบขันที่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ชัดเจน
ท่าน… จะหัวเราะก็ไม่เป็นไรนะขอรับ
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความท้อแท้
นักพรตหญิงชินส่ายหน้าและตอบว่า เส้นทางของเจ้าอาจจะคับแคบไปหน่อย แต่นับว่าบัดนี้มันกลายเป็นเส้นทางที่ยาวไกลแล้ว
หมายความว่าอย่างไรขอรับ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจเต้นระรัว
หรือว่านางจะมองเห็นอะไรบางอย่าง?
นักพรตหญิงชินไม่ได้ตอบ
ดูเหมือนนางจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง จึงเปลี่ยนเรื่องพูดเสียอย่างนั้น การต่อสู้วันพรุ่งนี้ เจ้าจะมาเข้าร่วมด้วยไม่ได้เด็ดขาด จงอยู่ในวิหารและคอยปกป้องทุกคนซะ
พูดจบ นักพรตหญิงชินก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ไม่ปล่อยให้หลินเป่ยเฉินได้มีเวลาโต้แย้งสักคำ
ที่ด้านนอก
เยว่เว่ยหยางยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเศร้าโศก
พี่เป่ยเฉินเจ้าคะ ความจริงที่อาจารย์ไม่อนุญาตให้ท่านออกไปต่อสู้ด้วย ก็เพราะว่าอาจารย์ฝากความหวังเอาไว้ที่ท่านนะเจ้าคะ
เยว่เว่ยหยางพยายามให้กำลังใจ หน้าที่การคุ้มครองวิหารนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ ท่านเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายที่จะคอยปกปักรักษาวิหารเมืองหยุนเมิ่ง ชีวิตของนักบวชทุกคนต่อจากนี้จะเป็นหรือตายล้วนแต่อยู่ในกำมือของท่านแล้ว
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับทราบ จากนั้นจึงถามว่า การตรวจสอบวิหารในครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีการถ่ายทอดสดด้วยหรือไม่?
เยว่เว่ยหยางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ การตรวจสอบวิหารถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ โดยปกติแล้ว ก็จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วจักรวรรดิเจ้าค่ะ
หลินเป่ยเฉินยิ่งมีสีหน้าเศร้าโศกมากกว่าเดิม
การต่อสู้ครั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งจักรวรรดิเชียวนะ
ขนาดถ่ายทอดสดทั่วทั้งมณฑล เขายังทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
แล้วนี่เป็นการถ่ายทอดสดทั่วจักรวรรดิ ถ้าสามารถหาทางโฆษณาสินค้าได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะร่ำรวยขนาดไหน
เขาจะต้องปลดหนี้ 100,000 เหรียญทองคำที่หยิบยืมมาจากไป๋ชินหยุนได้อย่างแน่นอน
แม้บัดนี้หลินเป่ยเฉินจะได้ครอบครองเหมืองแร่หินบูชาเป็นของตนเอง แต่ทรัพยากรในการขุดเหมืองนั้นมีจำกัด ถ้าไม่สามารถนำแร่หินขึ้นมาจากใต้ดิน เขาก็ยังไม่สามารถทำเงินได้อยู่ดี
เฮ้อ น่าเสียดายที่นักพรตหญิงชินไม่ยอมอนุญาตให้เขาออกไปต่อสู้
ยิ่งคิด เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและเสียดายมากขึ้นกว่าเดิม
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ระหว่างอาจารย์ติงกับจูปี้ฉี อาจารย์ของเขาไม่ได้พูดชื่อสินค้าของผู้สนับสนุนรายสุดท้าย ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และหลินเป่ยเฉินก็ต้องเป็นคนเดินเรื่องให้หวังจงนำเงินค่าโฆษณาไปคืนกับลูกค้าด้วยตนเอง
หากเพียงแต่เขาได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้นะ
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิด
ในไม่ช้า เขาก็พบทางออก
ข้าจะลงจากเขาไปติดต่อบุรุษหน้ากากแดงสักครู่ เดี๋ยวจะกลับมาก่อนฟ้ามืด
หลินเป่ยเฉินแจ้งแก่เยว่เว่ยหยาง ก่อนที่เขาจะเดินลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง