ถึงเขาจะไม่มีเวลาไปช่วยเหลือพวกของนักพรตหญิงชินแต่ละคนด้วยตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้เลยก็คือการกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ผ่านทางการแชร์สัญญาณไวฟาย
อันที่จริงนั้นมันก็น่าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
ว่ากันตามความน่าจะเป็น ทั้งนักพรตหญิงชินและเยว่เว่ยหยางต่างก็สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งคู่ พวกนางสมควรใช้ปีกกระบี่ของตนเองตัดม่านพลังออกมาได้แล้ว
แล้วเหตุไฉนพวกนางถึงยังไม่มาปรากฏตัว?
แย่แล้วสิ
หรือว่าพวกนางจะเสียชีวิตไปแล้ว?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นเล็กน้อย
เขารีบเปิดฟังก์ชันกระจายสัญญาณไวฟายทันที
จากนั้นจึงรีบค้นหาตัวรับสัญญาณทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
พลัน ชื่อบุคคลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
เซียวปิง จางเถียน หลินเหมยเอ๋อร์ จินเค่อ เมิ้งหยุน ฮันชูหยาน จางกวนเฟย…
นี่มันอะไรกันเนี่ย?!
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงได้มีชื่อของคนที่เขาไม่รู้จักปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด?
แน่นอนว่าชื่อที่จะปรากฏขึ้นมาเหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในตัวเขาเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินยกมือแตะคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์
หรือว่าชื่อเหล่านี้จะเป็นชื่อของบรรดานักบวชสาวที่อยู่ในวิหาร?
ก่อนหน้านี้ เซียวปิง ‘ปลอมตัว’ เป็นเขา ต่อสู้คุ้มกันประตูวิหารด้วยความบ้าคลั่ง นักบวชสาวเหล่านั้นเห็นเข้าก็เกิดความศรัทธาในตัวเขาขึ้นมาทันที
ให้มันได้แบบนี้สิ!
หลินเป่ยเฉินพบวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นคนอื่นอีกแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงอีกแล้ว หลินเป่ยเฉินไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ นอกจากกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างกายไปยังกลุ่มคนที่มีรายชื่อเป็นผู้ศรัทธาของเขาเท่านั้นเอง
หลินเป่ยเฉินเลื่อนดูรายชื่อเหล่านั้นทั้งหมดและสุดท้ายก็เห็นชื่อของอาจารย์ติงซานฉือ
สัญญาณความศรัทธาเต็มทุกขีด
หลินเป่ยเฉินกดเชื่อมต่อสัญญาณโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็ไถหน้าจอลงไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็เจอชื่อของท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิง
หืม?
สัญญาณความศรัทธาก็เต็มทุกขีดเหมือนกัน?
นี่ท่านเจ้าเมืองฉุยเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้เลยหรือ?
หลินเป่ยเฉินคิดว่าการที่ตนเองมีใบหน้าหล่อเหลาคงดึงดูดความสนใจผู้คนและสามารถสร้างความศรัทธาได้ง่ายดายมากกว่าบุคคลทั่วไปกระมัง
และเด็กหนุ่มก็เชื่อมต่อสัญญาณโดยไม่ลังเล
เขาไถหน้าจอลงไปอีกครั้ง
ในที่สุดก็พบเจอชื่อของเยว่เว่ยหยาง
แต่ทว่า…
เฮ้ย?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความมึนงงเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าสัญญาณความศรัทธาจะขึ้นเต็มทั้งห้าขีด แต่บนขีดสัญญาณนั้นกลับขึ้นสัญลักษณ์เครื่องหมายคำถามสีแดง
และไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะพยายามเชื่อมต่อสักกี่ครั้ง การเชื่อมต่อก็ล้มเหลวทุกครั้ง
ทำไมถึงเชื่อมสัญญาณกันไม่ได้?
เกิดอะไรขึ้น?
ทั้งๆ ที่มีขีดสัญญาณขึ้นเต็ม แล้วทำไมถึงเชื่อมต่อกันไม่ได้
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้
เด็กหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก
เขาลองกดค้นหาสัญญาณใหม่ดูอีกรอบ
แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม
นี่มัน…
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ผ่านการแชร์สัญญาณไวฟายไปให้เยว่เว่ยหยางได้แล้วสิ
แต่ไม่เป็นไร
เดี๋ยวรอให้ท่านเจ้าเมืองฉุยกับอาจารย์ติงกลับมาถึงบนวิหารก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะไปช่วยเหลือนางออกมาจากค่ายอาคมด้วยตนเอง
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเก็บโทรศัพท์
แต่แล้วเขาก็เห็นชื่อที่คุ้นเคยหลายคน
เอ๋?
ไป๋ชินหยุน?
ยัยเด็กนั่นอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?
ไป๋ชินหยุนไม่ได้พักอยู่ที่สถานศึกษานี่นา แล้วจะปรากฏตัวอยู่แถวนี้ได้อย่างไร?
สงสัยนางคงแอบตามญาติพี่น้องมารับชมการตรวจสอบวิหารแน่ๆ
แต่ช่างเถอะ เขาไม่ได้อยากเชื่อมต่อสัญญาณกับนางอยู่แล้ว
เชื่อมต่อไปก็ไร้ประโยชน์
ไป๋ชินหยุนไม่ใช่คนที่ติดอยู่ในค่ายอาคมสักหน่อย
แต่เดี๋ยวก่อนนะ?
ทำไมถึงยังมีอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ
หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าตนเองตาฝาดหรือไม่
หลิงเฉิน?
บุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ชื่อของนางมาปรากฏอยู่ในกลุ่มตัวรับสัญญาณได้อย่างไร?
หรือว่า…
นางก็เหมือนกับเยว่เว่ยหยางที่เดินทางกลับมายังเมืองหยุนเมิ่งโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เอ่อ…
หลินเป่ยเฉินค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย
แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว ทุกอย่างก็มีเหตุมีผล
ต้องไม่ลืมว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้เป็นเด็กหนุ่มรูปงามประจำเมือง มีเด็กสาวจำนวนมากมายที่หลงรักเขาหัวปักหัวปำ หลิงเฉินก็คงเป็นหนึ่งในนั้น นางอาจจะคิดถึงเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ และต้องเดินทางกลับมาหาเขาก็เป็นได้
หรือจะมีอะไรมากไปกว่านั้นหว่า
พลัน หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้
หลิงเฉินคงไม่ได้กลับมาด้วยเหตุผลเรียบง่ายเช่นนั้นแน่
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงนักสู้ตัวแทนของฝ่ายวิหารผู้เป็นปริศนา หรือว่านักสู้คนนั้นจะเป็นหลิงเฉิน?
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียว
มิน่าเล่า ตอนที่นักสู้คนนั้นปรากฏตัว หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับมวลพลังลมปราณเหล่านั้นชอบกล ที่แท้มันก็เป็นมวลพลังงานจากร่างกายของหลิงเฉินนี่เอง
เขาเคยสัมผัสพลังลมปราณของนางมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ปะทะฝีมือกับเซินเฟยระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบแรก หรือจะเป็นในคืนประลองกระบี่ที่หลิงเฉินเข้ามาช่วยเหลือเขาเอาไว้จากการโจมตีของไป๋ไห่ชิน พลังลมปราณเหล่านั้นนับเป็นสิ่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลินเป่ยเฉินไม่มีทางลืมเลือนเด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองเดาได้ถูกต้อง
เขาลองกดเชื่อมต่อสัญญาณกับหลิงเฉินโดยเร็ว
การเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์
นั่นไงล่ะ
แต่หลังจากนั้น หลิงเฉินกลับไม่ได้ปรากฏกายออกมาเลย
เมื่อหลินเป่ยเฉินเชื่อมสัญญาณกับบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนเก่าเสร็จสิ้น เขาก็ได้แต่นั่งรอให้อาจารย์ติงและท่านเจ้าเมืองฉุยกลับมาที่วิหาร
…
ในค่ายอาคม
เอ๊ะ?
มวลพลังงานที่แปลกประหลาดไหลรินเข้าสู่ร่างกายโดยไม่มีสัญญาณเตือน
กระบี่ที่ถืออยู่ในมือของฉุยเฮาเฟิงส่องแสงสว่างสีเงินแวววาว
หรือว่านี่จะเป็น… พลังศักดิ์สิทธิ์?
ฉุยเฮาเฟิงอุทานออกมาด้วยความดีใจ
ใช่แล้ว
นี่ต้องเป็นความช่วยเหลือจากเทพีกระบี่แน่นอน ในที่สุด เทพีกระบี่ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ด้วยการมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เขาใช้ทำลายค่ายอาคมแห่งนี้ออกไปสู่โลกภายนอก
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
ฉุยเฮาเฟิงตวัดกระบี่ด้วยความลิงโลดใจ
หลังจากฟันกระบี่อยู่หลายสิบครั้ง ในที่สุดม่านพลังก็เกิดช่องว่างขึ้นมาแล้ว
วูบ!
ฉุยเฮาเฟิงใช้วิชาตัวเบาพุงผ่านช่องว่างออกไปทันที
ลมหายใจต่อมา ช่องว่างนั้นก็ปิดลง
ฉุยเฮาเฟิงหยุดเล็กน้อย สูดหายใจลึก ก่อนจะเคลื่อนกายด้วยความเร็วสูงสุด บินตรงขึ้นไปยังวิหารบนยอดเขา
หลังจากนั้น ทุกคนก็กลับมารวมตัวกันในลานหินหน้าวิหารเกือบจะพร้อมหน้าพร้อมตา
มองดูจากตรงนี้ ฉุยเฮาเฟิงพบว่าติงซานฉือได้กลับมาถึงแล้วและบัดนี้ก็กำลังยืนคุยอยู่กับหลินเป่ยเฉิน
ท่านเจ้าเมือง
หลินเป่ยเฉินหันมาโบกไม้โบกมือทักทายทันที
ฉุยเฮาเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
สีหน้าของทุกคนบ่งบอกว่าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่อย่างไรก็ตาม ซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนลานหิน รวมไปถึงแม่น้ำโลหิตที่เนืองนองอยู่ตรงหน้า ก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าก่อนหน้านี้คงเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้นบริเวณหน้าวิหารเป็นแน่แท้
ฉุยเฮาเฟิงที่ตั้งใจเพียงจะเข้ามาทักทายและเดินทางกลับไปบริหารงานในตัวเมืองต่อ กลับต้องหยุดชะงักและเดินไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้รับทราบทุกอย่างแล้ว ผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
แบบนี้มันผิดกฎหมาย ลอบโจมตีโดยไม่รอให้การตรวจสอบจบสิ้นลงก่อน ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันถึงจะมีเชื้อสายราชวงศ์ แต่เมื่อทำผิดกฎจักรวรรดิขั้นร้ายแรง ก็ต้องได้รับการลงโทษด้วยการประหารชีวิต!
ฉุยเฮาเฟิงเกลียดเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติตนชั่วร้ายเป็นที่สุด
การตรวจสอบวิหารเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมากว่า 200 ปีแล้ว
และนี่คือการตรวจสอบที่ไม่เป็นธรรม
นั่นหมายความว่าอำนาจในจักรวรรดิกำลังเกิดความสั่นคลอน
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันไม่ได้มาแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ยังได้รับกำลังเสริมเป็นทหารจากแคว้นซินจินอีกด้วย พวกเขาคอยปิดถนนขวางกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าออก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาขับไล่ชาวเมืองจำนวนมาก เหตุการณ์เช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น…
หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่ปิดบัง โชคดีที่ก่อนหน้านี้ข้าได้วางกับดักเอาไว้ในป่าจำนวนมาก กำลังพลของฝ่ายนั้นน่าจะหายไปหลายส่วนทีเดียวขอรับ
นี่คือการทำผิดกฎจักรวรรดิขั้นรุนแรง
ความผิดในครั้งนี้ของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันมีมากกว่าการใช้อำนาจที่มีไปในทางมิชอบ
เพราะเขามีสถานะเป็นผู้ที่ทรยศต่อเทพีกระบี่
ไม่มีการให้อภัยอย่างเด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวข้าจะลงไปสืบสวนเรื่องราวที่เชิงเขาดูก่อน
ฉุยเฮาเฟิงขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า ข้าเองก็กำลังจะไปสำรวจค่ายอาคมทั้งสามจุดนั้นด้วยเหมือนกันขอรับ…
แต่ระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้ บนท้องฟ้าพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างวิปริต