ภูเขาเสี่ยวซี
หนี่โมหยานบุตรชายคนที่สี่และหนี่หยางผู้เป็นบิดา ได้นำกองกำลังทหารกว่า 400 นายยกขบวนพลตรงไปที่เชิงเขาในเวลาอันรวดเร็ว
เอ๊ะ?
คู่พ่อลูกประหลาดใจเมื่อพบว่าค่ายที่พักของทหารบริเวณตีนเขาเงียบสงบผิดปกติ ไม่มีแม้แต่เวรยามดูแลที่พักอยู่ด้วยซ้ำ
คนหายไปไหนกันหมด?
หรือว่าจะขึ้นไปอยู่บนภูเขา?
หรือว่าเข้าไปในเหมืองใต้ดิน?
ท่านข้าหลวงใหญ่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ก็ไหนว่าลู่หมินต้องการกำลังเสริมไม่ใช่หรือ?
เมื่อเขานำกำลังเสริมมาให้แล้ว ทำไมถึงไม่อยู่รอรับ?
พวกเราขึ้นเขาไปดูกันดีกว่า
หนี่หยางออกคำสั่งเสียงเครียด
แต่เพียงเดินขึ้นเขามาได้ไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็พบว่ามีอสูรลมกรดตัวหนึ่งกำลังวิ่งตามมาจากทิศทางของตัวเมือง
บนหลังของอสูรตัวนั้นมีนายทหารคนหนึ่งนั่งควบขี่ นายทหารมองเห็นท่านข้าหลวงใหญ่ตั้งแต่ระยะไกลจึงส่งเสียงร้องตะโกนว่า ใต้เท้าขอรับ ใต้เท้า มีเรื่องเร่งด่วนขอรับ ใต้เท้า…
อสูรลมกรดวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเต็มพิกัด
นายทหารกระโดดลงมาจากแผ่นหลังของมันและคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นดินรายงานว่า กราบเรียนใต้เท้า เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพฟานซือหยางได้ออกคำสั่งให้สังหารหมู่ชาวเมืองบนภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ส่งผลให้มีผู้คนบริสุทธิ์เสียชีวิตไปแล้วกว่า 60 คน…
ว่าไงนะ?
หนี่หยางได้ยินดังนั้นหัวใจก็ร้อนรนดั่งไฟเผา ถามกลับไปด้วยความตกตะลึง สังหารหมู่ชาวเมือง? เขาออกคำสั่งนั้นได้อย่างไร?
นายทหารพูดว่า ท่านแม่ทัพเจิ้งจูเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ได้พยายามห้ามปรามอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแม่ทัพเจิ้งจึงส่งข้าน้อยมากราบเรียนท่านข้าหลวงใหญ่นี่แหละขอรับ ไม่ทราบว่าข้าน้อยควรจะทำอย่างไรดี?
หนี่หยางขมวดคิ้วด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ลูกแก้วหยกในมือของเขาหมุนสลับตำแหน่งกันรวดเร็ว หัวคิ้วของชายชราขมวดมุ่น ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เห็นได้ชัดว่าท่านข้าหลวงใหญ่กำลังเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
เกิดอะไรขึ้นกับฟานซือหยาง
ปกติบุคคลผู้นี้เป็นนายทหารที่วางใจได้มาตลอด ดังนั้น หนี่หยางจึงมอบหมายหน้าที่ให้คอยดูแลทางขึ้นเขาของวิหารประจำเมืองด้วยความสบายใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ทัพฟานกลับเป็นผู้ที่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม
สมควรตายสถานเดียวเท่านั้น
เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน
ทุกคนรู้ดีว่าในจักรวรรดิเป่ยไห่ การสังหารหมู่ชาวเมืองคือเรื่องที่ผิดกฎหมายร้ายแรง
ก่อนเดินทางมาที่ภูเขาเสี่ยวซี หนี่หยางได้มอบคำสั่งต่อทหารทุกนายแล้วว่า ให้คอยจับตาดูสถานการณ์อยู่เฉยๆ เท่านั้น ห้ามลงมือทำอะไรเด็ดขาด
แต่ฟานซือหยางกลับทำนอกเหนือคำสั่ง และใช้ให้ทหารใต้บังคับบัญชาของตนเองสังหารหมู่ชาวเมืองกว่า 60 คน ไม่ทราบว่านี่เป็นการตัดสินใจของคนโง่เขลาหรือคนเสียสติกันแน่?
นี่คือเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด
สำหรับผู้ที่ออกคำสั่งสังหารหมู่ชาวเมืองจะต้องถูกประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร
ฟานซือหยางเป็นแม่ทัพคนใหญ่คนโต เพราะเหตุใดถึงสร้างความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ถึงขนาดนี้
คิดดูแล้วก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น
ฟานซือหยางตั้งใจทำ
แต่ทำไมถึงต้องตั้งใจทำด้วยเล่า?
นั่นเป็นเพราะว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง
แล้วใครคือผู้บงการ?
มีแต่เพียงพวกของเว่ยหมิงเฉินเท่านั้นที่มีแรงจูงใจ
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเว่ยหมิงเฉินบังคับให้หนี่หยางต้องยอมศิโรราบต่อตนเองทางอ้อม และยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันต้องถึงแก่ชีวิต ทางวังหลวงคงไม่อยู่นิ่งเฉยเด็ดขาด แล้วเพราะเหตุใด เว่ยหมิงเฉินจึงเจตนาปล่อยให้เรื่องบานปลายมาถึงขั้นนี้ นั่นคือสิ่งที่หนี่หยางไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
สถานการณ์ ณ ขณะนี้บีบบังคับให้หนี่หยางต้องเข้าร่วมกับตระกูลเว่ยเพื่อความอยู่รอด เฉกเช่นนกน้อยต้องพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบแดดหลบฝน
แต่อำนาจที่ตระกูลเว่ยมีอยู่ในมือ ก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับทางวังหลวงได้อยู่ดี
ทว่า หนี่หยางเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดทบทวนได้ไม่นาน เขาก็รับทราบคำตอบ
รีบนำศพของชาวเมืองพวกนั้นไปกลบฝังและทำลายหลักฐานให้เร็วที่สุด ส่วนแม่ทัพฟานซือหยาง… พูดมาถึงตรงนี้ หนี่หยางก็ส่งเสียงคำรามในลำคอเล็กน้อย และออกคำสั่งต่อ ปล่อยให้เขาควบคุมการโจมตีวิหารต่อไป ส่วนเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่ห้ามไม่ให้มีการสังหารชาวเมืองอีกเป็นอันขาด หากนายทหารคนไหนฝ่าฝืนคำสั่ง สามารถฆ่าทิ้งได้ทันที
ข้าน้อยรับคำบัญชา
นายทหารประสานมือคำนับ ก่อนจะกระโดดกลับขึ้นไปบนแผ่นหลังของอสูรลมกรดและควบขี่จากไป
ท่านพ่อขอรับ ฟานซือหยางกระทำความผิดร้ายแรง ทำไมถึงไม่เรียกตัวมาสอบสวน? ตระกูลหนี่ของเราต่ำต้อยเกินกว่าที่จะเอาเรื่องเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หนี่โมหยานถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
หนี่หยางตอบว่า ถึงเรียกตัวมาสอบสวน พวกเราก็คงไม่ได้รับทราบคำตอบ… เฮ้อ การไขว่คว้าความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง ในเมื่อพวกเราตัดสินใจที่จะขึ้นขี่หลังเสือแล้ว วิธีเดียวที่จะรอดชีวิตได้ ก็คือการขี่หลังเสือต่อไปเท่านั้น…
หลังจากหยุดเล็กน้อย ท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินก็กลับมามีประกายในแววตามุ่งมั่นอีกครั้ง พวกเรารีบขึ้นเขากันดีกว่า บัดนี้การกอบโกยขุมทรัพย์ในเหมืองให้ได้เยอะที่สุด คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องอื่นใด…
เสียงพูดก็แข็งกระด้างมากกว่าเคยด้วยเช่นกัน
แต่ทันใดนั้น กลับมีอสูรลมกรดอีกหนึ่งตัววิ่งตรงมาหาพวกเขา
ตุบ
นายทหารหนุ่มคนใหม่กระโดดลงจากแผ่นหลังของอสูรลมกรดลงมาคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าหนี่หยางพร้อมกับรายงานว่า กราบเรียนใต้เท้า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ คุณชายทั้งสามท่านเปิดฉากโจมตีสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกคุณชายจุดไฟเผาอาคารเรียนและสิ่งก่อสร้างโดยรอบในบริเวณนั้น มิหนำซ้ำ ยังสังหารลูกศิษย์ของสถานศึกษาเป็นจำนวนมากด้วยขอรับ…
ว่าไงนะ?
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหนี่หยางก็แปรเปลี่ยนไปโดยทันที
หนี่โมหยานผู้ยืนอยู่ข้างกายตะโกนออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ เกิดอะไรขึ้น? ก็ท่านพ่อบอกทุกคนแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามลงมือเด็ดขาด แล้วทำไมพวกเขาถึงจุดไฟเผาที่นั่น? เพราะเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้น? เกิดพวกคณะอาจารย์อาวุโสทั้งสามคนนั้นลงมือขึ้นมา พี่น้องของข้าไม่แย่หมดหรือ?
นายทหารหนุ่มผู้คุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มหน้าตอบว่า ทางสถานศึกษากระบี่ที่สามมียอดฝีมือมากกว่าอาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นขอรับ ส่งผลให้ในขณะนี้ คุณชายทั้งสามท่านต่างก็ถูกสังหารเสียชีวิตหมดสิ้นแล้ว
หนี่โมหยานยืนนิ่งอึ้งตกตะลึง
ในหัวใจของเขาอดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
หากหนี่โมหยานไม่ได้ติดตามบิดามาที่ภูเขาเสี่ยวซี เกรงว่าเขาก็คงเป็นอีกหนึ่งศพที่ต้องตายอยู่นอกรั้วสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้วกระมัง
เหตุไฉนสถานศึกษากระบี่บ้านนอกแห่งนี้ ถึงได้มีขุมกำลังน่ากลัวซุกซ่อนอยู่มากมายนัก?
นอกจากหลินเป่ยเฉินกับอาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ อยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
นี่มัน…
บัดนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?
หนี่โมหยานถามออกมาอีกครั้ง
นายทหารหนุ่มตอบว่า โชคดีที่ทางสถานศึกษาเกิดเหตุไฟไหม้ลุกลามขนาดใหญ่ อาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนและยอดฝีมือคนอื่นๆ วุ่นวายอยู่กับการดับไฟและช่วยเหลือผู้คน พวกเขาจึงไม่ได้ติดตามกองทัพของพวกเรามาขอรับ ทางแม่ทัพเถียนหนงที่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุดชั่วคราว กำลังจะสั่งให้เคลื่อนย้ายกระบวนพลตรงมาที่ภูเขาเสี่ยวซี แต่แม่ทัพเถียนเกรงว่าศัตรูอาจจะตามมาถึงที่นี่ได้ จึงส่งข้าน้อยมาแจ้งเตือนท่านข้าหลวงใหญ่ก่อนขอรับ
เมื่อได้รับฟังรายงานมาถึงตรงนี้ หนี่หยางก็สลัดหลุดจากอาการตกตะลึงได้พอดี
เขากัดฟันกรอด พยักหน้าพูดว่า แม่ทัพเถียนทำได้ดีแล้ว… ออกคำสั่งให้เขายกกระบวนพลไปรักษาการที่ประตูทิศเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง ห้ามไม่ให้มีรถม้าคันใดวิ่งเข้าออกทั้งสิ้น และรอคอยคำสั่งจากข้าต่อไป
ข้าน้อยรับคำบัญชา
นายทหารหนุ่มรับคำสั่งเสร็จสิ้นก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังอสูรลมกรดวิ่งจากไป
หนี่หยางหันกลับมากวาดสายตามองกลุ่มนายทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเองและกล่าวว่า เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกไม่ได้ รีบตามข้าเข้าไปในภูเขาและนำแร่หินออกจากเหมืองให้ได้เยอะที่สุดกันเถอะ
เหล่าลูกชายทั้งสามคนนั้นของเขาน่าเสียดายที่ต้องมาตายเช่นนี้ แต่หนี่หยางมีบุตรชายอยู่มากมายนับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับแร่หินบูชาที่หายาก บุตรชายทั้งสามคนนั้นหาได้มีค่าในสายตาของหนี่หยางไม่
นายทหารจำนวน 400 คนมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขาเสี่ยวซี
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ อากวงนั่งล่องหนจ้องมองลงไปจากยอดไม้ตลอดเวลา
คิดจะเข้าไปขุดเหมืองกันอีกแล้ว…
เราปล่อยให้พวกมันขุดเหมืองกันตามใจชอบก่อนดีกว่า พอพวกมันขุดกันเสร็จ เราค่อยเข้าไปจัดการ นายท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าแรงคนงานให้เปลืองเงิน… บางทีหากนายท่านชอบใจ อาจจะลดการบ้านของเราลงบ้างก็ได้
คิดได้ดังนั้น อากวงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
…
ฮ่าๆๆๆ…
เสียงหัวเราะของคุณชายเหลียนซานดังก้องกังวานไปทั่วผืนฟ้า เจ้ามดปลวกผู้ต่ำต้อย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว คิดอยากจะทดสอบความอดทนของเทพเจ้า ความผิดในครั้งนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับการให้อภัย โทษทัณฑ์เดียวที่พวกเจ้าจะได้รับ… ก็คือความตาย!
แล้วลำแสงกระบี่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า โจมตีตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน
พลังลำแสงกระบี่ในครั้งนี้มีอานุภาพสูงล้ำ
ยังไม่ทันที่ลำแสงกระบี่จะมาถึงตัว หลินเป่ยเฉินก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า
ทั้งติงซานฉือกับฉุยเฮาเฟิงตกตะลึงจนแม้แต่ขยับตัวก็ยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กหนุ่ม
ทุกคนเห็นกับตาว่าลำแสงกระบี่สายนั้นกำลังจะถึงตัวหลินเป่ยเฉินแล้ว นี่คือการโจมตีที่รุนแรงหมายเอาชีวิต คลื่นพลังกดดันแผ่กระจายไปรอบบริเวณ ความหวาดกลัวและตื่นตระหนกเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคน
แต่ในทันใดนั้นเอง ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
นี่คือลำแสงกระบี่ที่หลินเป่ยเฉินปล่อยพลังโต้ตอบกลับไป
และมันความรุนแรงมากกว่าลำแสงกระบี่ของคุณชายเหลียนซาน
ลำแสงกระบี่ของทั้งสองฝ่ายพลันสลายหายไปในอากาศ
เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากคุณชายเหลียนซานที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า
แล้วร่างที่โป่งพองของเขาก็ค่อยๆ หดฟีบลง
เหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะรู
กลุ่มนายทหารจากแคว้นซินจินที่ปิดล้อมอยู่โดยรอบวิหารต่างก็ล่าถอยไปด้วยความแตกตื่นตกใจ พวกเขาไม่สามารถควบคุมกระบี่มือได้อีกแล้ว กระบี่ยาวเหล่านั้นหลุดลอยออกมาพุ่งตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน และหมุนวนอยู่ในอากาศรอบร่างกายของเขา ราวกับเป็นข้าทาสที่ซื่อสัตย์กำลังทำความเคารพต่อนายเหนือหัว
เราต้องรับพลังศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วสินะ!
หลินเป่ยเฉินร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ
เทพีกระบี่หิมะไร้นามจะหาวิธีอื่นที่มันสบายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?
ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่ได้อยากจะทำหน้าที่เป็นร่างทรงเทพเจ้าอีกรอบสักหน่อย
ว่าแต่…
พลังที่ไหลรินเข้ามาสู่ร่างกายของเขาในขณะนี้ มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์ของจริงใช่ไหม?