เซี่ยเสี่ยวหลานหิ้วเจ้าตัวแสบออกไปอีกทาง
ไม่ต้องมาปากหวานใส่พี่เลย พี่ต้องทำกับข้าวนะ
เทาเทาเลียรีมฝีปากโดยอัตโนมัติ
ฝีมือการทำอาหารของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่จัดว่าดีมาก แต่ทุกครั้งที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำอาหาร ไม่ใช่เนื้อสัตว์ก็เป็นเนื้อปลา ไม่ทำพวกผักดองกินเท่าไรนัก เทาเทาแทบน้ำลายไหลออกมาแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานนำซี่โครงที่สับเรียบร้อยออกมาจากตะกร้า เทาเทาก็คิดว่าอยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่นี่ไปตลอดทั้งชีวิตเลย
ใครจะแสนดีกว่าพี่เสี่ยวหลานของเขาอีก?
เซี่ยเสี่ยวหลานวานเทาเทารับผิดชอบจุดไฟให้เหมือนที่ผ่านมา ก่อนจะนึ่งไข่ไก่จำนวนหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่บ้านหลิวไม่ขาดแคลนเลยคือไข่ไก่
ส่วนการปรุงซี่โครงเธอลองคิดแล้วไม่ทำเป็นน้ำแดง [2] แต่ทำเป็นรสเปรี้ยวหวานแทน
ช่วงนี้เครื่องปรุงอาหารของบ้านหลิวพร่องไวเป็นพิเศษ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานคอยเติมอยู่ตลอด หลิวหย่งเองก็บอกว่าคนทั้งบ้านควรกินของดีเสียหน่อย หลี่เฟิ่งเหมยนั้นก็ไม่เคยบ่นอะไร รวมถึงเป็นเซี่ยเสี่ยวหลานที่ซื้อน้ำตาลทรายกลับมา เธออยากทำซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานจึงไม่ใชเรื่องยุ่งยากอะไร
น้ำจากเนื้อซี่โครงรสชาติเปรี้ยวหวานทั้งหนืดข้นและมีรสเข้ม ราดลงบนข้าวสวยร้อนระอุ แค่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถึงรสชาตินั้น ต่อมรับรสก็ทนไม่ได้แล้ว
พวกหลิวหย่งนำข้าวที่ตากจนแห้งแล้วกลับบ้าน เมื่อได้กลิ่นหอมหวนหลิวหย่งก็ยิ้มชอบใจ
พวกเธอกังวลว่าเสี่ยวหลานจะขายปลาไหลไม่ออกสินะ ฉันว่าเด็กคนนี้เกิดมาไม่เหมาะกับงานใช้แรงกายหรอก เธอหัวดีหลักแหลมออก
ธุรกิจราบรื่นถึงจะมีเงินซื้อเนื้อสัตว์
ดูท่าทางธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานในวันนี้คงดีทีเดียว
หลิวเฟินยิ้มเงอะงะ หลี่เฟิ่งเหมยได้แต่ครุ่นคิด คนตระกูลเซี่ยไม่โปรดปรานเซี่ยเสี่ยวหลาน มันชัดเจนว่าพวกเขาดูผิดไปแล้ว การสอบติดมหาวิทยาลัยนั้นนับว่าสุดยอดแน่นอน แต่ช้าเร็วลูกสาวก็ต้องออกเรือนไป อีกหน่อยเซี่ยจื่ออวี้แต่งงานเข้าบ้านผู้อื่น นักศึกษามหาวิทยาลัยหญิงผู้เลอเลิศคงไม่สามารถดูแลทุกคนในตระกูลเซี่ยได้จริงๆ หรอก! เดี๋ยวเธอต้องดูแลลูกดูแลหลานของครอบครัวสามี รวมถึงยังมีพ่อแท้ๆ อย่างเซี่ยฉางเจิงกับภรรยาและน้องชายแท้ๆ รออยู่ คนอื่นในบ้านเซี่ยที่เหลือจะสลักสำคัญอะไรอีก
ฟังจากคำบอกเล่าของน้องสาวสามีอย่างหลิวเฟิน เซี่ยจื่ออวี้ไปเรียนหนังสือที่ปักกิ่ง นำเงินเก็บของครอบครัวทั้งหมดกว่า 500 หยวนติดตัวไปด้วย ผลคือเซี่ยเสี่ยวหลานหัวกระแทกเสาและบ้านเซี่ยดันไม่มีเงินส่งโรงพยาบาล… หากใช้จุดนี้ในการมองภาพรวมแล้ว ดูก็รู้ว่าเซี่ยจื่ออวี้นั้นเห็นแก่ตัว ตนเองนำเงินทั้งหมดของครอบครัวไปสุขสบายในปักกิ่ง พอถึงตอนนี้ก็ไม่สนใจว่าคนที่บ้านจะใช้ชีวิตอย่างไร อีกหน่อยได้ดีแล้วยังพูดถึงน้ำใจได้อีกหรือ?
เฮอะ ทิ้งแตงโมเก็บเมล็ดงาชัดๆ [3]
หลานสาวของเธอนั้นใจกว้างเอื้อเฟื้อ เมื่อวานก็ซื้อกระเป๋านักเรียนใบใหม่ให้เทาเทา พ่อของเทาเทาสาบานแน่วแน่ว่าเป็นเงินที่หลานสาวควักให้ ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ไม่ต้องถามว่าหลี่เฟิ่งเหมยรู้สึกสบายใจมากเพียงใด!
เสี่ยวหลานทำกับข้าวอะไรหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานวางตะหลิวลง ทำซี่โครงเปรี้ยวหวานจ้ะ
หลี่เฟิ่งเหมยปวดใจนึกเสียดาย ซื้อซี่โครงทำไมกัน กินอร่อยแต่ไม่คุ้มเลย
ใครจะไม่รู้ว่าซี่โครงรสชาติอร่อย แต่มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
หลานสาวของเธอคนนี้อะไรก็ดีไปเสียหมด ติดอย่างเดียวคือบางครั้งเงินทองในมือช่างกระเด็นออกง่ายเสียเหลือเกิน หลี่เฟิ่งเหมยอดไม่ได้ที่จะตักเตือน
หลานต้องใช้เงินอย่างประหยัดนะ รู้ว่าพี่สาวเอ็นดูเทาเทา แต่กระเป๋าก็แพงเกินไปแล้ว… หลานเก็บเงินไว้ในมือสักหน่อย อนาคตไปอยู่บ้านสามีจะได้มิสิทธิ์มีเสียงต่อรองบ้าง
นี่คือสิ่งที่ไตร่ตรองแทนเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยใจจริง ไม่ได้บอกว่าเงินในมือเซี่ยเสี่ยวหลานต้องใช้จ่ายกับบ้านหลิวทั้งหมด
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ฉันรู้แล้วจ้ะ ขอรับรองจะไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย!
หลิวเฟินรู้สึกยุบยิบที่ดวงตา หลิวหย่งจัดเก็บผลผลิตเสร็จก็พูดกับน้องสาวเบาๆ รอช่วงเก็บเกี่ยวผ่านไปเมื่อไร เซี่ยต้าจวินต้องมาหาพวกเธอถึงบ้านแน่ ใจเธอต้องคิดให้ดีๆ นะ ตอนนี้ใช้ชีวิตได้มีความหวังขนาดไหน? อย่าอ่อนแอเกินไปจนตามเซี่ยต้าจวินกลับไปแต่โดยดีนะ!
หลิวเฟินตะกุกตะกัก เธอโดนพี่ชายจี้จุดจนเงยหน้าไม่ขึ้น
หลิวหย่งถามกลับอย่างตกตะลึง ทำไม… เธอยังจะกลับไปกับมันจริงหรือ?
เขาไม่ปิดบังความรู้สึกผิดหวังที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า ผ่านไปตั้งนานหลิวเฟินถึงตอบอย่างอีหลักอีเหลื่อ เดี๋ยวเสี่ยวหลานต้องออกเรือน จะพาแม่ไปเข้าบ้านสามีได้ที่ไหนกัน ฉันก็อยู่บ้านแม่ตลอดไปไม่ได้… พี่… ถึงตอนนั้นฉันจะไปที่ไหนดี?
ไม่ตามลูกสาวไป และไม่อยากอาศัยในบ้านแม่ตลอดกาล เกรงว่านานเข้าพี่ชายและพี่สะใภ้จะรู้สึกรกหูรกตา กลัวคำติฉินนินทาของของคนในหมู่บ้าน หลิวเฟินรู้สึกสับสนกับอนาคตของตนเองยิ่งนัก เธอไม่อาจเป็นภาระลูกสาวและบ้านหลิวได้หรอก
แม่… แม่ไม่อยากจากพ่อไปใช่หรือไม่ อยากกลับไปบ้านเซี่ยหรือ?
ไม่รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมายืนอยู่ข้างหลังหลิวเฟินตั้งแต่เมื่อไร
หลิวเฟินส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กลับเงียบงันไร้วาจาใดๆ รู้ได้เลยว่าเธอไม่อยากตอบคำถามนี้ เธอมิได้ไม่อยากจากเซี่ยต้าจวินไป เพียงแต่โอนอ่อนผ่อนตามจนเคยตัว อีกทั้งมีจิตวิญญาณในการอุทิศเสียสละเพื่อลูกสาว ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถมีชีวิตที่ดีได้ ต่อให้เธอต้องต่ำต้อยขอข้าวจากตระกูลเซี่ยกิน เธอก็ยังอดทนได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกับคาดเดาความคิดของหลิวเฟินได้บางส่วน
โชคดีนักที่อายุจิตใจของเธอไม่ใช่ 18 ปีจริงๆ พบเรื่องราวของคนและความเป็นไปของโลกมาไม่น้อย จึงสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นของหลิวเฟิน
แต่งงาน?
เรื่องแต่งงานก็ต้องแต่งแน่นอน ชาติที่แล้วไม่เคยรู้สึกถึงความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา ชาตินี้ต้องลองดูให้ได้เสียหน่อย แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นของการแต่งงานคือสะบัดหลิวเฟินทิ้ง? หากมีคนทำเหมือนแม่เธอเป็นลูกติดของภรรยา ผู้ชายประเภทนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจะแต่งงานด้วยทำไม? เธอไม่ได้มองอะไรตื้นๆ ขนาดนั้นหรอกนะ!
แม่ วันนี้ฉันหาเงินได้ 20 กว่าหยวน แม่คงไม่รู้ว่าธุรกิจในเมืองซางตูรุ่งโรจน์แค่ไหน รอฉันเก็บเงินได้สักก้อนหนึ่ง พวกเราไปซื้อบ้านในซางตูกัน ฉันจะพาแม่ไปอยู่ด้วย ว่าที่ลูกเขยจะกล้ารังเกียจแม่อีกหรือ? ต้องเห็นแม่สบายใจก่อน ฉันถึงจะยอมรับให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกัน!
เรื่องซื้อบ้านเป็นการวางแผนระยะยาวของเซี่ยเสี่ยวหลาน
ปัจจุบันนี้เมืองซางตูอาจยังไม่มีอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ด้วยซ้ำ แต่นี่ปี 83 แล้ว ผ่านไปอีกไม่ถึงสองปีก็น่าจะมี ที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจีนปรากฏเมื่อตอนกลางถึงตอนปลายของยุค 80 เซี่ยเสี่ยวหลานจำได้ว่าลูกค้าจากซางตูคนหนึ่งบอกว่าได้ซื้อบ้านหลังแรกในยุค 80 ราคาแค่ 200 หยวนต่อตารางเมตร เป็นบ้านที่สร้างแล้วขายให้กับพนักงาน คนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติพอสำหรับซื้อบ้าน แต่ถ้าคุณออกเงินมากพอ จัดการดีๆ สักหน่อย ต้องได้สิทธิ์ซื้อบ้านจากมือผู้อื่นอย่างแน่นอน
ราคาบ้าน 200 หยวนต่อตารางเมตร สำหรับคนในอนาคตนี่แม้เป็นความฝันก็ยังต้องตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชย์ 100 ตารางเมตรหนึ่งหลัง ราคารวมแล้วเพียงสองหมื่นกว่าหยวน ถึงตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่มีสองหมื่นกว่าหยวน แต่เธอจะหาไม่ได้ตลอดไปเลยหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานปริปากเรื่องแผนของเธอว่าอนาคตจะไปตั้งรกรากในเมืองต่อหน้าผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก หลิวเฟินตกใจจนมึนงง แต่พวกเราอยู่ในทะเบียนบ้านชนบทกันนะ…
ทะเบียนบ้านชนบทกับทะเบียนบ้านในเมืองแตกต่างกันเหลือเกิน
โรงงานรับคนงาน หน่วยงานแต่ละแห่งต้องการคน ที่เห็นอยู่ล้วนเป็นประชาชนที่มีทะเบียนบ้านในเมือง ทะเบียนบ้านชนบททำได้เพียงขุดหาอาหารจากดิน การหลุดจากทะเบียนบ้านชนบทมีแค่สองวิธี หนึ่งคือแต่งงาน อีกหนึ่งคือเรียนหนังสือให้เก่งอาศัยการแต่งงานไม่มั่นคงนัก ครอบครัวพนักงานปกติในเมืองไม่ได้สามารถจัดการเรื่องใหญ่อย่าง ‘ชนบทย้ายเป็นไม่ชนบท[4]’ ได้! พวกคนชนบทขอแค่ทำได้เหมือนเซี่ยจื่ออวี้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นมั่นคงต่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตัวเองที่สุดแล้ว ในเวลาสั้นๆ ก็สามารถหลุดจากชนบทกลายเป็นคนเมืองดั่งลิขิตชะตาตัวเองได้
เป็นคนเมืองมันยากเย็น แม้หลิวเฟินจะเชื่อมั่นในเซี่ยเสี่ยวหลานแต่ก็ไม่กล้าฝันเช่นนี้
ทว่าหลิวหย่งได้ยินแล้วสนใจอยู่ไม่น้อย
ย้ายไปอยู่ในเมืองก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องซางตู และไม่จำกัดว่าต้องเป็นบ้านตึกสูง ซื้อบ้านชั้นเดียวสองหลังในตัวเมืองใช้เงินไม่เท่าไรหรอก
ในซางตูคนเยอะแยะขนาดนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาย้ายไปที่นั้น ไม่มีคนรู้จัก ชื่อเสียงแย่ๆ ของเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ถ่วงรั้งเธอในการหาคู่หมายอีกต่อไป เมื่อได้ยินว่าหลิวหย่งเห็นด้วย หลิวเฟินจึงเชื่อครึ่งสงสัยอีกครึ่ง
ได้จริงๆ หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าอย่างแรง สัญญาแล้วว่าจะพาแม่ไปใช้ชีวิตดีๆ นี่ ต้องได้แน่นอนอยู่แล้ว!
ซื้อบ้านในซางตูมันจะเท่าไรกันเชียว หากในมือเธอมีเงินเหลือ ก็จะเรียนรู้และเติบโตเช่นเวินโจวเฉ่าฝางถวน [5] แน่นอน ในช่วงที่ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้น หากสามารถไปถึงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ได้สักครั้ง เธอจะก็ซื้ออาคารทั้งหลัง เพราะอัตราค่าตอบแทนของการลงทุนเช่นนี้สุดยอดมากกว่าธุรกิจการค้ารูปแบบใดๆ ทั้งนั้น!
เชิงอรรถ
[1] 楼房 บ้านหลังใหญ่ จริงๆ แล้วคืออาคารสองชั้นขึ้นไป เป็นได้ทั้งบ้านสองชั้นหรืออยู่ในลักษณะคล้ายคอนโดมิเนียม
[2] 红烧 น้ำแดง หมายถึง ซอสน้ำแดง
[3] 丢了西瓜捡芝麻 ทิ้งแตงโมเก็บเมล็ดงา หมายถึง ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เล็กน้อยกว่า
[4] 农转非 ชนบทย้ายเป็นไม่ชนบท ในประเทศจีนระบบทะเบียนบ้านจะแบ่งเป็นสองประเภท คือ ทะเบียนบ้านชนบทและทะเบียนบ้านที่ไม่ใช่ชนบท ไม่สามารถย้ายได้อย่างอิสระ ด้วยความเจริญที่เพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ ผู้คนจึงมักจะเข้าไปแสวงหาโอกาสในเมือง แต่หลายคนที่มาจากชนบทจะมีทะเบียนบ้านชนบทติดตัว เมื่อไปทำงานอยู่ในเมืองก็อาจไม่สามารถใช้บริการของรัฐโดยครบถ้วนได้ คนมากมายจึงขวนขวายให้ได้มาซึ่งทะเบียนบ้านในเมือง
[5] 温州炒房团 เวินโจวเฉ่าฝางถวน คือ กลุ่มค้าขายอสังหาริมทรัพย์เก็งกำไรเวินโจว ดำเนินการโดยเหล่านักธุรกิจทุนหนาชาวเวินโจว โดยเริ่มกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ในท้องถิ่นช่วงปี 1998-2001 หลังจากนั้นจึงเริ่มแผ่ขยายเข้าไปยังเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หังโจว เซี่ยเหมิน ฯลฯ ทำการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมากไว้เพื่อค้าขายเก็งกำไรในช่วงราคาพุ่งสูงขึ้น