เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 2 ตอนที่ 41 ฉันเข้าร่วมการสอบเกาเข่าปี 84 ได้ไหม?

เล่มที่ 2 ตอนที่ 41 ฉันเข้าร่วมการสอบเกาเข่าปี 84 ได้ไหม?

เฉินชิ่งไม่ดื่มเหล้า ดังนั้นจึงจัดให้เขานั่งโต๊ะเดียวกับอาสะใภ้และพี่สะใภ้

เซี่ยเสี่ยวหลานลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินชิ่งยังคงมองด้วยความเคลิบเคลิ้ม อาเฉินสี่ผู้มักพบปะกับเซี่ยเสี่ยวหลานบ่อยๆ หัวเราะยั่วเย้าเขา  อะไรกัน อยากแต่งภรรยาแล้วหรือ? 

 อาสี่ ไม่มีอะไรเสียหน่อย! 

โชคดีที่หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยู่ เฉินชิ่งตาลีตาเหลือกแก้ตัว

อาเฉินสี่หัวเราะเจ้าเล่ห์  ตอนอาสี่ของเธออายุเท่านี้ พวกเรามีลูกด้วยกันแล้ว! อยากแต่งภรรยาก็ไม่เสียหายหรอก! 

เฉินชิ่งยิ่งหน้าแดงจัดเข้าไปใหญ่ รู้ดีว่าเหล่าอาน้าในหมู่บ้านชื่นชอบการหยอกเย้าชายหนุ่มวัยรุ่น ที่จริงแล้วไม่มีเจตนาร้ายอื่นใด เฉินชิ่งค่อยๆ สงบเสงี่ยมลง  ผมยังต้องเรียนหนังสือนะ สอบมหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ไม่หาคู่หมายแน่ 

สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่าย

เกาเข่าของปี 83 เพิ่งฟื้นฟูใช้ได้ไม่นาน ในช่วงเวลาที่หยุดสอบเกาเข่าชั่วคราวนั้น นักเรียนไม่มีจิตใจเรียน อาจารย์ไม่มีจิตใจสอน คุณภาพการศึกษาโดยรวมของทั้งประเทศถดถอยลง หลังฟื้นฟูการสอบเกาเข่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน มาตรฐานคุณสมบัติของอาจารย์ที่อ่อนด้อยไม่สามารถเติมเต็มให้สมบูรณ์ได้ในทันที เช่นสถานที่แบบเขตอันชิ่งนี้ ทุกปีมีคนสอบเข้าเรียนปริญญาตรีได้น้อยเหลือเกิน

เฉินชิ่งเองก็คือนักเรียนซ้ำชั้น

เขายังต้องต่อสู่กับนักเรียนที่จบการศึกษาปีนี้และนักเรียนซ้ำชั้นกลุ่มเดิมที่เรียนซ้ำได้สองปีขึ้นไปเหล่านั้น

ปีนี้ทั้งประเทศมีคนร่วมเข้าสอบเกาเข่าทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนเจ็ดหมื่นคน สายวิชาชีพและระดับปริญญาตรีรับทั้งหมดสามแสนเก้าหมื่นคน ฟังดูแล้วเหมือนอัตรารับเข้าค่อนข้างสูง หรือก็คือรับในร้อยละ 23 แสดงว่าผู้เข้าสอบทุกๆ 100 คนจะมี 23 คนที่สอบติดมหาวิทยาลัย เฉินชิ่งยังสอบไม่ติด แสดงว่าผลคะแนนคงจะแย่มาก

แท้จริงแล้วอัตราเข้ารับนี้มีวิธีการอยู่ หลังจากดำเนินการระบบคัดเลือกรอบแรกของเกาเข่าในปี 1980 ผู้เข้าสอบที่ไม่ผ่าน ‘การสอบคัดเลือกรอบแรก’ ก่อนสอบเกาเข่า ไม่ต้องสนว่าเป็นนักเรียนเพิ่งจบการศึกษาหรือนักเรียนซ้ำชั้น แม้แต่คุณสมบัติในการสมัครสอบเกาเข่าอย่างเป็นทางการก็ยังไม่มี! การสอบคัดเลือกรอบแรกได้กำจัดผู้เข้าสอบออกไปมากกว่าร้อยละ 60 แล้ว จึงได้มีอัตราการรับเข้าเรียนถึงร้อยละ 23 เช่นนี้

เขตอันชิ่งเป็นตัวเมืองเล็กๆ ในมณฑลอวี้หนาน อวี้หนานคือสนามสอบใหญ่ ผู้เข้าสอบจำนวนมาก อัตรารับเข้าเรียนต่ำ การแข่งขันโหดร้ายอย่างถึงที่สุด

ในสถานการณ์เช่นนี้ นักเรียนจากชนบทที่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้มิใช่ขนหงส์ฟ้ากับเขากิเลน [1] หรือ? ดังนั้นเซี่ยจื่ออวี้ถึงได้เลอเลิศมาก และด้วยเหตุนี้หลังจากเฉินชิ่งสอบไม่ติดจึงเรียนซ้ำอีกรอบโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ ไม่เรียนมหาวิทยาลัยต่อก็กลับบ้านไปเป็นเกษตรกร เวลานี้มีเพียงสองทางเลือกเหลือให้เฉินชิ่ง เดี๋ยวนี้ขนาดนักเรียนสารพัดช่างยังได้รับการจัดสรรอาชีพ วิทยาลัยวิชาชีพและปริญญาตรียิ่งไม่ต้องกล่าวถึง มีเพียงนักเรียนมัธยมปลายหนึ่งเดียวที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางเดินหน้ารึถอยหลังก็ไม่ได้ ราวกับถูกแม่เลี้ยงเลี้ยง [2] มา

ถ้าทะเบียนบ้านอยู่ในเมือง ต่อให้สอบไม่ติดมหาวิทยาลัยยังสมัครเข้าโรงงานได้ เฉินชิ่งไร้ซึ่งทางเลือกอื่น

เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องสอบ อาเฉินสี่ก็ไม่กล้าล้อเล่นแล้ว

เฉินชิ่งเป็นต้นกล้าใฝ่เรียนรู้ของครอบครัวลุงต๋า หากเธอพูดเหลวไหลทำลายความตั้งใจในการเรียนหนังสือของเขาเข้า อย่าว่าแต่เฉินวั่งต๋าจะโต้ตอบอย่างไรเลย สามีของอาเฉินสี่ต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่

นึกถึงการสอบเกาเข่าแล้ว ใจปรารถนาในความรู้สึกต่อหญิงสาวของเฉินชิ่งจึงเบาบางลง

เขารับประทานอาหารเสร็จก็ปล่อยจานชามไว้ตั้งใจกลับบ้านไปอ่านหนังสือ ทว่ามีคำร้องขอของเซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อก่อนหน้านี้ ถึงยอมอดทนรอเซี่ยเสี่ยวหลาน

เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ เลยหาโอกาสพูดคุยกับเฉินชิ่ง

ที่แท้เรื่องที่เธอจะถามก็คือการสอบเกาเข่า

 เธออยากเข้าร่วมสอบเกาเข่าของปีหน้า? 

เฉินชิ่งประหลาดใจมาก เขานึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะทำธุรกิจอิสระตลอดไปเสียอีก

 ใช่แล้ว แต่ฉันเรียนจบแค่มัธยมต้น ไม่รู้ว่าแทรกเข้าเรียนมัธยมปลายปีสามเลยได้หรือไม่ พี่เฉินชิ่งช่วยฉันสอบถามกับทางโรงเรียนที 

อายุของเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ปัญหา มีนักเรียนที่จบการศึกษาปีนี้มากมายที่อายุเยอะกว่าเธอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนซ้ำชั้นเลย แต่การฟื้นฟูเกาเข่าก็ผ่านมาสักพักแล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่เรียนจบมัธยมปลายแล้วค่อยร่วมเข้าสอบมหาวิทยาลัยตามกฎเกณฑ์ เซี่ยเสี่ยวหลานจบมัธยมต้นมาสามปีแถมไม่ได้จับหนังสือ เดิมผลการเรียนก็ไม่ดีด้วย ทว่าตอนนี้เธอกลับปุบปับอยากเข้าร่วมสอบเกาเข่า… เฉินชิ่งไม่อยากทำลายความกระตือรือร้นของเธอ การพัฒนาตนเองไปข้างหน้าย่อมเป็นเรื่องดี

 ฉันจะกลับไปช่วยถามทางโรงเรียนให้เธอเอง แต่ต่อให้เข้าเรียนระหว่างภาคเรียนได้ก็ต้องให้เธอสอบเข้าก่อนแน่นอน 

เฉินชิ่งไม่ต้องการโจมตีความตั้งใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าต้องแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เตรียมความพร้อมไว้ เมื่อเห็นว่าดวงหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานดูเจื่อนๆ ไป ดวงตาดุจประกายผิวน้ำในม่านหมอกคู่นั้นน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ความเห็นใจของเฉินชิ่งยิ่งเพิ่มขึ้นมากโข จึงกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว

 ฉันยืมแบบเรียนมัธยมปลายสักชุดมาให้เธอก่อนก็ได้ เธออ่านล่วงหน้าไป ถ้าโรงเรียนต้องให้สอบเข้าก่อนเธอจะได้มีความมั่นใจ 

 อืม ขอบคุณพี่มากจริงๆ นะ พี่เฉินชิ่ง! 

 มะ… ไม่ต้องเกรงใจ 

เฉินชิ่งท่าทางเหมือนมีสุนัขไล่กวดอยู่ด้านหลัง พูดจบแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที

เซี่ยเสี่ยวหลานเคยร่วมการสอบเกาเข่าแล้ว

ในตอนนั้นผลการเรียนของเธอไม่เลว แม้ไม่ได้สอบติดมหาวิทยาลัยมีชื่อประเภท top10 ของยุคอนาคต แต่ก็เป็นมหาวิทยาลัยกลุ่มที่หนึ่ง [3] เดิมทีเธอควรสอบได้ดีกว่านี้อีกหน่อย แต่เพราะบิดามารดาจากไปเร็ว ต้องเล่าเรียนพร้อมกับกังวลเรื่องค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดไปกับการเรียนได้ สุดท้ายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาสามัญในกลุ่มที่หนึ่ง สิ่งที่น่าเวทนากว่าคือตอนเลือกคณะนั้นไม่มีคนคอยแนะนำ จึงเลือกคณะไร้ความนิยมที่ค่าเล่าเรียนย่อมเยาที่สุดไป เรียนจบแล้วหางานด้วยความยากลำบาก ทำให้เธอต้องเริ่มจากการทำงานเป็นพนักงานขายที่ไม่เกี่ยงความชำนาญ เดินผ่านหนทางคดเคี้ยวมากมายถึงฝ่าฟันจนได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติ ไม่มีทางเลือกนี่นะ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี 1995 พอปี 1996 ประเทศก็ยกเลิกนโยบายจัดสรรอาชีพให้นักศึกษาจบใหม่แล้ว หลังจากจบการศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานจึงทำได้เพียงหาทางออกด้วยตนเอง

เซี่ยเสี่ยวหลานวางแผนจะร่วมสอบเกาเข่าของปี 1984 ทว่าขนาดเนื้อหาข้อสอบเกาเข่าในปี 95 ของเธอเองยังจำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเนื้อหาข้อสอบของเมื่อ 11 ปีก่อน? ถ้ารู้ก่อนว่ามีเรื่องเกิดใหม่เช่นนี้ เธอต้องจดจำเนื้อหาข้อสอบทุกชุดที่เคยผ่านตาในตอนนั้นให้ได้อย่างแน่นอน!

หลังจากเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดใหม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงการหวนคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนให้มากที่สุด

กาลเวลาและสถานที่ในตอนนี้เป็นช่วงเดียวกับในชาติที่แล้วเป็นแน่ อย่างน้อยผู้นำประเทศรวมถึงภูมิหลังต่างๆ ล้วนไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าอย่างนั้นในช่วงเวลาและสถานที่ ณ ตอนนี้ก็มีตัวเธอคนเดิมอีกคนหนึ่งกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยใช่หรือไม่?

‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ปีนี้อายุ 18 ปี เกิดเมื่อปี 1965

เธอกลับมาเกิดใหม่เมื่อปี 1977 ปีนี้อายุเพียง 6 ขวบ อายุเท่ากับเทาเทาเท่านั้น หากยึดวิถีของชีวิตเมื่อชาติก่อน บิดามารดาได้จากไปแล้ว เธอจึงใช้ชีวิตอยู่กับญาติ อยู่ดีๆ ในใจเซี่ยเสี่ยวหลานก็เกิดความตื่นเต้นบางอย่างขึ้น เธอควรไปดูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าสามารถตามหา ‘ตนเอง’ ได้แล้ว เธอจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแน่นอน!

ตกกลางคืนหลิวเฟินเก็บสัญญาการหย่าของตนเอาไว้เสียดิบดี เซี่ยเสี่ยวหลานปลอบใจเธอมาทั้งวัน หลิวเฟินจึงดูสบายใจมากขึ้นแล้ว

 อีกหน่อยตอนลูกเข้าเมืองก็ให้แม่ไปรับซื้อปลาไหลที่อื่นได้ พวกเรารีบเก็บเงินให้ไวและสร้างบ้านของพวกเราเองสักหลังเถอะ 

เกษตรกรไม่พ้นอาศัยผืนดินเลี้ยงชีพ เรื่องที่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะไปตั้งรกรากในเมืองซางตูก็ยังไม่เป็นรูปร่าง เฉินวั่งต๋ากลับตกลงจะย้ายทะเบียนบ้านของแม่ลูกจากหมู่บ้านต้าเหอมาที่นี่ มอบใบอนุญาตถิ่นที่อยู่และแบ่งไร่นาให้ การจัดสรรพื้นที่เล็กน้อยไว้สร้างบ้านให้พวกเธอก็คงไม่ยุ่งยากเช่นกัน มีบ้านมีนา ถึงจะถือว่ามีรากฐานเป็นของตนเอง หลิวเฟินไม่ไปคิดใส่ใจด้วยซ้ำว่าการหย่านั้นจะทำให้เธอขายหน้าหรือไม่ ทั้งใจของเธอคือแม่ลูกทั้งสองช่วยกันหาเงิน มีบ้านของตนเองได้ในเร็ววัน

นั่นคือบ้านของเธอ ไม่ต้องคอยสังเกตุสีหน้าคนในตระกูลเซี่ย

ไม่ต้องพูดจากระซิบเพราะกลัวคนจะได้ยิน

เพียงหลิวเฟินจินตนาการก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง

เซี่ยเสี่ยวหลานไม่โต้แย้งกับเธอ ให้มารดาได้ทำอะไรเล็กน้อยย่อมเป็นเรื่องดี แสงแดดต้นฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น อากาศแบบนี้ไปรับซื้อปลาไหลทุกที่จะลำบากแค่เรื่องเดินทาง

 ฉันให้เงินแม่ไว้หน่อยดีกว่า 

เซี่ยเสี่ยวหลานนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนออกมา

แรกเริ่มเงินทุนของเธอมีเพียงเจ็ดสิบกว่าหยวน

ทำธุรกิจได้สิบกว่าวัน ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดคือซื้อกระเป๋าหนังสือให้น้องชาย รองลงมาคือไข่จำนวนหนึ่งที่แตกเสียหายเพราะโดนพวกอันธพาลสามคนก่อกวน ขายไข่ไก่ทุกวันได้เงินเฉลี่ย 10 หยวน เพิ่งไปขายปลาไหลในเมืองได้เพียงสองครั้ง ทุกรอบล้วนได้กำไรเกิน 20 หยวน ซื้อน้ำมันเกลือเครื่องปรุงต่างๆ เข้าบ้านก็ไม่ได้จ่ายมากเท่าไร บางครั้งซื้อเนื้อสัตว์กลับมายังไม่เกินสองสามหยวนด้วยซ้ำ

เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเด็ดขาด เธอสามารถทำเงินน้อยให้งอกงามได้เป็นจำนวนมาก เมื่อรวมทั้งเงินทุนและกำไรเข้าด้วยกัน ตอนนี้ยังมีเงินอยู่กับตัว 165 หยวน นี่ยังไม่รวมปลาไหลกับไข่ไก่ที่อยู่ในมือ แค่จำนวนที่เธอจะนำไปเมืองซางตูในวันพรุ่งนี้ก็มีปลาไหลเกือบ 60 ชั่งและไข่ไก่ถึง 300 ใบทีเดียว

มูลค่าทรัพย์สินรวมเกิน 200 หยวนแล้ว

ศักยภาพในการรับความเสี่ยงของกิจการยังอ่อนด้อยนัก เซี่ยเสี่ยวหลานให้เงินตัวเองไว้เพียง 50 หยวน ส่วนที่เหลือส่งให้มารดาเธอหมด

 ราคารับซื้อไม่เกิน 9 เหมาต่อชั่ง พวกเราจึงจะทำกำไรได้ ฉันว่าสิ้นเดือนก็สามารถคืนเงินลุงได้แล้ว 

เรื่องคืนเงินตอนนี้ยังไม่ใช่ปัญหา แต่เซี่ยเสี่ยวหลานต้องการให้เงินทุนในมือมีมากเข้าไว้ เธอยังอยากนำสินค้าอย่างอื่นจากในเมืองกลับมาขายอีก หลิวเฟินฟังเธอคำนวณกำไรก็ตกใจเกือบคุมสติไว้ไม่ไหวแล้ว สิบกว่าวันยังทำเงินได้มากมายขนาดนี้ เงินทองนี่หาง่ายเกินไปแล้ว… เสี่ยวหลานเองลำบากยากเย็นเหลือเกิน มารดาอย่างเธอจึงไม่อาจถ่วงรั้งได้

เชิงอรรถ

[1] 凤毛麟角 ขนหงส์ฟ้ากับเขากิเลน หมายถึง ล้ำค่าและหาได้ยากมาก

[2] 后娘养的 แม่เลี้ยงเลี้ยงมา หมายถึง มีสถานะเป็นรอง

[3] 一本 มหาวิทยาลัยกลุ่มที่หนึ่ง คือ การแบ่งกลุ่มรับนักศึกษา มีทั้งหมดสามรอบ โดยแบ่งตามคะแนนสอบ กลุ่มที่หนึ่งคือรับนักศึกษากลุ่มแรก มักจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลุ่มที่สอง (二本) จะรองลงมา แต่ไม่ต่างกับกลุ่มที่หนึ่งมาก และกลุ่มที่สาม (三本) มักเป็นสถานศึกษาระดับสูงประเภทเอกชน ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามทั้งสามกลุ่มจะได้วุฒิการศึกษาเหมือนกัน

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท