เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 3 ตอนที่ 82 ไม่ปิดบังความรู้สึกดี

เล่มที่ 3 ตอนที่ 82 ไม่ปิดบังความรู้สึกดี

อยากอยู่ในเมืองหรือ?

หลิวหย่งไม่รู้สึกแปลกใจ หากเคยพบว่าการมีชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร

ใครก็ไม่ยินดีที่จะทนอาศัยอยู่ในชนบทโดยไม่ย้ายถิ่นฐาน

มิเช่นนั้นเขาจะอยากหางานอยู่เป็นนิจไปทำไม

 ทิ้งนาที่บ้านอย่างนั้นหรือ? เมื่อก่อนเธอมักกังวลว่าหากไม่ทำไร่ทำนาจะอดตายเอา 

ใช่แล้ว ไร่นาที่บ้านจะทำอย่างไร?

ไม่ว่าจะเพาะปลูกหรือไม่ ผลผลิตและค่าบำรุงต่างๆ ก็ต้องส่งให้รัฐทุกปีอยู่ดี

นี่คือข้อกำหนดที่สถานะของคนชนบทได้รับมา แม้การขุดหาอาหารจากดินจะลำบาก

แต่ถ้าขยันขันแข็งก็สามารถเติมท้องจนเต็ม เพียงแต่เมื่อใช้เงินที่มีอยู่ในมือจะรู้สึกว่าถูกจำกัด

อิ่มท้องได้ ทว่ากลับไม่มีชีวิตที่ดีขึ้น คนชนบทล้วนใช้ชีวิตแบบนั้น

ต่อให้เป็นพนักงานหรือคนงานในเมือง ก็ไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ทุกวัน

ทุกคนใช้จ่ายเงินทองอย่างประหยัดแล้วประหยัดอีก!

เปรียบเทียบกับชีวิตที่ผ่านมา หลี่เฟิ่งเหมยควรพอใจกับชีวิตในตอนนี้ หลังการแบ่งสรรที่ดินสู่ครัวเรือน

ยิ่งเวลาผ่านไปชีวิตของเกษตรกรยิ่งดีขึ้น

แต่พอได้เจอบางสิ่งบางอย่าง ใจของหลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่ต้องการอุดอู้อยู่แต่ในชนบท

ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง เป็นพ่อแม่ต้องไตร่ตรองแทนลูกใช่ไหม?

 ใครบอกว่าฉันจะทิ้งไร่นาของครอบครัวกัน ฉันจะจ้างคนปลูกตกลงไหม เกิดการค้าขายขาดทุนขึ้นมา

ก็ยังมีที่นาหลายหมู่คอยประทังชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวพวกเราก็ไม่อดตายหรอก! 

หลี่เฟิ่งเหมยกล่าวเสียงดัง

เธอไม่ต้องการเก่งกาจเท่าหลานสาว ขอเพียงยังสามารถหาเงินสำหรับส่งผลผลิตและค่าบำรุงให้รัฐได้บ้างคงดีมากสินะ?

 ได้ๆ เธออย่าเพิ่งโมโห เธอว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น 

หลิวหย่งแค่ต้องการหยอกเย้าภรรยา แต่กลับบีบคั้นจิตใจที่ไม่ยอมอ่อนข้อของหลี่เฟิ่งเหมยออกมาเสียได้

เดิมทีเขาตั้งใจย้ายจากชนบทไปปักหลักยังตัวเมือง ทว่าเมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้ว

สถานที่เล็กๆ อย่างเขตอันชิ่งนั้นก็ไม่มีงานการอะไรมากมายนัก ประชากรเยอะขนาดนั้น ทำธุรกิจเล็กน้อยเลี้ยงปากท้องยังพอทำได้

แต่หากอยากจะมีการพัฒนาที่ก้าวหน้าควรไปเมืองใหญ่ดีกว่า

หลิวหย่งไม่เข้าใจด้านเศรษฐกิจเมือง เขารู้เพียงมีคนซื้อของจำนวนมาก และในกระเป๋าของผู้คนนั้นมีเงิน

ดังนั้นธุรกิจอิสระถึงได้สามารถทำเงินได้

ซางตูคือเมืองหลักประจำมณฑลอวี้หนาน แม้จะเทียบกับเซี่ยงไฮ้หรือหยางเฉิงไม่ได้

แต่ในมณฑลอวี้หนานเป็นเมืองใหญ่ที่ดีที่สุดแล้ว ซางตูอยู่ห่างจากหมู่บ้านชีจิ่งไม่ไกลนัก

ดังนั้นเขาสามารถดูแลบ้านเก่าในชนบท และทำธุรกิจได้เช่นกัน

หลิวหย่งถึงกับรู้สึกว่าเมื่อก่อนสมองของตนเองมีปัญหา เอาแต่อยากย้ายไปเขตอันชิ่ง มิสู้ย้ายเข้าเมืองซางตูให้รู้แล้วรู้รอดไม่ดีกว่าหรือ

 รอฉันถอนเงินทุนออกมาก่อน ค่อยวางแผนดีๆ แล้วกัน 

หลี่เฟิ่งเหมยเล่าข้อเสนอก่อนหน้านี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานให้ฟัง

หลิวหย่งส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที  เธอควรไปเอาเปรียบเสี่ยวหลานหรือ? เด็กคนนี้แบ่งเงินให้เธอใช้แน่นอน เธอสามารถเลือกเสื้อผ้าหรือเดินทางไปหยางเฉิงเพื่อซื้อสินค้าด้วยตัวเองได้หรือ

เธอจะช่วยอะไรในธุรกิจของเสี่ยวหลานได้! 

การร่วมเป็นหุ้นส่วนต้องสามารถช่วยเหลือและมีบทบาทในการทำงาน

เสื้อผ้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานรับซื้อกลับมาจากหยางเฉิงโดนคนแย่งชิงจนหมดเกลี้ยงในเวลาสั้นๆ

เพราะแววตาในการเลือกสินค้าของเธอมีเอกลักษณ์

หากให้หลี่เฟิ่งเหมยไปรับซื้อสินค้า หลี่เฟิ่งเหมยจะเลือกรูปแบบที่ได้รับความนิยมได้หรือ?

ทั้งเธอมิใช่คนที่ฝีปากคล่องแคล่ว เซี่ยเสี่ยวหลานจ้างเด็กสาวสักคนในเมือง

ยังขายของเก่งกว่าหลี่เฟิ่งเหมยเสียอีก หลิวหย่งจึงไม่เห็นด้วยกับการร่วมหุ้น

นั่นคือการเอาเปรียบหลานสาว!

หลี่เฟิ่งเหมยถูกตำหนิจนรู้สึกผิด

นั่นสินะ ในเมื่อเธอช่วยงานไม่ได้ การร่วมหุ้นจะไม่เป็นการเอาเปรียบหรือ?

 อีกอย่างเทาเทาจะทำอย่างไร? เรื่องหาเงินมีฉันแล้ว

เธอต้องดูแลลูกดีๆ 

บ้านหลิวไร้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยเหลือ บิดามารดาหลิวหย่งจากไปก่อนวัยอันควร

มารดาหลี่เฟิ่งเหมยต้องเลี้ยงหลานและทำงานบ้านให้แก่ลูกชายทั้งหลาย

หาคนดูแลเด็กไม่ได้จริงๆ หลิวจื่อเทาไม่ใช่อายุ 16 ปี เขาเพิ่ง 6 ขวบเท่านั้น!

ที่จริงแล้วความคิดของสองสามีภรรยาไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ พวกเขาไม่มีความรู้อะไรนัก

ทว่ากำลังปฏิบัติตามระบบ ‘พ่อแม่เติบโตพร้อมลูก’ ซึ่งสนับสนุนกันโดยคนรุ่นหลัง ปัจจุบันมีครอบครัวที่สามีภรรยาต่างคนต่างทำงานอยู่มากมาย

และไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวที่จะมีผู้ใหญ่ช่วยดูแลบุตรหลาน ก่อนเข้างานพาลูกไปไว้ที่โรงเรียน

เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบก็สามารถกลับบ้านเองได้ ทุกคนเลี้ยงดูลูกตามมีตามเกิด คอยอยู่เป็นเพื่อนและฝึกสอนหลังเลิกเรียนอะไรกัน

ผู้ปกครองยุ่งกับการทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว ไม่มีเรื่องพิถีพิถันแบบนั้นหรอก!

แม้ไม่ได้วางแผนที่จะมีบุตร แต่เทาเทาคือบุตรชายคนเดียวของทั้งสองคน

หลิวหย่งแต่งงานช้า ส่วนหลี่เฟิ่งเหมยนั้นแต่งงานเป็นครั้งที่สอง

ทั้งสามีภรรยาอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว!

——————————–

หลิวเฟินมายังบ้านพักรับรองตั้งแต่เช้าตรู่

เธอไม่รู้ว่าโจวเฉิงและคังเหว่ยชอบรับประทานอะไร จึงไม่นำอาหารเช้ามาให้

เมืองซางตูไม่ขาดแคลนร้านอาหารเช้า เซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิงก็คุ้นเคยกับถนนอาหารมากทีเดียว

ทั้งคู่พากลุ่มคนไปรับประทานอาหารเช้าด้วยความชำนาญทาง

ในใจของเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกมีบางอย่างที่แปลกไปเล็กน้อย

ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าเธอกับโจวเฉิงเคยมาถนนอาหารกันมาก่อน

อีกทั้งไม่รู้ว่าโจวเฉิงกับเธอเคยขายปลาไหลและไข่ไก่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าโจวเฉิงเคยส่งโทรเลขฉบับหนาเท่าจดหมายให้เธอ

เคยมอบเครื่องช็อตไฟฟ้าสำหรับป้องกันตัวให้เธอ รวมไปถึงการจูงมือกันของทั้งสองที่สถานีรถไฟ

อ้อมกอดนั้นของโจวเฉิงก่อนรถไฟจะเคลื่อนตัว ระหว่างพวกเขาสองคนมีความลับที่คนอื่นไม่รู้

ราวกับก่อตัวเป็นความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง

โจวเฉิงหน้าไม่อายคนนี้ ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรอยู่ได้

 เสี่ยวหลานเธออยากกินอะไร? 

เซี่ยเสี่ยวหลานข่มกลั้นความต้องการมองค้อนเขาเอาไว้  ซุปเนื้อลาชามหนึ่ง 

มุมปากของโจวเฉิงยกสูง  น้อยไปแล้ว เธอผอมมากเหลือเกินควรกินให้เยอะขึ้นหน่อย

เพิ่มก้วนทังเปา [1] อีกเข่งเถอะ! 

ซุปเนื้อลาหนึ่งชาม ก้วนทังเปาหนึ่งเข่ง ตอนเธอและโจวเฉิงมาซางตูครั้งแรก ก็รับประทานอาหารที่เหมือนกับตอนนี้

ทั้งที่อากาศเดือนพฤศจิกายนเริ่มเย็นลงแล้วแท้ๆ ซุปเนื้อลายังไม่ทันลงท้อง

เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าหูแดงนิดหน่อยแล้ว

โจวเฉิงกระตือรือร้นช่วยทุกคนสั่งอาหาร กิริยาเหมาะสมและอัธยาศัยดี

หลิวหย่งยังคงไม่เชื่อในอาชีพของโจวเฉิง เขามีอุปนิสัยอดทนต่อความยากลำบากเสียที่ไหน? ไม่เหมือนคนใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนขนขวาย แต่เป็นคุณชายผู้เจนจัดในการหาความสำราญ!

หลิวหย่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ กลุ่มพวกเขาสั่งอาหารกันไม่ยั้ง

เถ้าแก่ได้ทักทายกระเซ้าเย้าแหย่สองสามประโยคเพื่อเพิ่มความครื้นเครง

 น้องชาย นี่คือเขยบ้านคุณสินะ? กตัญญูแถมใจกว้าง

อีกทั้วหน้าตาก็หล่อเหลา พี่ชายอิจฉาเสียจริง! 

หลิวหย่งแทบกระอักเลือด ลูกเขยบ้านใครกันนะ ถ้าอิจฉาคุณพาเขากลับบ้านไปดีไหมเล่า?

มีใครดูไม่ออกบ้างว่าโจวเฉิงชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน หลี่เฟิ่งเหมยรู้แล้ว

หลิวเฟินก็ดูออก หญิงสองนางนี้ประทับใจในตัวโจวเฉิงมากทีเดียว โจวเฉิงไม่คิดปิดบังเจตนารมณ์ของตนเอง

ประจบประแจงทุกคนอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาถามด้วยความตรงไปตรงมามากกว่าเดิม

 เสี่ยวหลาน ฉันได้ยินคุณน้าบอกว่าวันนี้เธอจะไปหยางเฉิงคนเดียวหรือ? เธอเดินทางไปคนเดียวฉันค่อนข้างกังวล ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอได้หรือไม่? 

หืม?

อนุญาตให้คุณไปด้วยต่างหากถึงอันตรายยิ่งกว่า เข้าใจไหม!

หลิวหย่งรู้สึกว่าเจ็บแผลบริเวณหลังมากยิ่งขึ้น

คังเหว่ยชินชากับนิสัยพบยอดดวงใจลืมมิตรสหายโดยพลันของโจวเฉิง

จากความตกตะลึงที่โดนทอดทิ้งในครั้งแรกจวบจนกระทั่งความสงบในครั้งนี้ สวรรค์รับรู้ดีว่าคังเหว่ยผ่านประสบการณ์อย่างไรมาบ้าง

หลี่เฟิ่งเหมยเมียงมองดูหลานสาว เด็กหนุ่มโจวเฉิงคนนี่รูปหล่อ

เซี่ยเสี่ยวหลานชมชอบเข้าแล้วหรือไม่?

หลิวเฟินกลับรู้สึกสับสน เธอประทับใจในตัวโจวเฉิงอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มคนนี้แสนดีต่อลูกสาวของเธอเหลือเกิน

คอยดูแลอยู่ไม่หยุดหย่อน ทั้งยังจะไปหยางเฉิงเป็นเพื่อนเสี่ยวหลาน

หลิวเฟินไม่ได้กังวลเรื่องความประพฤติของโจวเฉิง ทว่าเธอเป็นห่วงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ไม่น้อย

ทำธุรกิจก็วุ่นวานมากพออยู่แล้ว จะมีความรักได้หรือ?

เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คาดคิดเลยว่าโจวเฉิงจะอาจหาญได้ถึงเพียงนี้

เขากล่าวออกมาต่อหน้าทุกคน ถึงแม้เธอปฏิเสธ โจวเฉิงก็มีวิธีไปเองได้

แต่เซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าตัวเธอไม่ต้องการปฏิเสธนัก เธอบอกกับตนเองว่าอย่างน้อยโจวเฉิงก็ช่วยเธอขนกระเป๋าสินค้าได้

 ได้สิ ถ้าหากไม่เป็นรบกวนเวลาของเธอเกินไปนะ 

เชิงอรรถ

[1] 灌汤包 ก้วนทังเปา คือ ติ่มซำชนิดหนึ่ง คล้ายเสี่ยวหลงเปาแต่ลูกใหญ่กว่า

เน้นน้ำซุปข้างในเป็นหลัก

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท