เซี่ยเสี่ยวหลานมีความเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
ย้ายไปอาศัยในเมืองมณฑลโดยทันทีทันใด
ก่อนเธอไปได้ขอให้เฉินวั่งต๋าออกจดหมายแนะนำจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะเดินทางไปหยางเฉิงได้สะดวก
เซี่ยเสี่ยวหลานย้ายบ้านสายฟ้าแลบเช่นนี้ สะใภ้ใหญ่เฉินยังไม่ทันหลุดจากความตกตะลึง ทำไมย้ายไปเล่า ไม่เคยได้ยินว่าบ้านหลิวยังมีญาติที่ไหนเลยนี่ น้องสาวของหลิวหย่งที่ออกเรือนไปเขตหลินก็ไม่ไปมาหาสู่กับคนบ้านหลิวสักแปดร้อยปีได้
คุณว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินจะไปอยู่ที่ไหนกัน?
เฉินเหล่าต้าไม่ใส่ใจนัก เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการธุระของเธอตามระเบียบ
เรื่องที่เธอย้ายไปได้แจ้งกับเฉินวั่งต๋าเรียบร้อยแล้ว
บิดาของเฉินเหล่าต้าไม่คัดค้าน เฉินเหล่าต้ายิ่งไม่คัดค้าน
คุณนี่สนใจเยอะแยะจริง เธอจะไปที่ไหนได้ ทะเบียนบ้านยังอยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้คนที่ออกจากบ้านไปทำงานหาเงินเหมือนหลิวหย่งมีไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
เฉินวั่งต๋าไร้สิทธิ์ในการจำกัดความเคลื่อนไหวของลูกบ้าน
เฉินเหล่าต้ารู้สึกว่าภรรยาตนนั้นใส่ใจมากเกินไปแล้ว
สะใภ้ใหญ่เฉินบ่นอุบ เป็นเพราะที่นาของพวกเธอยังไม่ได้รับการแบ่งหรือเปล่า
ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?
สะใภ้ใหญ่เฉินยังคงสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะพบคู่หมาย
จึงพาหลิวเฟินไปอาศัยบ้านฝ่ายชายเสียเลย พอครุ่นคิดโดยละเอียดก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้
ครอบครัวใครกันที่ใจกว้างถึงขนาดสนใจแม้แต่มารดาของภรรยา?
สะใภ้ใหญ่เฉินยังคงบ่นพึมพำถึงการกระทำของเซี่ยเสี่ยวหลาน
—————————-
ทางด้านตระกูลเซี่ย จางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงอับจนหนทางจะยอมรับต่อเหตุการณ์ที่ได้รับรู้
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนในเซี่ยนอีจงจริง
แถมยังเตรียมตัวร่วมสอบเกาเข่าในปีหน้า ไม่ใช่การพึ่งพาเส้นสายของผู้ชายในกรุ
แต่เธอผ่านการทดสอบเข้าเรียนระหว่างภาคของเซี่ยนอีจงอย่างแท้จริง…
เป็นไปได้อย่างไร?!
คนที่สอบมหาวิทยาลัยได้ล้วนเป็นสุดยอดบัณฑิตจากสรวงสวรรค์กลับชาติมาเกิด
บัณฑิตเกิดใหม่ในตระกูลเซี่ย ร่วงลงมาอยู่ในท้องของจางชุ่ย
มีเพียงเธอที่คู่ควรให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรสาวนักศึกษามหาวิทยาลัย
หลิวเฟินเป็นแค่พวกไร้ค่า ผู้หญิงที่ให้กำเนิดแม้แต่ลูกชายไม่ได้
จางชุ่ยไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก
จางชุ่ยรู้สึกน่าขันยิ่งนัก!
ไม่เพียงแค่น่าขัน แต่เธอยังค่อนข้างรู้สึกหวาดหวั่นด้อีกวย
พ่อ คุณว่าหากนังเด็กนั่นสอบติดมหาวิทยาลัยจริงจะทำอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานนี่อะไรกัน ถ้าเรียนหนังสือไหวจริง
คงไม่จบมัธยมต้นแล้วหยุดเรียนหรอก อย่างไรเสียเมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานก็เป็นคนโง่ผู้มีสมองกลวงโบ๋
จางชุ่ยเกิดความระแวงขึ้นมาว่าเมื่อครั้งที่เซี่ยเสี่ยวหลานและหวังเจี้ยนหัวติดต่อกัน
หวังเจี้ยนหัวอาจจะเคยสอนหนังสือเพิ่มเติมให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลาน
หวังเจี้ยนหัวคือว่าที่ลูกเขยของเธอ
จื่ออวี้บอกว่าอีกหน่อยหวังเจี้ยนหัวจะมีอนาคตไกล จางชุ่ยรู้สึกภูมิใจที่ลูกสาวสามารถจับคู่หมายเช่นนี้ไว้ได้อยู่หมัด
ทว่าระหว่างหวังเจี้ยนหัวกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยังคลุมเครืออยู่ดี จางชุ่ยเฝ้าระวังเพราะกลัวว่าถ่านไฟเก่าของทั้งสองจะลุกไหม้อีกครั้ง
ทำไมอยู่ดีๆ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ?
คงไม่ใช่เพราะหวังเจี้ยนหัวที่ปักกิ่งเคยติดต่อหาเธอหรอกนะ?
หวังเจี้ยนหัวมีจื่ออวี้อยู่แล้ว ยังเป็นห่วงเซี่ยเสี่ยวหลานหญิงสำส่อนนั่นอีกนะ…
ในใจของเซี่ยฉางเจิงเกิดความพะว้าพะวงขึ้น
เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกจื่ออวี้ ชีวิตของนังเด็กนั่นไม่มีทางเปลี่ยนไปได้หรอก
มันเกลียดชังคนตระกูลเซี่ย!
วิธีที่พวกเขาใช้จัดการเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีเกียรติแล้วอย่างไร
เดิมทีตระกูลเซี่ยก็ลำบากยากจน
รวบรวมกำลังทั้งบ้านยังส่งเสียได้เพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่งคน
จื่ออวี้ลูกสาวของพวกเขาพยายามอย่างหนัก คนตระกูลเซี่ยจึงควรอุปถัมภ์จื่ออวี้อย่างสุดกำลัง
หากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีพฤติกรรมที่ออกนอกลู่นอกทาง พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสให้ได้เอาเปรียบหรอก!
ชนผนังตายไปเสียตั้งแต่แรก ก็จบสิ้นกันแล้ว
แต่เธอกลับไม่ตาย อีกทั้งหลังจากตื่นขึ้นมายังก่อความวุ่นวายต่อแผนการของพวกเขาอีกด้วย!
หากอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน เด็กร้ายกาจเช่นนั้นทำได้เพียงยอมปล่อยให้พวกเขาบีบเค้น
ไม่คาดคิดว่าหลิวเฟินมีความเด็ดขาดที่จะหย่า และพาเซี่ยเสี่ยวหลานหนีไปไกลลับ
ไม่ว่าเซี่ยฉางเจิงหรือจางชุ่ย หากต้องการทำอะไรกับเซี่ยเสี่ยวหลานอีก
ต่อจากนี้คงไม่มีความน่าเชื่อถืออีกแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย แบบนั้นจะดีได้อย่างไร แม้ว่าเธออาจสอบไม่ติด
แต่ถึงอย่างไรเซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ยก็ไม่สามารถวางใจได้
จางชุ่ยไม่ได้พูดถึงเรื่องไล่เซี่ยหงเซี๋ยกลับหมู่บ้านต้าเหออีก เธอเก็บเซี่ยหงเซี๋ยไว้
เพื่อก่อความยุ่งยากแก่เซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อคราวที่จำเป็น
ในขณะเดียวกันจางชุ่ยก็เร่งเร้าเซี่ยฉางเจิง
ให้เขาคิดหาวิธีทำลายคุณสมบัติการเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนที่เซี่ยนอีจงของเซี่ยเสี่ยวหลานไปซะ
ทำอย่างไรเซี่ยนอีจงถึงจะไล่นักเรียนสักคนออกกัน?
จางชุ่ยกล่าวโทษที่เซี่ยฉางเจิงไร้ความสามารถ หลังจากจื่ออวี้ไปเรียนที่ปักกิ่ง
อาจารย์ใหญ่ซุนคนนั้นล่ะ ทำไมคุณไม่เทียวไล้เทียวขื่อเขาให้บ่อยๆ?
เซี่ยจื่ออวี้รู้จักกับอาจารย์ใหญ่ซุนแห่งเซี่ยนอีจง
อาจารย์ใหญ่ซุนก็โปรดปรานเซี่ยจื่ออวี้ผู้มีความพากเพียรแน่วแน่ในการศึกษาเล่าเรียน
พอรู้ว่าเธอเป็นคนชนบท ครอบครัวให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง
อาศัยมารดาอย่างจางชุ่ยตั้งแผงอาหารว่างส่งเสียเซี่ยจื่ออวี้เรียนหนังสือ
อาจารย์ซุนยังเคยช่วยเหลือทักทายถามไถ่ มิเช่นนั้นจางชุ่ยคงเช่าทำเลท่าเรือทองคำบริเวณหน้าประตูเซี่ยนอีจงเปิดร้านไม่ได้แน่
เซี่ยจื่ออวี้สอบติดมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง ความสัมพันธ์อันดีกับทางเขตอันชิ่งก็ส่งต่อให้กับเซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ย
ทว่าเซี่ยฉางเจิงไม่ได้อ่านหนังสือมาตั้งนานแล้ว
อยู่ในบ้านก็ใช้สถานะความเป็นพี่ชายคนโตกดน้องชายอีกสองคน อยู่นอกบ้านกลับไม่ควรค่าให้แม้แต่จะกล่าวถึง
การที่จะให้เขากระตือรือร้นไปมาหาสู่กับคนมีวัฒนธรรมอย่างอาจารย์ใหญ่ซุนนั้น
เซี่ยฉางเจิงหาหัวข้อสำหรับการสนทนาไม่ได้ รู้ตัวดีว่าหากอยู่ต่อหน้าอาจารย์ใหญ่ซุนแล้วตนเองนั้นช่างอ่อนด้อย
เขาชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนค้าขายตามแผงลอยพวกนั้นในตัวเมือง ชอบฟังคำสรรเสริญเยินยอ
และชอบกินเนื้อดื่มเหล้ากับคนของโรงงานค้าเนื้อสัตว์เนื่องจากสามารถซื้อเนื้อราคากลางและเครื่องในสัตว์ราคาถูกได้
เซี่ยฉางเจิงรู้สึกว่าตนเองสง่าผ่าเผยเหลือเกิน
ทว่าตอนนี้จะทิ้งอาจารย์ใหญ่ซุนไว้อีกด้านไม่ได้แล้ว คำพูดประโยคเดียวของอาจารย์ใหญ่
จะไล่นักเรียนที่ไม่ดีสักคนไม่ได้เชียวหรือ?
เซี่ยฉางเจิงตัดสินใจที่จะกระชับมิตรกับอาจารย์ใหญ่ซุน
เซี่ยเสี่ยวหลานย้ายไปซางตูด้วยความปีติยินดี
ส่วนเซี่ยฉางเจิงหิ้วขาหลังหมูหนึ่งเส้น ใช้โอกาสเวลาฟ้ามืดคลำทางไปถึงบ้านของอาจารย์ใหญ่ซุน
อาจารย์ใหญ่ จื่ออวี้เขียนจดหมายมาว่าคิดถึงคุณเป็นอย่างมาก
ให้ผมมาเยี่ยมเยียนคุณแทนเธอ
เซี่ยจื่ออวี้จบการศึกษาไปได้เพียงไม่กี่เดือน ก็สอบติดปริญญาตรี
อาจารย์ใหญ่ซุนยังมีความประทับใจไม่รู้ลืม อาจารย์ใหญ่ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา
มีนักเรียนในวันวานที่สอบติดมหาวิทยาลัยคิดถึง
ก็เป็นการยืนยันว่าเขาได้รับความรักและความเคารพจากนักเรียน อาจารย์ใหญ่ซุนรู้สึกยินดีมากทีเดียว
คุณคือพ่อของจื่ออวี้สินะ? เข้ามาข้างในก่อนเถอะ
เล่าสถานการณ์ตอนนี้ของจื่ออวี้ให้ผมฟังเสียหน่อยสิ
ขาหลังหมูที่เซี่ยฉางเจิงนำมาด้วยนั้นอาจารย์ใหญ่ซุนไม่ได้รับเอาไว้
เซี่ยฉางเจิงถูมือเข้าด้วยกัน ชนบทก็ไม่มีของดีอะไร
นี่คือหมูที่ฆ่าแล้วของที่บ้าน ตั้งใจเก็บไว้ให้คุณโดยเฉพาะ ไม่ใช่จ่ายเงินซื้อ
ถ้าคุณไม่รับไว้ ผมคงรู้สึกไม่ดีนัก!
ลักษณะภายนอกที่เป็นคนชนบท ท่าทางสัตย์ซื่อ และซึ่งไร้พิษภัยของเซี่ยฉางเจิงมีไว้เพื่อหลอกลวงผู้คน
อาจารย์ใหญ่ซุนถอนหายใจ ทำได้แค่รับขาหลังหมูที่เขามอบให้
ทั้งสองพูดคุยเรื่องราวช่วงนี้ของเซี่ยจื่ออวี้อยู่สักพัก เซี่ยฉางเจิงไม่โง่เง่าถึงขั้นมาเยี่ยมเยียนครั้งแรกก็เกริ่นเรื่องของเซี่ยเสี่ยวหลาน
อาจารย์ใหญ่ซุนจะเชิญเขารับประทานอาหารยังไม่ยอม บอกแค่ว่าที่ร้านนั้นยุ่งมาก
โดยส่วนตัวอาจารย์ใหญ่ซุนชื่นชอบของฝากที่มีระดับมากกว่า เช่น สมุดบันทึกคุณภาพดี
ปากกาหมึกซึมหรือพวกหนังสือหายาก แม้จะเป็นของฝากที่ได้รับโดยปกติ
คนหัวทึบแค่ไหนยังรู้จักให้บุหรี่หรือสุรา ของฝากเช่นขาหลังหมูนี้
จะได้รับเฉพาะจากบ้านของนักเรียนในชนบทเท่านั้นจริงๆ เด็กชนบทเล่าเรียนกันอย่างยากลำบาก
อาจารย์ใหญ่ซุนก็ไม่มีความละโมบต่อเนื้อเป็ดไก่และไข่ไก่ของคนอื่น
ธุรกิจในครอบครัวพวกเขาเจอเรื่องยุ่งยากหรือเปล่านะ
วันหลังเธอไปสืบเสาะสักหน่อยสิ?
อาจารย์ใหญ่ซุนกล่าวกับภรรยาของตนเอง
เทียบกับหนังสือซึ่งรับประทานไม่ได้
คุณนายอาจารย์ใหญ่กลับคิดว่าขาหลังหมูเป็นของที่มีค่ามากกว่า
จะเจอเรื่องยุ่งยากอะไรได้ ธุรกิจร้านจางจี้อาหารว่างดีเสียเหลือเกิน
รายได้ต่อวันของพวกเขานั้นเท่าเงินเดือนเดือนหนึ่งของคุณเลยนะ
เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งในเขตอันชิ่งแล้วอย่างไร?
ทำเงินได้ยังไม่เท่าเถ้าแก่ของร้านอาหารว่างข้างทางเลย
แน่นอนว่าหากให้ภรรยาอาจารย์ใหญ่ไปเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านขายอาหารว่าง เธอก็คงไม่ยอม
เมื่อช่วงที่เกิดความโกลาหลนั้นคนเช่นอาจารย์ใหญ่ซุนเป็นพวกน่าชังลำดับที่เก้า [1] หลังจากฟื้นฟูเกาเข่าได้ไม่กี่ปี
อาจารย์ใหญ่ซุนเป็นผู้รับผิดชอบของโรงเรียนมัธยมหลักในเขตอันชิ่ง แม้เงินเดือนจะไม่มากมายนัก
แต่บ้านซุนกลับได้รับความเคารพจากผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
จะจัดการธุระอะไร ภรรยาอาจารย์ใหญ่ซุนเพียงส่งข่าวออกไปเล็กน้อย
ย่อมมีคนจัดการแทนเธอได้อย่างเหมาะสม
ธุรกิจอิสระหรือ?
คงอยู่ในช่วงภาวะฉุกเฉินสินะ ดูอย่างวันนี้มีคนมาขอความช่วยเหลือตั้งหลายคนทีเดียว
ทว่าอยู่ดีๆ บ้านเซี่ยมาเยี่ยมเยือนถึงเรือน เพื่อธุระอะไรกันเล่า ภรรยาอาจารย์ใหญ่ซุนตัดสินใจฟังคำพูดของเหล่าซุนสามีของเธอ
หาเวลาออกไปสืบเสาะข่าวคราวเสียหน่อย
พ
เชิงอรรถ
[1] 臭老九 พวกน่าชังลำดับที่เก้า
คำหยาบคายที่ใช้เรียกปัญญาชนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ความเป็นมาของลำดับที่เก้าคือ ปัญญาชนถูกเรียงอยู่ในลำดับที่เก้าของกลุ่มคนที่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง
ได้แก่ เจ้าของที่ดิน เกษตรกรผู้มั่งมี พวกต่อต้านการปฏิวัติ คนเลว (อาชญากร)
ลัทธิฝ่ายขวา สายลับ คนทรยศ คนของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เดินสายทุนนิยม และปัญญาชน