เติมน้ำร้อนแก้วเดียวยังเจอพวกค้ามนุษย์ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตนช่างโชคร้ายเกินไปแล้ว.
ผู้หญิงคนนี้ต้องการทำอะไรกันแน่?
เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ทนต่อทุกอย่างเพื่อเสวนากับอีกฝ่ายเด็ดขาด
เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น จึงถามอีกฝ่ายโดยตรงว่าเป็นพวกค้ามนุษย์หรือไม่
หญิงอ้วนทั้งอับอายทั้งโมโหอย่างไร้ที่สิ้นสุด จะลากเซี่ยเสี่ยวหลานไปอีกทางให้ได้ ไปไปไป พวกเราไปปรับความเข้าใจกันดีกว่า!
คุณก็คือพวกค้ามนุษย์!
ด้านกำลังกายเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจต่อกรกับหญิงอ้วน
มืออีกข้างหนึ่งของเธอได้คลำเครื่องช็อตไฟฟ้าที่โจวเฉิงมอบให้ไว้แล้ว
เธอกำลังเตรียมมอบความโหดร้ายแด่หญิงอ้วน ทว่าผู้คนโดยรอบเริ่มวิพากษ์วิจารย์
มีคนเข้ามาไกล่เกลี่ยพอดี
คุณผู้หญิง เด็กสาวเขาเหมือนจะไม่รู้จักคุณนะ?
คุณจับแขนคนอื่นไว้ไม่ปล่อยเพื่ออะไร?
คงไม่ใช่พวกค้ามนุษย์จริงๆ หรอกนะ
ได้ยินมาว่าบนรถไฟมีพวกค้ามนุษย์ที่ขโมยเด็กและหลอกลวงผู้หญิงโดยเฉพาะ
พอเจอหญิงสาวอายุน้อยก็จะแนะนำไปหาเงินก้อนใหญ่ทางใต้ ผลปรากฏคือขายคน!
ตำรวจรถไฟล่ะ รีบไปเรียกตำรวจรถไฟมาเถอะ
อย่างไรเสียห้ามถูกลากตัวไปโดยเด็ดขาด
เซี่ยเสี่ยวหลานระวังกลุ่มคนไกล่เกลี่ยพวกนี้ไม่น้อยเช่นกัน
เธอไม่สามารถมั่นใจว่าในกลุ่มคนมีผู้ช่วยของหญิงอ้วนอีกหรือไม่`
หญิงอ้วนก็ไม่บอกว่าเธอและเซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักกันหรือเปล่า
แค่โวยวายเรียกร้องให้เซี่ยเสี่ยวหลานขอโทษ
เธอว่าใครค้ามนุษย์? ยังเด็กยังเล็กกลับกล่าวหาคนตามใจชอบได้อย่างไร? ร้ายกาจเสียจริง!
เซี่ยเสี่ยวหลานรำคาญเธอแทบตาย
ไม่ได้นำเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาต่อหน้าสาธารณะชน
แต่เตะหน้าแข้งของหญิงอ้วนเข้าอย่างจัง การรับความเจ็บปวดของกระดูกหน้าแข้งรุนแรงมาก
หญิงอ้วนคลายมือในทันที เธอจะไปจับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ตะโกนด้วยเสียงดังกึกก้อง ‘จับพวกค้ามนุษย์’ และใช้โอกาสถอยออกมาจากวงล้อมของฝูงชน
คุณหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ ห้ามขยับ!
ตำรวจรถไฟมาแล้ว ถูกพามาโดยชายวัยกลางคนสวมแว่นตาที่ไม่เคยสนทนากับเซี่ยเสี่ยวหลาน
ชายกลางคนนำมือไพล่หลังไว้ ลักษนะการพูดจาน่าเกรงขาม
คุณครับ พวกเราซื้อตั๋วตู้นอนเพราะต้องการความเงียบสงบ
ผู้หญิงคนนี้เอะอะโวยวาย อาจจะเป็นพวกค้ามนุษย์จริง
ที่นี่คือบนรถไฟ อยากหนีแต่ย่อมไม่มีที่ให้หนี
ทันใดนั้นหญิงอ้วนก็ไม่แผลงฤทธิ์อาละวาดอีก
ทว่าเธอยังคงแสดงกิริยาเก่งกาจทั้งที่ขลาดกลัว พวกคุณว่าใครค้ามนุษย์? พวกคุณล้วนเป็นพวกเดียวกัน ปรักปรำคนดี!
เป็นพวกค้ามนุษย์หรือไม่ สอบสวนเสียหน่อยก็รู้แจ้งแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเหตุการณ์ของตนเองก่อน
จากนั้นส่งจดหมายแนะนำให้ตำรวจรถไฟตรวจตรา
เมื่อเช้าตอนฉันไปเติมน้ำได้พบกับเธอ เธอก็ตอแยฉันถามจู้จี้จุกจิก
เมื่อสักครู่ถึงกับจับฉันไม่ยอมปล่อย คุณตำรวจ ฉันไม่รู้จักเธอจริงๆ และก็ไม่อยากคบค้าสมาคมอะไรกับเธอด้วย
หญิงอ้วนย่อมชี้แจงแถลงไขให้กับตนเองเช่นกัน
ไม่มีหลักฐานใดๆ
ตำรวจรถไฟทำได้เพียงตำหนิและสั่งสอนหญิงอ้วนเท่านั้น ตักเตือนเธอว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เซี่ยเสี่ยวหลานอีก
มีอะไรดีนักหนา…
หญิงอ้วนบ่นอุบอิบ จ้องหน้าเซี่ยเสี่ยวหลานหนึ่งที
และคอตกย่องกลับตู้รถของตนเองไป
ตำรวจรถไฟจับตามองอย่างเข้มงวดมาก
หญิงอ้วนและผู้ชายของเธอจึงล่วงหน้าลงรถไฟที่สถานีต่อไป
นี่ไม่ใช่ชัยชนะของเซี่ยเสี่ยวหลาน
เธอแค่หลบหลีกอันตรายหนึ่งครั้งไปได้
แต่ใครจะรู้ว่ามีคนอื่นถูกหญิงอ้วนหลอกลวงอีกหรือไม่?
ขอบคุณนะคะ
หลังเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไปยังตู้รถนอน
ได้ริเริ่มทำลายความเงียบงันก่อน กล่าวคำขอบคุณต่อชายวัยกลางคนผู้สวมแว่นตา
อีกฝ่ายถือหนังสือพิมพ์ไว้ พยักหน้ารับ แต่ก็ไม่กล่าวถึงสิ่งอื่น
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นผู้โดยสารที่พบกันโดยชะตาลิขิต
ทำความรู้จักกันสั้นๆ ระหว่างเดินทางบนรถไฟ
ช่วยเหลือโดยเรียกตำรวจรถไฟก็เพราะมีจิตใจใฝ่ความถูกต้อง
ชายผู้นี้มีบุคลิกที่ไม่เหมือนคนทั่วไป อาจจะเป็นผู้มีตำแหน่งฐานะ
คนเขาไม่ต้องการสนทนาด้วยมากมาย เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่ทำให้รำคาญ
ทว่าขณะเธอกำลังรับประทานของที่นำมา
ก็นำอาหารวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง
คุณลองชิมไหมคะ? !
ชายวัยกลางคนไม่สนใจเนื้อหมักซอสที่ส่งกลิ่นหอมหวนเลย
เขาสุขสมสำราญใจในการรับประทานอาหารของรถไฟของตน
เซี่ยเสี่ยวหลานแน่ใจแล้ว เขาไม่ยินดีมีปฏิสัมพันธ์กับเธอจริงๆ…
เอาเถอะ เธอก็ไม่ใช่มาโซคิสม์เสียด้วย
หลังเกิดเรื่องหญิงอ้วนขึ้น
ผู้คนทั่วสารทิศบนตู้รถหลายตู้ตระหนักถึงความเก่งกาจของเซี่ยเสี่ยวหลาน
จึงไม่เกิดเรื่องคล้ายกันขึ้นอีก เช้าวันต่อมา
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ถึงสถานีรถไฟหยางเฉิงโดยสวัสดิภาพ
มีสตรีผิวคล้ำผู้หนึ่งชูป้ายไม้ขึ้นสูงเขียนไว้ว่า ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินเข้าไปหา สวัสดีค่ะคุณ ฉันคือเซี่ยเสี่ยวหลาน
หญิงคนนี้ฉีกยิ้มหัวเราะ ฟันขาวสะดุดตามาก พี่ชายฉันวานให้มารับ เขาบอกว่าโจวเฉิงขอให้เขาช่วยเหลือ
เซี่ยเสี่ยวหลานถามไถ่อีกสองสามประโยค
คำตอบถูกต้องดั่งที่นัดแนะไว้กับโจวเฉิงทั้งหมด
ผู้หญิงคนนี้ได้โจวเฉิงไหว้วานมาอย่างไร้ข้อกังขา
ฉันแซ่ไป๋ ชื่อว่าไป๋เจินจู ฉันเกิดปี 62
นี่แสดงว่าอายุมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน 3 ปี ปีนี้อายุ 21 เมื่อเปรียบเทียบชื่อ [1] และสีผิวแล้ว
ก็ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานอดมีความตราตรึงที่ลึกล้ำไม่ได้ แสงแดดของหยางเฉิงเหลือเฟือ
ผิวของหญิงสาวจึงไม่กระจ่างใสเท่าทางอวี้หนาน ไป๋เจินจูจึงดูโตกว่าอายุจริง
แต่คนที่โจวเฉิงหามาก็มีข้อดีของเธอ ไม่พูดมาก
ทว่าก็ไม่เย็นชาต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน
นิสัยของไป๋เจินจูค่อนข้างคล้ายคลึงกับเด็กผู้ชาย กำลังกายก็มีมาก
เซี่ยเสี่ยวหลานแจ้งว่าตนเองมาหยางเฉิงเพื่อรับซื้อเสื้อผ้าสตรี
ไป๋เจินจูจึงพอเธอไปด้านข้างสถานีรถไฟอย่างไม่รีรอ
ตลาดค้าส่งมักจะอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟมากนัก
สิ่งนี้สอดคล้องกับระเบียบของตลาด สินค้าจำนวนมากจำเป็นต้องอาศัยรถไฟในการขนส่ง
นับจากวันนี้ไปอีกหลายปี
ครั้งหนึ่งตลาดค้าส่งเสื้อผ้าหยางเฉิงได้ครอบครองปริมาณสินค้าของทั้งประเทศมากกว่าร้อยละ 50 ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าของแต่ละมณฑลก็นำเข้าสินค้าจากหยางเฉิง
แหล่งสินค้ามือหนึ่งแนวหน้าที่สุดจึงอยู่ที่นี่นั่นเอง…ทว่าตลาดค้าส่งเสื้อผ้าขนาดใหญ่หลายแห่งที่คนรุ่นหลังรู้จักโดยทั่วยังไม่ถูกบริหารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไร้ซึ่งตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่ ไม่มีป้ายบอกทางคอยแนะนำ
ไป๋เจินจูหาบ้านพักรับรองให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลาน ตอนบ่ายพาเธอไปตลาดกลางคืนซีหูและหวงฮัวซึ่งมีเชื่อเสียง
แผงลอยรูปแบบโรงเรือนปลูกต้นไม้ต่อไฟส่องแสงสว่างตามสะดวก
ที่จำนวนเยอะกว่าคือแผงลอยข้างถนน บนพื้นปูเสื้อน้ำมันประดับลวดลาย
เสื้อผ้าก็ซ้อนทับกันเป็นกองพะเนินเทินทึก
โดยทั่วไปคนตุนของแม้แต่ดูยังขี้เกียจจะดู คว้าเสื้อผ้าได้ก็ยัดใส่ถุงผ้ากระสอบ
5 หยวนทุกตัว รีบเข้ามาเลือก รีบเข้ามาดู!
กางเกงแบบตะวันตก 8 หยวน!
เสื้อนอกฤดูใบไม้ผลิ…
เสียงเรียกดังสลับกันต่อเนื่องรบกวนสมาธิ
เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่รีบร้อนลงมือ พินิจไปทีละร้าน ในกระเป๋าที่เธอถืออยู่แม้แต่เสื้อผ้าชิ้นเดียวก็ไม่มี
ไป๋เจินจูติดตามเธออย่างใกล้ชิด กลัวว่าเธอจะโดนคนท้องถิ่นรังแกได้
ไป๋เจินจูคือรูปลักษณ์คนหยางเฉิงที่เป็นมาตรฐาน
แค่เอ่ยปากก็ได้ยินสำเนียงท้องถิ่นที่จัดจ้าน
ใครอย่าได้คิดจะเล่นตุกติกกับเธอง่ายๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกถูกใจพวกเสื้อผ้าที่ราคาถูกเป็นพิเศษ
ถ้าจะนำเข้าสินค้าแบบนั้น เธอไม่จำเป็นต้องถ่อมาไกลขนาดนี้จริงๆ
แผงลอยทั้งหมดล้วนผ่านตาได้หนึ่งรอบ
เซี่ยเสี่ยวหลานถึงตัดสินใจเลือกสองแผงลอยเอาไว้ ขายสินค้าส่งเหมือนกัน
แผงนี้ไม่ได้นำเสื้อผ้ากองอิเหละเขะขะ แต่แขวนไว้ทีละตัว
น่าจะเพราะรีดเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าดูมีผิวสัมผัสที่เปี่ยมคุณภาพทีเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานลูบเนื้อผ้าอย่างเบามือ
เถ้าแก่ ตัวนี้ราคาเท่าไร?
เธอจะซื้อปลีกหรือซื้อส่ง?
ซื้อส่ง! ฉันไม่เอาแค่ตัวเดียว
ราคาส่ง 13 หยวน ราคาปลีกก็ 16 หยวน
ถ้าเป็นแผงลอยอื่น เสื้อไหมพรมคอกลมหนึ่งตัวลักษณะนี้ราคาแค่ไม่กี่หยวน
ร้านนี้กลับให้ราคาถึง 13 หยวน
ราคาส่งก็แพงขึ้นหนึ่งเท่าตัว ไป๋เจินจูหิ้วเสื้อผ้าไว้ อย่าฟันเราเหมือนคนต่างถิ่นสิ!
เถ้าแก่หัวเราะร่วน เซี่ยเสี่ยวหลานลูบไล้พื้นผิวของเสื้อไหมพรม
ไหมที่เสื้อตัวนี้ใช้อ่อนนุ่มกว่า ตรงคอเสื้อล้อมด้วยขอบตกแต่งลูกไม้
ใช้เส้นด้ายโปร่งแสงเย็บลูกปัดหลากสีติดไว้… เสื้อไหมพรมแบบนี้
เหล่าสตรีในเมืองซางตูต้องชอบแน่ แพงไปบ้างย่อมไร้ปัญหา
มีสีไหนบ้าง ฉันเอาทุกสีสีละสองตัว
สีแดง สีขาว และสีดำคือสียอดนิยม
เซี่ยเสี่ยวหลานชื่อชอบการออกแบบเช่นนี้มาก แม้แต่สีเหลืองขมิ้นก็ซื้อมาสองตัว
ควักเงินจริงทองแท้ [2] มาซื้อสินค้า
เถ้าแก่ก็ยิ้มแย้มต้อนรับ น้องสาวนี่ตรงไปตรงมาดีจริง
ตรงนี้ฉันยังมีสินค้าใหม่อีก!
เถ้าแก่คว้าถุงใบโตออกมาจากใต้แผงลอย
หยิบแบบใหม่ที่ว่าจากข้างในถุง
เซี่ยเสี่ยวหลานสะบัดเสื้อแผ่ไว้ให้เรียบ ปรากฏว่าสวยมากจริงๆ
ไหมสีขาวและสีเขียวถักทอเป็นรูปภาพใบเมเปิ้ล คอเสื้อเป็นปกพับมิใช่คอกลม
เสื้อผ้าแบบนี้ที่ซางตูยังสามารถใส่ในฤดูใบไม้ร่วงได้ ถ้าอากาศเย็นขึ้นสวมใส่ไว้ข้างในก็ดีเช่นกัน
เป็นรูปแบบที่ซื้อได้อย่างไม่ต้องกังวลจริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าสีเขียวสวยที่สุด รองลงมาคือสีท้องฟ้าใส
สีฟ้าใสนี้น่ารักมีชีวิตชีวามากกว่า เทียบกับสีมืดมนอย่าง ‘เขียวทหาร’ และ ‘น้ำเงินมด [3]’ ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
สตรีในยุค 80 ไม่โปรดสวมใส่สีสันของคนใช้แรงงาน
แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยตัวเลือกที่มากนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับตั้งใจเลือกเฟ้นสีสันที่ฉูดฉาดและรูปแบบที่แปลกใหม่
เธอเชื่อมั่นว่าเสื้อผ้าแบบนี้ขายได้แน่นอน
กางเกงขาบานก็เป็นเครื่องแต่งกายที่แปลกประหลาด
ภาพยนตร์ญี่ปุ่นสองเรื่องในปี 78 ‘คิดถึงบ้าน’
และ ‘ล่า’ เป็นที่นิยมในประเทศจีน
ทำให้ ‘กางเกงขาบาน’ เข้าสู่โลกทัศน์ของคนหนุ่มสาวเช่นกัน ก๋ากั่นและไม่สุภาพ? เหล่าวัยรุ่นโหยหาความไม่ธรรมดาจากก้นบึ้งของหัวใจ
พวกเขาต้องการแต่งตัวไม่เหมือนกันเพื่อแสดงออกถึงตัวตนของตนเอง
ซางตูมีคนที่ยอมรับความสมัยนิยมประเภทนี้ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานชำระเงินด้วยความแน่วแน่
รับกางเกงขาบานจำนวนหนึ่งไว้ด้วย ต้องขอบคุณที่รูปร่างของผู้คนในเวลานี้ผอมบางกันเป็นปกติ
เสื้อผ้าหนึ่งแบบเธอซื้อมากสุดสองขนาด
ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนสามารถยัดตนเองลงเสื้อและกางเกงขนาดเล็กกับขนาดกลางได้
สตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่ต้องมีครอบครัวมีเงินทองสมบูรณ์มาก ขนาด XL ขึ้นไปหรือ? ถ้าไม่ใช่องค์หญิงมีอันจะกินผู้ตะกละตะกลาม
ก็เป็นเพราะลักษณะทางกายภาพที่ดื่มน้ำเย็นยังอ้วนขึ้นได้
เชิงอรรถพ
[1]ชื่อไป๋เจินจูมีความหมายว่า ‘ไข่มุกขาว’ (白 สีขาว 珍珠 ไข่มุก)
จึงตรงข้ามกับสีผิวของเธอ
[2]真金白银 เงินจริงทองแท้
เปรียบเทียบเป็นของมีค่าดุจเงินและทองคำ
หมายถึงสิ่งของที่มีมูลค่าสูงและหมายถึงเงินก้อนใหญ่
[3]蓝蚂蚁 มดน้ำเงิน
มีที่มาจากคำเรียกคนจีนของชาวต่างชาติ เพราะกลุ่มคนใช้แรงงานมักสวมเสื้อผ้าสีเข้ม
เช่น สีน้ำเงิน สีกรมท่า คนจึงเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่ามดน้ำเงิน
คล้ายคลึงกับการเรียก ปกน้ำเงิน (Blue collar) ซึ่งหมายถึงผู้ใช้แรงงานเช่นกัน