เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 4 ตอนที่ 93 วางกลอุบายดักเซี่ยเสี่ยวหลาน

เล่มที่ 4 ตอนที่ 93 วางกลอุบายดักเซี่ยเสี่ยวหลาน

ตระกูลจูคนมากกำลังมาก สมาชิกในครอบครัวกระจายอยู่ในแต่ละหน่วยงาน

ในความคิดของภรรยาหูหย่งไฉคือตระกูลจูเป็นครอบครัวที่สุดยอดแล้ว

เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ไม่เคยคบค้าสมาคมกับเหล่าผู้บริหาร

เช่นบิดาของจูฟ่างนั่นถือเป็นเจ้าพนักงานทั่วไปจริงๆ

เจ้าพนักงานทั่วไป เมื่อเทียบกับตำแหน่งสถานะในชาติก่อนแล้วนั้นไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย

ทว่าสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานในตอนนี้ก็ถือว่ารับมือได้ยากยิ่ง ทั้งเครือญาติตระกูลจูทำงานในหน่วยงานต่างๆ

อีก หากจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ธุรกิจอิสระสักอย่างยังจะยากเย็นอีกหรือ?

เรื่องราวช่างยุ่งยากนัก แต่เธอไม่เสียใจที่ฟาดมารดาจูฟ่างครั้งนั้นเลย

รังแกเธอจนสุดทนแล้วจะไม่ให้ตอบโต้กลับหรือ?

หากตระกูลจูเคียดแค้นเธอเพราะสาเหตุนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคงต้องเลือกใช้วิธีจัดการตามสถานการณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นไปไม่ได้ที่การทำธุรกิจจะราบรื่นไปตลอดทาง

เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตระกูลจูเป็นเพียงการฝึกฝนตนเองในเส้นทางสู่ความสำเร็จ

สถานที่สำหรับตั้งแผงลอยคงต้องเปลี่ยนจริงๆ เสียแล้ว หากตั้งแผงอยู่ที่เดิมเสมอ คงจะถูกคนหาเรื่องได้ง่าย

เดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อยากเปิดหน้าร้านถาวรไวขนาดนี้

ทว่าตระกูลจูมีภัยร้ายแฝงเร้นมากเกินไป เธอต้องรีบจบสงครามกองโจรโดยเร็วสักหน่อย

การเปิดร้านต้องปฏิบัติตามกระบวนการ เมื่อมีใบอนุญาตประกอบกิจการแล้ว

ถ้าคนอื่นอยากก่อความวุ่นวายอีกก็ต้องเปลืองแรงหน่อย ทว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะก่อความวุ่นวายแก่เธอได้ง่ายขึ้น

ร้านถาวรไม่อาจบอกว่าให้เก็บร้านก็เก็บได้เลย พระหนีรอดแต่วัดหนีไม่รอด [1]

แต่หากเปรียบความยุ่งยากกับการเปิดหน้าร้าน อันตรายของการตั้งแผงลอยใหญ่หลวงกว่า

ปัจจุบันยังไม่มี ‘เทศบาลเมือง’ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าร้านค้าเร่เหมือนในอนาคต

ถ้าอย่างนั้นงานของเทศบาลเมืองมีใครมารับผิดชอบกัน? หน่วยงานดูแลทิวทัศน์เมือง

หน่วยงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ หน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานการคมนาคม

ไปจนถึงหน่วยงานรักษาความมั่นคงสาธารณะและรัฐบาลท้องถิ่น แต่ละภาคส่วนล้วนดูแลจัดการ

ต่างดำเนินการตามกฎหมาย และสามารถจัดการเหล่าร้านค้าเร่จนอ่อนน้อมถ่อมตนได้

เซี่ยเสี่ยวหลานดีใจอีกครั้งที่ไม่ได้เปิดร้านอาหารว่าง

การค้าขายอาหารดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ทักษะที่สุด อันที่จริงการค้าขายอาหารมีสิ่งที่ต้องกังวลในแต่ละด้านมากกว่า

แค่ฝีมือยอดเยี่ยมก็หาเงินได้อย่างนั้นหรือ

หากมีลูกค้ารับประทานแล้วท้องไส้ปั่นป่วนเล่าจะทำอย่างไร หรือมีอันธพาลมากรรโชกก่อกวนจะทำอย่างไร

ค้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ต้องการสุขอนามัยอันเลิศเลอ

ถ้าเปิดร้านอาหารว่างสักแห่งใครๆ ก็เหยียบย่ำได้ อย่าว่าแต่หน่วยงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์มาตรวจสอบเลย

หน่วยงานสาธารณสุขยังทำให้คุกเข่าได้ง่ายๆ ด้วยซ้ำ

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ การที่ครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้สามารถเปิดร้านได้อย่างเจริญรุ่งเรืองจำนวนสองคูหาบริเวณประตูอันชิ่งเซี่ยนอีจงได้ก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อย

เซี่ยเสี่ยวหลานคาดเดาว่า ‘จางจี้อาหารว่าง’ ต้องมีผู้หนุนหลังแน่นอน ถ้ามีคนชนบทผู้ไร้ซึ่งรากฐานเข้าเมืองมาเพื่อทำธุรกิจ

คนมากมายที่เฝ้ามองการทำเงินก้อนโตจะไม่อิจฉาตาร้อนได้หรือ การถูกอันธพาลนักเลงหัวไม้กรรโชกและต้มตุ๋นคือเรื่องปกติ

แย่งชิงธุรกิจไปดื้อๆ ก็ไม่อาจมีหนทางใดแก้ไขได้

เซี่ยเสี่ยวหลานก็ใช่ว่าจะรู้ดีเสียทุกเรื่อง เบื้องหลัง ‘จางจี้อาหารว่าง’ มีคนหนุนอยู่จริง

และคนผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่ซุนแห่งอันชิ่งเซี่ยนอีจงนั่นเอง

อาจารย์ใหญ่ซุนไม่ได้ดูแลร้านอาหารว่างเพื่อเงินทองหรือผลประโยชน์

เขาเพียงแค่โปรดปรานนักเรียนดีเด่นอย่างเซี่ยจื่ออวี้

คนที่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยล้วนเป็นนักเรียนดีเด่น ครอบครัวยากจนแต่ยังไม่ละทิ้งการเรียน

บุคคลเช่นเซี่ยจื่ออวี้นี้ อาจารย์ใหญ่ซุนจะไม่โปรดปรานได้อย่างไร

เขาช่วยจางชุ่ยเดินเรื่องติดต่อจนได้มาซึ่งร้านค้าแสนรุ่งโรจน์บริเวณหน้าประตูอันชิ่งเซี่ยนอีจง

เนื่องจากมีครั้งหนึ่งเขาเห็นนักเลงสองคนทำลายแผงลอยของจางชุ่ย

น้ำแกงร้อนเดือดสาดไปทั่วบริเวณ จางชุ่ยร้องไห้อยู่บนพื้น คร่ำครวญคำพูดว่าแม่ช่างไร้ประโยชน์

และเซี่ยจื่ออวี้ผู้เพิ่งได้รับทุนการศึกษาจากมือของอาจารย์ใหญ่ซุนก่อนหน้านี้

นั่งยองกับพื้นดินช่วยมารดาที่เป็นหญิงชนบทเก็บกวาดถ้วยชาม

พลางเอ่ยปากจะไม่เรียนหนังสือแล้ว สองแม่ลูกกอดกันร้องห่มร้องไห้

จะไม่ศึกษาเล่าเรียนได้อย่างไร ด้วยคะแนนของเซี่ยจื่ออวี้

ความหวังในการสอบติดมหาวิทยาลัยมีมากมายถึงเพียงนั้น!

อาจารย์ใหญ่ซุนตะเพิดนักเลงสองคนให้จากไป ถามไถ่เซี่ยจื่ออวี้ว่ามีอะไรที่เขาพอช่วยเหลือได้บ้าง

เซี่ยจื่ออวี้มีเหตุมีผลเป็นอย่างยิ่ง เธอไม่ได้ขอร้องสิ่งใด

ทว่าสุดท้ายก็ไม่พูดว่าจะไม่เรียนหนังสืออีก

เวลาต่อมาอาจารย์ใหญ่ซุนเจอจางชุ่ยอีกหลายครั้ง

สตรีผู้หนึ่งอาศัยแผงขายอาหารว่างส่งเสียลูกสาวร่ำเรียนด้วยตัวคนเดียว

ชีวิตช่างไม่ง่ายดายเอาเสียเลย

ตอนนั้นเซี่ยจื่ออวี้เรียนอยู่มัธยมปลายปีหนึ่ง ในตัวเมืองตอนปี 80 มีแผงลอยแค่ไม่กี่ร้าน เงินทองในกระเป๋าจึงไม่มากมาย

ธุรกิจอาหารว่างก็ไม่ถือว่าดีนัก ณ เวลานั้นอาจารย์ใหญ่ซุนยังโมโหทีเดียว

ตระกูลเซี่ยไม่มีใครอื่นแล้วหรือ?

ต่อมาได้เข้าใจสถานการณ์อีกแง่มุมหนึ่ง

สมาชิกมากมายของตระกูลเซี่ยล้วนไม่เห็นด้วยกับการให้เซี่ยจื่ออวี้ที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งศึกษาเล่าเรียนต่อไป

ครอบครัวไม่ได้ให้การสนับสนุนสองแม่ลูกแม้แต่น้อย

 เด็กผู้หญิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้หรือ? !

ครานั้นอาจารย์ใหญ่ซุนกลับบ้านไปกล่าวเช่นนี้

ทั้งหมดทั้งมวลเพราะได้บันทึกความยากลำบากของนักเรียนผู้มุ่งมั่นซื่อตรงอย่างเซี่ยจื่ออวี้ไว้ในจิตใจแล้ว

จนกระทั่งปีกลาย เซี่ยจื่ออวี้เลื่อนขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสาม

คะแนนการสอบจำลองเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำสลับเว้นกันไป

เพื่อทำให้จิตใจของเซี่ยจื่ออวี้ทุ่มเทแก่การเรียนทั้งหมด อาจารย์ใหญ่ซุนจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือจนได้

เยื้องเซี่ยนอีจงมีร้านค้าอยู่สองคูหา

อาจารย์ใหญ่ซุนคิดว่าจางชุ่ยสามารถเปลี่ยนแผงอาหารว่างเป็นบริหารหน้าร้านได้

ถ้าไม่ใช่เพื่อให้เซี่ยจื่ออวี้จดจ่อกับการศึกษาเล่าเรียนได้

อาจารย์ใหญ่ซุนจะไม่ยุ่งเรื่องนี้แน่นอน

ทว่าโอกาสในการเปิดร้านของจางชุ่ยเห็นได้ชัดว่ามีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นความช่วยเหลือของอาจารย์ใหญ่ซุนจึงมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก

ล้มลุกคลุกคลานได้สองปี จางชุ่ยไม่เพียงฝึกฝนฝีมือการทำอาหารว่างออกมา

ทั้งยังสะสมเงินก้อนหนึ่งสำหรับเปิดร้านได้แล้ว

ธุรกิจ ‘จางจี้อาหารว่าง’ เป็นไปด้วยดี เซี่ยจื่ออวี้ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่

ผลการเรียนจึงมั่นคงไปโดยปริยาย

ยิ่งปีนี้สอบติดวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งได้ในรอบเดียว เป็นนักศึกษาปริญญาตรีอย่างแท้จริง

ทำให้อาจารย์ใหญ่ซุนโล่งใจที่ความช่วยเหลือของตนไม่เสียเปล่า อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนมัธยมหลักของเขต

ตำแหน่งนี้มิได้สลักสำคัญอะไรในวงการข้าราชการนัก

แต่ผู้บริหารของสำนักการศึกษาก็อาจไม่ได้รับความเคารพเท่าอาจารย์ใหญ่ซุน

ไม่ต้องพูดถึงนักเรียนรุ่นก่อนของอาจารย์ใหญ่ซุน

ตอนนี้ครอบครัวใครไม่มีบุตรหลานที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ้าง?

ลูกชายลูกสาวไม่สอบ ก็มีหลานชายหลานสาวอยู่ดี ‘จางจี้อาหารว่าง’ คือร้านที่อาจารย์ใหญ่ซุนเกื้อกูลด้วยตนเอง

หลังเปิดกิจการถึงไม่มีคนมาก่อความวุ่นวาย

อาจารย์ใหญ่ซุนกระทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่หวังผลตอบแทน

เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อช่วยนักเรียนดีเด่นผู้ที่สถานะครอบครัวยากจนขัดสนเท่านั้น

แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับความรู้จักกาลเทศะของครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้ด้วยเช่นกัน

พวกเขาไม่ใช้กิตติศัพท์ของอาจารย์ใหญ่ซุนในการกระทำเรื่องที่ไม่สมควร

ตอนนี้เซี่ยฉางเจิงได้นำของมาเยี่ยมเยียนอีกแล้ว

อาจารย์ใหญ่ซุนจึงคิดว่าพวกเขามีเรื่องลำบากที่พูดไม่ได้ วันแรกมอบขาหมู วันที่สองเป็นซี่โครงแพะ

วันที่สามคือห่านหนึ่งตัว… ของฝากซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นอายพื้นบ้านแบบนี้

อาจารย์ใหญ่ซุนนั้นรับไม่ไหวแล้ว

อีกอย่างมาเยือนถี่ยิบถึงเพียงนี้

เกรงว่าเรื่องที่สร้างความยุ่งยากแก่เซี่ยจื่ออวี้จะไม่เล็กน้อยเลย

อาจารย์ใหญ่ซุนจึงต้องเร่งเร้าภรรยาของตนให้รีบเป็นคนกลางไปถามไถ่อย่างช่วยไม่ได้

คุณนายอาจารย์ใหญ่ไปรับประทานของว่างที่จางจี้หนึ่งหน

จางชุ่ยจะขอร้องสิ่งใดยังคงไม่เอ่ยปาก ทว่าได้ฟังเรื่องราวมากมายกลับบ้านด้วย

 เหล่าซุน ที่แท้ตระกูลเซี่ยก็มีคนสอบเข้าเซี่ยนอีจงอีกแล้ว

เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของเซี่ยจื่ออวี้ 

อาจารย์ใหญ่ซุนไม่เข้าใจ

ถ้าอย่างนั้นที่เซี่ยฉางเจิงมอบของฝากบ่อยครั้งเพื่อขอให้เขาดูแลหลานสาวคนนี้?

อาจารย์ใหญ่ซุนไม่พอใจไปชั่วครู่ ไม่เคยพบเห็นตระกูลเซี่ยใส่ใจเซี่ยจื่ออวี้ในตอนนั้นแบบนี้เลย

ภรรยาเขาอยากกล่าวบางอย่างทว่ายั้งไว้  บ้านเซี่ยกระวนกระวาย

ลูกพี่ลูกน้องของเซี่ยจื่ออวี้สอบเข้าเซี่ยนอีจง เด็กคนนี้น่ะมีปัญหาเล็กน้อย… 

มีปัญหาเล็กน้อยอะไรน่ะหรือ ก็คือชื่นชอบการประชันกับเซี่ยจื่ออวี้โดยเฉพาะ

จางชุ่ยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว ขอร้องอาจารย์ใหญ่ซุนช่วยดูแลเป็นพิเศษ

เมื่อก่อนหลานสาวคนนี้เดินในเส้นทางที่คดเคี้ยวมามาก กว่าจะเรียนดีได้ช่างยากเย็น

จะเดินเส้นทางขัดต่อศีลธรรมไม่ได้อีกแล้ว ภรรยาของอาจารย์ใหญ่ฟังแล้วไม่สบายใจนัก

หมายความว่าได้รับรองเท้าผุพังคนหนึ่งเข้าเรียนแล้ว?

 คงจะไม่ทำบรรยากาศการเรียนของนักเรียนชั้นเตรียมสอบย่ำแย่ไปด้วยสินะ? 

นักเรียนที่เซี่ยนอีจงล้วนเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์เปี่ยมด้วยกำลังวังชา

จะทนความเย้ายวนของเพื่อนร่วมชั้นหญิงได้ที่ไหน จางชุ่ยกลุ้มอกกลุ้มใจจนใบหน้าง้ำงอเป็นก้อนเดียว

เล่าว่าเห็นหลานสาวของเธอคลุกคลีตีโมงกับนักเรียนชายคนหนึ่ง

วาจาดั้งเดิมของจางชุ่ยคือ ‘จะทำร้ายลูกของคนอื่นไม่ได้อีกเด็ดขาด’ ภรรยาอาจารย์ใหญ่ได้ยินถึงกับอกสั่นขวัญแขวน

ฟังน้ำเสียงเช่นนี้ แสดงว่าไม่ได้เคยทำร้ายแค่คนเดียว?

อีกทั้งมีเด็กสาวบ้านเซี่ยที่ช่วยงานร้านจางจี้อาหารว่างคอยบรรยายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

เล่าถึงการกระทำอันน่ารังเกียจทุกรูปแบบของเซี่ยเสี่ยวหลาน

ภรรยาอาจารย์ใหญ่อคติเป็นหลักจึงเชื่อพวกจางชุ่ยมาก

ได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรตามทำนองคลองธรรม

อยู่บ้านไม่เคารพผู้ใหญ่ ทั้งยุแยงบิดามารดาหย่าร้างจากกัน

หันกลับมาอีกทีไม่รู้ว่าสอบเข้าเซี่ยนอีจงได้อย่างไร… คุณนายอาจารย์ใหญ่จะชื่นชอบเซี่ยเสี่ยวหลานก็แปลกแล้ว

หลังจากอาจารย์ใหญ่ซุนฟังจนจบก็ไม่เบิกบานนัก แต่เขาเป็นคนมีเหตุผลทีเดียว

 ไว้ฉันจะสอบถามความเป็นไปของนักเรียนคนนี้ให้ดีเสียหน่อย 

เชิงอรรถ

[1]跑得了和尚跑不了庙 พระหนีรอดแต่วัดหนีไม่รอด หมายถึง

หนีรอดจากอันตรายไปได้ระยะหนึ่ง แต่เพราะมีห่วงบางอย่าง

สุดท้ายก็หลบหนีไปไม่รอดอยู่ดี

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท