เล่มที่ 4 ตอนที่ 107 ดำเนินการไปพร้อมกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
เฉินซีเหลียงราวกับแมวที่โดนเหยียบหาง
อะไร๋ของเธอหน่า… เธอลองจับดูสิ มาลองจับเนื้อผ้าดูได้เลย!
พอเฉินซีเหลียงพูดอย่างร้อนรน แม้แต่ภาษาหยางเฉิงก็หลุดออกมา สำเนียงจีนกลางของเขาถือว่าไม่เลวในหมู่คนหยางเฉิง
ทว่ายังคงมีสำเนียงท้องถิ่นอยู่ เซี่ยเสี่ยวหลานมองอย่างไรท่าทางเขาก็เหมือนคนที่กลัวถูกจับได้
เฉินซีเหลียงตาลีตาเหลือกดึงเสื้อนอกลงมายัดใส่มือของเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้มือหยิบๆ ถูๆ
เนื้อผ้าดีจริงนั่นแหละ
เฉินซีเหลียงไม่ได้พูดโกหกทั้งหมด
พิจารณาด้วยประสบการณ์สองชาติของเซี่ยเสี่ยวหลาน
น่าจะเป็นผ้าทอผสมระหว่างแคชเมียร์และขนแกะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ผ่านมาตรฐานของโรงงานเล็กแห่งไหน
ถึงได้ใช้ขนแพะแคชเมียร์สูญเปล่าแบบนี้!
ไม่รอให้เฉินซีเหลียงดีใจ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ขมวดคิ้ว ผ้าดีแต่ไม่ใช่ไคซือหมี่ หนึ่งตัวขายส่ง 80 หยวนแพงเกินไปแล้ว ฉันนำกลับไปขายไม่ได้แน่นอน คุณให้ราคาที่เป็นจริงหน่อย
เฉินซีเหลียงได้แต่คิดว่าประหลาดยิ่งนัก
เมื่อครั้งแรกที่มาซื้อสินค้าเซี่ยเสี่ยวหลานแต่งตัวไร้รสนิยมออกจะตาย แค่เห็นก็รู้ว่าคือเด็กสาวจากชนบท
เคยสัมผัสผลิตภัณฑ์จากขนแพะภูเขาของแท้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ดันยืนกรานว่าเสื้อนอกตัวนี้ไม่ใช่วัสดุไคซือหมี่เสียได้
คนหนึ่งต้องการขายเสื้อผ้า อีกคนที่จริงก็อยากซื้อ ทำการต่อรองราคา
สุดท้ายจึงหั่นราคาส่งลงไปที่ 70 หยวน
สีหน้าคับอกคับใจของเฉินซีเหลียงราวกับสูญเสียมารดา ว่ากันด้วยทักษะการแสดงแล้วเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตนเองไม่มีพรสวรรค์เท่าพ่อค้าหนุ่มขี้โกงคนนี้
เธออาศัยประสบการณ์ล้วนๆ ในการต่อราคาทีละน้อยกับเฉินซีเหลียง ถ้าน้อยกว่า 70 หยวน เขาไม่ยอมลดอีกต่อไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานถึงจะตกลง
เสื้อนอกนี้มีสองสี สีดำและสีกรมท่า สีกรมท่าคือการเรียกแบบยุคหลัง
ตอนนี้ผู้คนคุ้นชินเรียกมันว่า ‘สีน้ำเงินนาวี [1] ‘
เซี่ยเสี่ยวหลานรับทุกสีอย่างละ 10 ชิ้น
ซื้อไว้ทุกขนาด เสื้อแบบนี้ของเฉินซีเหลียงขายไม่ดี จึงกระหายที่จะสลัดสินค้าไปให้พ้นมือทั้งหมด
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นบ้าบิ่นแต่ไม่ทิ้งความรอบคอบ ไม่ยอมนำเข้าสินค้าจำนวนมากเกินไป
อย่างไรก็ตามเธอมีการเตรียมพร้อมทางจิตใจที่ต้องจมทุนกับสินค้าแล้ว
นำกลับไปอาจจะขายได้ไม่รวดเร็วในระยะหนึ่ง ไม่เพียงแต่เพราะการออกแบบเลือกคนสวมใส่
ในขณะเดียวกันนี่คือสินค้าราคาต่อชิ้นที่แพงที่สุดเท่าที่เคยซื้อ
ไม่ว่าอย่างไรราคาปลีกก็ต้องประมาณ 140 หยวน
เงินเดือนสามเดือนของคนธรรมดา
เดิมทีเฉินซีเหลียงคิดว่าเสื้อกันลมของเซี่ยเสี่ยวหลานคงทำกำไรให้เธอเป็นกอบเป็นกำจนพอใจและหยุดขายเสื้อสองแบบนี้ไปเสียแล้ว
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังหันกลับมาซื้อเสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดอย่างละ 30 ตัวอีกรอบ
เสื้อกันลมชายซื้อจำนวนมากหน่อย ส่วนเสื้อขนเป็ดซื้อแบบผู้หญิงมากกว่า
เพียงสินค้าสามชนิดนี้ก็เกือบ 2900 หยวนแล้ว
หักลบค่าขนส่งสินค้าและค่าเดินทางไปกลับของเธอเอง เงินที่เธอสามารถใช้จ่ายได้เหลือแค่ 1800 กว่าหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานตัดใจไม่ซื้อเสื้อไหมพรม แม้การออกแบบจะเป็นเอกลักษณ์ขนาดไหนก็ไม่เอา
เธอซื้อเพิ่มแค่เสื้อนอกขนสัตว์สตรีกับกางเกง พวกเครื่องประดับกระจุกกระจิกอย่างผ้าพันคอหรือถุงมือก็ไม่ซื้อเช่นกัน
รองเท้าหนังทำกำไรได้ไม่มาก เธอจึงคร้านที่จะเลือกขนาดกลับไป
ประเภทสินค้าเพิ่มจากน้อยไปมาก และตัดทอนจากมากไปน้อยอีกครั้ง
เดิมทีก็คือผลลัพธ์จากการหยั่งเชิงปฏิกิริยาของตลาด ทำธุรกิจซ้ำซากจำเจได้ที่ไหน
ต้องปรับเปลี่ยนทุกเวลา ถึงจะไม่ถูกขับไล่ออกจากตลาด… เอาเถอะ แต่ไหนแต่ไรการทำธุรกิจเสื้อผ้าในซางตูก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
ในชั่วพริบตาเดียว เดือนธันวาคมก็มาถึงแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งอยู่บนรถไฟ และลังเลว่าตนเองจะลงจากรถกลางทางดีหรือไม่…
เช่นเดียวกับที่เธอคิดก่อนหน้านี้ เธอควรไปเยี่ยมบ้านเก่าในชาติก่อนเสียหน่อย
ครั้งแรกโจวเฉิงบอกจะพบกันที่หยางเฉิง ครั้งที่สองมีโจวเฉิงเคียงข้างจึงเดินทางลงใต้ด้วยเสียเลย
ครั้งที่สามก็อยู่กับหลิวเฟิน เหมือนว่าครั้งไหนๆ ก็ไม่สะดวกลงรถกลางทาง
ถ้าอย่างนั้นคราวนี้เล่า ตัวเธอเพียงคนเดียว
ไม่ เธอยังมีสินค้าติดตัวอีกมากมาย สินค้ามูลค่าเกือบ 5000 หยวน ถ้าไม่สามารถไปถึงสถานีซางตูพร้อมกันได้ จะเป็นเช่นไรหากความเหนื่อยยากที่ผ่านมาเหล่านี้สูญเปล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้เหตุผลนี้ในการเกลี้ยกล่อมตนเอง
ยิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดเมืองนอนก็ยิ่งรู้สึกโหวงเหวง เธอกลัวว่าจะไม่พบ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
อีกทั้งรู้สึกว่าพบแล้วไม่รู้ควรจะเผชิญหน้ากับ ‘ตัวเอง’ อย่างไร อาจเป็นเพราะตอนนี้เธอยังไม่เข้มแข็งพอ มิเช่นนั้นคงไม่รู้สึกสับสนแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
กึงกัง กึงกัง กึงกัง
รถไฟแล่นผ่านสถานีระหว่างทางนั่นไป
—————————————-!
เซี่ยเสี่ยวหลานขนสินค้าโดยการโดยสารรถไฟที่นั่งธรรมดาเป็นเวลา 30 กว่าชั่วโมงจึงกลับถึงซางตูเป็นครั้งที่สี่
หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยคำนวณเวลามารอยังสถานีรถไฟตั้งนานแล้ว สภาพอากาศของซางตูไม่กี่วันมานี้ยังคงเลวร้าย
บนชานชาลาโหมกระหน่ำไปด้วยสายลมอันหนาวเหน็บ
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินสวมเสื้ออ่าวเก่ารุงรังทั้งคู่
พวกเธอทำธุรกิจค้าขายเสื้อผ้า ทว่าแม้แต่เสื้อขนเป็ดแคล่วคล่องนุ่มนิ่มสักตัวก็ทำใจใส่เองไม่ได้
แต่ถึงอยากใส่ก็ไม่มี สินค้าคราวก่อนขายหมดเกลี้ยงแล้ว
รถไฟค่อยๆ จอดเทียบท่ายังชานชาลาช้าๆ หลี่เฟิ่งเหมยจิตใจกระตือรือร้น
รถขบวนนี้สินะ? เร็วเข้า รีบหาเสี่ยวหลานเร็ว!
อากาศยิ่งเย็นธุรกิจยิ่งรุ่งเรือง
หลี่เฟิ่งเหมยตั้งแผงกับเซี่ยเสี่ยวหลานครั้งหนึ่งถึงได้รู้ ที่แท้ซางตูมี ‘คนรวย’ เยอะแยะขนาดนี้ คนชนบทนอกจากซื้อเกลือ
ซื้อเมล็ดพันธ์หรือปุ๋ยเคมี มีแค่ค่าเล่าเรียนของลูกหลานในครอบครัวเท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินได้
หากมีอาการปวดหัวตัวร้อนขึ้นมาก็ยินดีอดทนอดกลั้น จะตัดเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมก็ต้องจ่ายเงิน
เมื่อก่อนการซื้อผ้ายังต้องใช้ตั๋วผ้า
สะสมตั๋วผ้าจำนวนเล็กน้อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หนึ่งปีสะสมตั๋วสำหรับตัดเสื้อผ้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็ยังไม่พอ…
แม้หลิวหย่งจะนำเงินทุน 5000 หยวนที่ถอนออกจากหุ้นให้หลี่เฟิ่งเหมยดูแล
แต่เธอก็ทำใจจ่ายเงิน 100 หยวนซื้อเสื้อนอกขนสัตว์สักตัวไม่ได้อยู่ดี
แต่คนเมืองยินดีเสียเงินจำนวนนั้นน่ะสิ พวกเขามีเงินเดือนทุกเดือน
ต่อให้เป็นงานอย่างเผาหม้อไอน้ำก็ไม่ยากลำบากเท่าเกษตรกรที่ทำไร่ทำนา
เวลาปกติใช้เงินอย่างระวังถี่ถ้วน แต่หน่วยงานต่างๆ ย่อมมีผลประกอบการไม่เหมือนกัน
บางหน่วยงานเงินเดือนเพียงสามสิบกว่าหยวนต่อเดือน
บางที่เงินเดือนอาจถึงหกเจ็ดสิบหยวน ส่วนหน่วยงานที่ผลประกอบการยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ
เงินเดือนรวมค่าตอบแทนเบ็ดเสร็จอาจถึงหนึ่งร้อยสองร้อยหยวนต่อเดือน
ครอบครัวที่สามีภรรยาต่างมีรายได้ ภาระครอบครัวยังไม่หนักหน่วง
หากต้องการซื้อเสื้อนอกขนสัตว์ราคาหลักร้อยหยวนสักตัว
เก็บเงินสองเดือนย่อมซื้อได้แล้ว เสื้อผ้าดีคือเครื่องประดับสำคัญที่เชิดหน้าชูตา
ดั่งจักรยานใหม่ ดั่งนาฬิกาดอกเหมย [2] บนข้อมือ…
สิ่งของที่ทุกคนล้วนมี ตนเองก็ต้องพยายามมีให้ได้เหมือนกัน
แม้ตอนนี้หลี่เฟิ่งเหมยริเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวแล้ว
ในด้านการใช้เงินยังคงเป็นสายอนุรักษ์นิยมอยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิวเฟิน ลูกสาวเติบโตจนอายุ 18 ปี เธอเคยจับเงินทั้งหมดกี่หนกัน?
ทุกวันนี้เธอหาเงินได้เองก็จริง
ทว่าเมื่อก่อนจมอยู่ในความเหนื่อยยากหลายปีดีดัก
เวลาใช้จ่ายเงินทองจึงกระเบียดกระเสียร จะรังเกียจการเก็บเงินไว้มากๆ ได้อย่างไร? ถ้าเธอมีเงิน ตอนแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานชนผนังฆ่าตัวตาย คงไม่จำเป็นต้องคุกเข่าขอร้องแม่เฒ่าเซี่ยส่งเซี่ยเสี่ยวหลานไปโรงพยาบาลหรอก
หลิวเฟินตระหนี่กว่าหลี่เฟิ่งเหมยเสียอีก
เงินที่เธอเก็บไว้ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่จะมอบให้เซี่ยเสี่ยวหลานทั้งหมด
เสี่ยวหลานแตกต่างจากเธอแน่นอน เงินทองอยู่ในมือเสี่ยวหลานสามารถงอกเงยได้มากขึ้น…
อย่างไรเสียหลิวเฟินก็ไม่เต็มใจใช้เงินหนึ่งเหมาเพื่อตัวเองอยู่ดี
น้ำมันหอยตลับละไม่กี่เฟินนำมาทามือเธอยังเสียดาย
ทว่าถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานจะรับประทานเนื้อสัตว์หรือข้าวขาว
หลิวเฟินไม่เคยปริปากตำหนิแม้แต่ประโยคเดียว
คนชนบทแสนเงอะงะทั้งสองพากันอุทานว่าคนซางตูช่างร่ำรวย
พลางชะเง้อชะแง้อย่างขันแข็ง
ในที่สุดก็เห็นเงาร่างของเซี่ยเสี่ยวหลานท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่
เสี่ยวหลาน!
เสี่ยวหลานอยู่นั่น!
เซี่ยเสี่ยวหลานขนสินค้าจำนวนมากกลับซางตู แต่กลับเป็นหญิงสองคนในครอบครัวมารับที่สถานี
—————————————-
วันนี้หลิวหย่งติดธุระกับครอบครัวรองผู้อำนวยการโรงงาน
ชายชราล้มขาหักต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสภาพการเชื่อมของกระดูกซ้ำ หลิวหย่งจึงช่วยแบกลงจากอาคาร
และใช้ผ้าห่มขนสัตว์พันขาของชายชราไว้
ญาติที่จ้างมาช่วยงานรับผิดชอบพาชายชราไปโรงพยาบาล
หลิวหย่งก็วิ่งขึ้นอาคารกลับไปช่วยนวดแป้ง
ลูกชายของสามีภรรยาเฒ่าซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานจะกลับบ้านพ่อแม่มารับประทานอาหารในวันนี้
เมื่อเช้าหญิงชราวิ่งวุ่นไปซื้อเนื้อหมูสับ หลิวหย่งไร้ฝีมือในการทำอาหาร
แต่เขามีแรงกาย จึงรับหน้าที่นวดแป้งแทน
อันที่จริงบาดแผลบนแผ่นหลังของเขายังไม่หายสนิท ทว่าไม่มีใครในบ้านนี้ดูออกเลยแม้แต่น้อย
ขนข้าวสารแบกถ่าน หลิวหย่งหนักเอาเบาสู้
หญิงชราทั่วหล้าจะเหมือนย่าอวี๋กันหมดได้อย่างไร หัวใจคนเรามีความรู้สึก
หญิงชราบ้านนี้คิดว่าควรจัดการธุระแทนหลิวหย่งเสียหน่อย ทั้งสองคนห่อเกี๊ยว
หญิงชราได้รับรองกับหลิวหย่ง
อีกประเดี๋ยวเธอไม่ต้องพูดอะไรนะ ทำตามฉันก็พอ
หลิวหย่งปลื้มปีติ สีหน้าแสดงออกอย่างไม่สบายใจนัก ดูสิว่านี่ลำบากคุณขนาดไหน…
หญิงชรานับจำนวนเกี๊ยวก้อนกลมกลิ้ง มีอะไรลำบากกัน
จะต้องทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงแน่
ในใจใครจะไร้ความคิดกันบ้าง หลิวหย่งไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหาย อีกทั้งไม่ได้รับเงินเดือนจากครอบครัวเธออีกด้วย
แต่กระนั้นก็ยังวิ่งวุ่นไปมาที่บ้านทั้งวัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำไปนั้นมีความใส่ใจและเป็นที่พึ่งได้มากกว่าลูกชายรองผู้อำนวยการโรงงานของเธอเสียอีก
แม้จะทำไปเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง ทว่าตัวเขาก็ไม่ปิดบัง
คนซื่อตรงจากชนบทเข้าเมืองกระเสือกกระสนดำรงชีวิต อะไรที่สามารถช่วยเหลือได้ ย่อมสมควรจัดการให้เป็นธรรมดา หญิงชราไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ใดด้วยซ้ำ
เพื่อนมนุษย์ต้องให้ความสำคัญกับการเกื้อกูลอยู่แล้ว
เธอนั้นถูกใจหลิวหย่ง!
เชิงอรรถ
[1]海军蓝 น้ำเงินนาวี คือ สีกรมท่า ที่เรียกว่าน้ำเงินนาวี (นาวี แปลว่า
กองทัพเรือ) เพราะสีน้ำเงินชนิดนี้เป็นสีเครื่องแบบกองทัพเรืออังกฤษ
ซึ่งต่อมาใช้แพร่หลายไปทั่วโลก แต่ในไทยเรียกสีนี้ว่ากรมท่า
มาจากสีโจงกระเบนของข้าราชการสมัยก่อนในหน่วยงานชื่อ กรมท่า
[2]梅花表 นาฬิกาดอกเหมย คือ นาฬิกาชื่อดังจากสวิสเซอร์แลนด์ หรือ ทิโทนี (TITONI)