เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 4 ตอนที่ 119 มอบหัวใจให้เขาโอบกอด

เล่มที่ 4 ตอนที่ 119 มอบหัวใจให้เขาโอบกอด

        หวังเจี้ยนหัวต้องตาต้องใจรุ่นพี่หญิงในคณะเดียวกันเข้าเสียแล้ว

        รุ่นพี่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกด้วย แต่เป็นถึงบุตรสาวของอาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัย

อยู่ในครอบครัวปัญญาชนระดับสูง แค่สถานะของครอบครัวก็ทิ้งห่างตระกูลเซี่ยแห่งหมู่บ้านต้าเหอไปหลายขุมแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นคือรุ่นพี่มีรูปลักษณ์ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ นิสัยจริงใจเปิดเผย

คนประเภทนี้ชื่นชอบหวังเจี้ยนหัวเข้า ย่อมไม่เก็บงำอุบเงียบไว้กับตนเองอย่างแน่นอน

ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าหวังเจี้ยนหัวมีแฟนสาวที่อยู่ในรั้วสถานศึกษาเดียวกันก็ตาม

        ตอนนั้นเซี่ยจื่ออวี้กังวลเล็กน้อย ทว่าเธอมีนิสัยสงบเสงี่ยม

บังคับตัวเองให้อดทนไม่ซักไซ้หวังเจี้ยนหัว

        ข่าวลือไร้ที่มาเผยแพร่ได้สองวัน หวังเจี้ยนหัวก็เริ่มอธิบายด้วยตนเอง  ฉันอธิบายกับรุ่นพี่หลิ่วไปอย่างชัดเจนว่าฉันมีคนรักแล้ว ทำได้เพียงขอบคุณในความรู้สึกดีของรุ่นพี่หลิ่วเท่านั้น 

         รุ่นพี่จะยอมตัดใจง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ? 

        สุดท้ายเซี่ยจื่ออวี้ก็อดตัดพ้อจนไม่ได้ หวังเจี้ยนหัวจับมือเธอขึ้นมา เมื่อเห็นแผลผื่นหนาวบนนิ้วมือก็รู้สึกสงสารเธอยิ่งนัก

         ตัดใจหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเขา ฉันบอกแล้วว่ากำลังจะพาเธอไปพบพ่อกับแม่…

จื่ออวี้ ตอนนี้ครอบครัวของฉันตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหลือเกิน

ฉันเองก็รับประกันไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะหลุดพ้นจากสภาพนี้

แต่ฉันจะพยายามเพื่อให้เธอมีชีวิตที่ดีแน่นอน 

        คำมั่นสัญญานี้คลายกังวลให้แก่เซี่ยจื่ออวี้ไปจนสิ้น

        เซี่ยจื่ออวี้รู้ดีที่สุดว่าวังเจี้ยนหัวเป็นคนอย่างไร

หากเขามีเจตจำนงจะพาเซี่ยจื่ออวี้ไปพบบิดามารดา แสดงว่าการวิวาห์ของทั้งสองได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

        ผลลัพธ์เช่นนี้มอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่แด่เซี่ยจื่ออวี้

ปณิธาณที่เธอยืนหยัดนั้นถูกต้อง ขอเพียงยินดีลงทุนก็ย่อมมีผลตอบแทน

เงินทองขี้ประติ๋วจะเป็นปัญหาอะไร

ซักเสื้อผ้าสองตัวด้วยน้ำเย็นในฤดูหนาวทำให้แข็งตายได้เชียวหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการช่วยห่ออาหารจากโรงอาหารหรือเรื่องเล็กอย่างประหยัดเงินไว้ซื้อเนื้อหมูน้ำแดงให้หวังเจี้ยนหัว

ความใส่ใจสั่งสมเข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อย

เปลี่ยนแปลงทัศนคติของหวังเจี้ยนหัวที่มีต่อเธอได้เป็นอย่างดี

        เซี่ยจื่ออวี้ซักเสื้อผ้าตากแดดเรียบร้อย ตอนนำไปให้หวังเจี้ยนหัว

ก็เกริ่นถึงความตั้งใจของตน

         เจี้ยนหัว ฉันตั้งใจว่าปิดภาคเรียนจะกลับบ้านสักครั้ง เอาไว้ค่อยไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าที่ไร่นะ 

        หวังเจี้ยนหัวพยักหน้า  ควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

เธอออกมาเรียนหนังสือตั้งหลายเดือน ต้องกลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง เธอคงเหลือเงินไม่มากเท่าไรสินะ

ฉันเก็บเงินอุดหนุนของหลายเดือนมานี้ไว้บ้าง จะได้ซื้อตั๋วรถให้เธอ 

        เงินทองของเซี่ยจื่ออวี้สงเคราะห์ให้เขาหมด หวังเจี้ยนหัวรู้อยู่แก่ใจ

        ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเขามีเซี่ยจื่ออวี้เป็นผู้รับผิดชอบ จึงทำให้สามารถเก็บสะสมเงินอุดหนุนซึ่งมหาวิทยาลัยมอบให้เขาได้

การนำเงินส่วนนี้ไปใช้กับเซี่ยจื่ออวี้จึงเป็นสิ่งสมควร

        เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้ปฏิเสธ ดวงหน้าเธอแสดงความลำบากใจอยู่บ้าง

พอหวังเจี้ยนหัวซักถามเธอจึงตอบอย่างตะกุกตะกัก

         ที่บ้านส่งจดหมายให้ฉัน เล่าว่าหลังจากพวกเราสองคนมาที่นี่

เสี่ยวหลานก็ก่อเรื่องในบ้านเสียใหญ่โต… ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ลุงรองและอาสะใภ้รองถึงได้หย่ากัน อาสะใภ้รองพาเสี่ยวหลานกลับบ้านแม่

ฉันกังวลว่าเสี่ยวหลานยังคงไม่ปล่อยวาง 

        นี่คือครั้งแรกที่เซี่ยจื่ออวี้พูดถึง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อย่างผ่าเผย

        เมื่อได้ยินชื่อนี้กะทันหัน หวังเจี้ยนหัวรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย

ในหัวได้ปรากฏใบหน้าพริ้มเพรายั่วเย้าขึ้นอีกครั้ง

        เซี่ยเสี่ยวหลานมีรูปลักษณ์สวยสดงดงาม

ความงามที่หวังเจี้ยนหัวเกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยพบเจอ

ราวกับส่องแสงสว่างแก่ชีวิตชนบทอันแสนมืดมัว

ทำให้หวังเจี้ยนหัวมีความหวังในช่วงเวลาตกต่ำที่สุดของชีวิต—ทว่าเป็นความจริงที่ ‘ความสวย’ ไม่มีประโยชน์อะไร มันแก้ไขปัญหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตไม่ได้

และไม่มีทางนำความช่วยเหลืออื่นมาให้เขาด้วย

        เสน่หาหรือไม่เสน่หา ไม่สำคัญเท่าการดำรงชีวิตอยู่

        เซี่ยเสี่ยวหลานจิตใจอารีไม่สู้จื่ออวี้

การคบหากับจื่ออวี้ขจัดความพะวงของเขาจนหมดสิ้น

        บุรุษต้องการเพียงยอดภรรยาสักคน โดยเฉพาะสตรียอดเยี่ยมเท่าเทียมกันที่ยินดีจะเป็นยอดภรรยาของเขา

ความอิ่มเอมใจนั้นช่างเกินบรรยาย หวังเจี้ยนหัวข่มอาการใจสั่นจากความกระวนกระวายไว้

         ฉันพูดกับเขาชัดเจนแล้ว ไม่ปล่อยวางก็ช่วยไม่ได้ เธอหัวรั้นเสียจริงๆ 

        ครั้งนั้นที่เขาเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกับนักเลงยื้อยุดฉุดกระชากกันก็โกรธเคืองไม่น้อย

เลยกล่าววาจาไม่น่าฟังออกไป ต่อมาพอจิตใจสงบลงและลองไตร่ตรองดูอีกที

เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ถึงขั้นถูกใจคนอย่างจางเสเพล…

แต่วาจาระคายหูได้โพล่งออกไปแล้ว หวังเจี้ยนหัวจึงคิดว่าเมื่อผิดพลาดแล้วก็ควรปล่อยมันไปเสีย

ตัดขาดความคะนึงหาต่อเซี่ยเสี่ยวหลานไปอย่างสิ้นเชิง

        เซี่ยเสี่ยวหลานชอบเขาเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อเขาตัดสินใจคบกับจื่ออวี้

เขาจึงเป็นได้เพียง ‘พี่เขย’ ของเธอเท่านั้น!

        พอได้ยินว่าบิดามารดาของเซี่ยเสี่ยวหลานหย่าร้างแยกทางกัน

หวังเจี้ยนหัวไม่สบายใจทีเดียว ทว่าไม่อาจแสดงออกต่อหน้าเซี่ยจื่ออวี้ได้

         เรื่องพวกนี้เธอจัดการเถอะ ฉันไม่ควรก้าวก่ายธุระในครอบครัวของเธอ

แต่ฉันกลับอวี้หนานเป็นเพื่อนเธอได้นะ จากนั้นพวกเราค่อยไปไร่ด้วยกัน 

        เซี่ยจื่ออวี้หลุบตาลง ที่แท้ยังลืมเลือนไม่หมดสิ้น?

        เธอทุ่มเทมากมายถึงขนาดนี้ ยังไม่สามารถคว้าหัวใจของชายตรงหน้าได้อีกหรือ

เซี่ยเสี่ยวหลานนอกจากมีหน้าตาที่สะสวยแล้ว ก็เป็นหญิงหัวทึบไร้ประโยชน์ แต่ที่ไหนได้ผู้ชายส่วนมากบนโลกนี้ดันมองแค่ภายนอก

        ในสมองของเซี่ยจื่ออวี้มีความคิดมากมายผุดออกมา ทว่าพอเอ่ยปากกลับเจือไปด้วยความสำนึกผิด  เรื่องของเราสองคน สุดท้ายแล้ว… ไม่ถูกต้องต่อเสี่ยวหลาน

ฉันหวั่นใจเพราะเธอมีความคิดสุดโต่ง จะเดินทางผิดพลาดได้ 

         จื่ออวี้ นั่นคือความผิดของฉัน เธอมีความผิดอะไรกัน? 

        หวังเจี้ยนหัวกอบกุมมือที่เป็นผื่นหนาวข้างนั้นไว้แน่น  แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันก็ไม่คิดว่านั่นเป็นความผิดพลาด

จังหวะในการเริ่มต้นโชคชะตาของพวกเราอาจไม่ค่อยเหมาะสม

แต่เธอห้ามพูดว่ามันคือความผิดพลาด! 

        ดวงหน้าเซี่ยจื่ออวี้ขึ้นสีแดงจางๆ

        ‘โชคชะตา’ ที่หวังเจี้ยนหัวกล่าว

ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น

        นักเรียนเตรียมสอบสองคนที่เมื่อก่อนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยครั้ง

ผลัดกันตรวจคำตอบหลังการสอบย่อย ยิ่งตรวจไปตรวจมาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองสอบได้ไม่เลว

การยืมเอกสารทบทวนบทเรียนคือพรหมลิขิตของทั้งสองคน ความต้องการสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่งคืออุดมการณ์ร่วมกันของทั้งสองคน

แสงจันทร์นวลผ่องและไป๋กัน [1] หนึ่งขวดคือสื่อรักของทั้งสองคน…หวังเจี้ยนหัวพูดถูก

นี่คือลิขิตรักที่สวรรค์กำหนดแล้ว

        หวังเจี้ยนหัวต้องเป็นของเธอเท่านั้น!

        —————————————-

        เสื้อนอกชาย 20 ตัวยังไม่เพียงพอให้องค์การรถไฟได้จับจ่ายจนหนำใจ

        ยุคนี้ผู้คนไม่กลัวการแต่งตัวชนกันเสียด้วย

เสื้อผ้าที่ออกแบบสวยงามคือความทันสมัย ใครสวมใส่ได้ก็แสดงถึงความสามารถของตน

        หลี่เฟิ่งเหมยฉายเดี่ยวตั้งแผงมาสองวันแล้ว ธุรกิจมีการพัฒนา

หลงเหลือสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงวานให้หลี่เฟิ่งเหมยนำออกไปขายทั้งหมด

ส่วนตัวเธอก็ได้พกเงินก้าวขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปหยางเฉิง

        เธอจดว่าจะซื้อโคมระย้าแก้วกลับไป

ครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวหลานนำเงินติดตัวมาไม่น้อย

        ทุกวันนี้ยังไม่มีการทำธุรกรรมสำหรับฝากเงินต่างถิ่น เงินสดก้อนโตหากไม่ ‘โอนผ่านโทรเลข’ ก็ต้องเอาติดตัวไปไหนมาไหนด้วย

        ครั้งแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานไปหยางเฉิง เธอพกเงินติดตัวยังไม่ถึงหนึ่งพันหยวน

แต่ตอนนี้กลับขึ้นหลักหมื่นแล้ว… ธนบัตรมูลค่าสูงสุดคือ 10 หยวน หนึ่งหมื่นหยวนก็มีปริมาณธนบัตรเท่ากับหนึ่งแสนหยวนของอนาคต โชคดีที่ในฤดูหนาวต้องแต่งกายแน่นหนา

จึงสามารถเก็บเงินไว้ใต้เสื้อผ้าได้ ถ้าเป็นฤดูร้อนจะพกอย่างไรล่ะนี่?

        เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านี่คือปัญหาอย่างหนึ่ง

        ตัวเธอเองดึงดูดความสนใจของผู้คนมากพออยู่แล้ว จากบ้านมายังที่ห่างไกลยิ่งไม่กล้าทำตัวโดดเด่น

ทุกรอบที่เดินทางคนเดียวจึงสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ เนื่องจากเกรงกลัวพวกค้ามนุษย์จะมาเล็งตักตวงผลประโยชน์จากทั้งเงินทองและความงาม

เธอคลำๆ เครื่องช็อตไฟฟ้าที่โจวเฉิงมอบให้ ของสิ่งนี้นำความรู้สึกปลอดภัยมาสู่เธอ

        บนรถไฟไม่อาจหลับสนิทได้เช่นกัน พอเซี่ยเสี่ยวหลานออกจากสถานีด้วยความมึนงง

ก็มีคนเข้ามาล้อมเธอในทันที ถามไถ่ว่าต้องการนั่งรถหรือไม่

        สถานีรถไฟหยางเฉิงในปี 83 มีรถสามล้อถีบและรถจักรยานยนต์แล้ว

อยู่ที่นี่เธอสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูปเศรษฐกิจชัดเจนกว่า

คนทั้งเมืองราวกับล้วนมีสำนึกแห่งการหาเงิน—เซี่ยเสี่ยวหลานขมวดคิ้ว

เธอปฏิเสธชัดว่าไม่ต้องการเรียกรถ ทว่าคนจำนวนมากมายล้อมกายเธอพลางแย่งกันพูดเสียฟังไม่ได้ศัพท์

เธอกำเครื่องช็อตไฟฟ้าในมือไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว

         เสี่ยวหลาน! 

        ไป๋เจินจูกระชากชายคนหนึ่งออก ดึงเซี่ยเสี่ยวหลานเข้ามาอยู่ข้างกายตนเอง

        เซี่ยเสี่ยวหลานตกตะลึง  พี่ไป๋ พี่กลับมาแล้ว? 

        ก่อนขึ้นรถไฟ เธอลองส่งโทรเลขให้ไป๋เจินจูหนึ่งฉบับ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกลับมาจากเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงแล้วจริงๆ

แถมวันนี้ยังมารับที่สถานีอีกด้วย สำเนียงถิ่นหยางเฉิงของไป๋เจินจูทำให้คนพวกนั้นหวาดหวั่นครั่นคร้าม

มีคนแอบก่นด่าเบาๆ บ้างก็ด่าไป๋เจินจูว่าอย่ายุ่งเรื่องคนอื่นให้มันมากนัก

        ไป๋เจินจูไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบรางวัลให้อีกฝ่ายด้วยการจับทุ่ม

        ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ร้องโอดโอยอยู่นานสองนานยังลุกขึ้นมาไม่ได้

พรรคพวกกลุ่มเดียวกับเขาจึงโวยวายว่าไป๋เจินจูทำร้ายคนจนบาดเจ็บ ต้องชดใช้ด้วยเงิน

        ไป๋เจินจูเบะปาก  ชดใช้ฝาโลงให้เอาไหมเล่า? 

        เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับคิดว่าปากคอเราะร้ายเสียจริง แต่ถ้าไป๋เจินจูไม่แข็งแกร่ง

คนพวกนี้ต้องรังแกพวกเธอซึ่งเป็นสตรีแน่

เซี่ยเสี่ยวหลานทึ่งในฝีมือของไป๋เจินจูยิ่งนัก

ศิลปะการต่อสู้ที่สืบทอดจากครอบครัวนั้นสุดยอดจริงๆ ท่าจับไหล่ทุ่มเมื่อครู่นั้นสวยงามเกินไปแล้ว

        เธอกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องวันนี้

ฝูงชนที่มุงดูความคึกคักถูกแหวกออก ในที่สุดก็มีคนเข้ามาผดุงความยุติธรรมพ

         เฉาลิ่วจื่อ พวกนายรีดไถคนอีกแล้วหรือ? 

  

เชิงอรรถ

[1]白干 ไป๋กัน คือ เหล้าขาว

 

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท