เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 4 บทที่ 147.2

เล่ม 4 บทที่ 147.2

เฟเรสเพียงแค่กล่าวขอบคุณราโมนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ลงไปแม้แต่น้อย

 เพราะพวกเราซื้อไม้ได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างดี ถึงทำให้สามารถรีดไถเงินทองจากพวกอังเกนัสมาได้ 

 โล่งอกที่หม่อมฉันพอจะเป็นประโยชน์ได้บ้างเพคะ เจ้าชาย 

 ข้าก็โล่งอกเช่นกันที่มีคนไว้ใจได้ทำงานให้เช่นเจ้าอยู่ข้างกาย 

คราวนี้ใบหูของราโมนากลายเป็นสีแดงก่ำเหมือนสีของเส้นผมนางเสียแล้ว

แต่เฟเรสกลับไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองราโมนา เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

 เจ้าตระกูลไอบันเป็นคนยังไง 

รามาโนครุ่นคิดไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของเฟเรส แล้วจึงเอ่ยตอบออกไปตามตรง

 เป็นชนชั้นสูงทางเหนือแบบดั้งเดิมเพคะ ถึงแม้จะใจกว้างต่อพลเมืองและคนของตัวเอง แต่ก็เป็นพวกหัวแข็งไม่เปิดรับคนนอก เดิมทีอาจจะมีนิสัยใจกว้างเป็นอย่างมากก็จริง แต่ระยะหลังมานี้ต้องทรมานกับโรคเรื้อรัง ทำให้นิสัยเริ่มเปลี่ยนไปเพคะ 

 นิสัยเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ 

 มีเรื่องอะไรกับเจ้าตระกูลไอบันเหรอเพคะ 

 เขาบอกว่าจะไม่ขอรับเงินช่วยเหลือน่ะสิ 

 …เพคะ?  ราโมนาถามกลับไปด้วยความตกใจ

 พูดให้ถูกก็คือ จะไม่รับเงินของราชวงศ์นั่นแหละ เพราะก็ยอมรับของที่ทางลอมบาร์เดียกับทางรูมันจัดเตรียมมาให้เอาไว้ทั้งหมด 

 แต่…ไม่เข้าใจเลยเพคะ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทางเหนือต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างที่สามารถคว้าไว้ได้แท้ๆ แล้วทำไม 

 หรือระดับความเสียหายจะน้อยกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ 

คำถามของเฟเรสทำให้ราโมนาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ

 แค่เฉพาะเขตแดนไอบันตอนนี้กำแพงป้อมปราการก็พังลงมา ไหนจะทหารยามที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ข้างบนนั้นที่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมากอีก บ้านเรือนรอบๆ กำแพงเองก็ถูกฝังกลบด้วยเพคะ ตอนนี้มีคนมากมายสูญเสียบ้านไป ได้แต่นอนอยู่ในเต็นท์เฝ้ารอการบูรณะกันอยู่ แล้วทำไมเจ้าตระกูลไอบันถึงได้… 

 พาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่ 

เฟเรสเอ่ยถามราโมนา

 ไม่สิ ข้าเองก็พอจะรู้จักที่ทางในไอบันอยู่บ้างเหมือนกัน แค่บอกว่ามันอยู่ตรงส่วนไหน… 

 หม่อมฉันจะพาไปเองเพคะ 

ราโมนารีบลุกขึ้นจากที่นั่ง ในขณะที่เสนอตัวอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเฟเรสจะเปลี่ยนใจเสียก่อน

 ขอบใจ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะ ราโมนา 

เฟเรสคลุมฮู้ดปิดใบหน้าอีกครั้ง

บริเวณที่กำแพงพังลงมานั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าไหร่นัก

เฟเรสหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าบริเวณดังกล่าว

กำแพงป้อมปราการซึ่งสร้างจากหินก้อนใหญ่ดูแข็งแกร่งที่เขตแดนไอบันภาคภูมิใจนักหนา กลับกลายเป็นเศษซาก กองอยู่บนพื้นดินอย่างไร้ค่า

กุกกัก!

ปลายเท้าของเฟเรสกระทบเข้ากับเศษซากอะไรบางอย่าง

มันเป็นเศษจานเซรามิกทั่วไป

เฟเรสเงยหน้าขึ้นมองกองดินขนาดยักษ์ที่ทับถมลงมาจนทำให้กำแพงเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง

 ข้างใต้นั่น… 

 เพคะ มันเป็นสถานที่ที่บ้านเรือนของสามัญชนเคยตั้งอยู่เพคะ 

ธรรมชาติช่างโหดร้ายเสียจริง

เศษซากของภูเขาที่พังลงมาทับกำแพงเมืองไอบันตรงบริเวณนี้มันใหญ่มาก ถ้าหากมีต้นไม้เขียวชอุ่มตั้งตระหง่านอยู่ละก็ หากใครมาบอกว่าตรงนี้เดิมทีเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ก่อนแล้ว เขาก็คงจะยอมเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยทีเดียว

ใหญ่มากเสียจนฝังกลบร่องรอยของผู้คนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไว้ใต้นั้นเสียจนมิด

 ว่าแต่ทำไมถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะ 

เป็นเรื่องแปลกพิกลสมควรที่จะรีบขุดดินแล้วยกหินออกไปแท้ๆ แต่รอบๆ นั่นกลับมีแค่คนไม่กี่คน

เท่าที่เห็นตอนนี้ มากสุดก็มีแค่ทหารกลุ่มเล็กๆ จำนวนสามสี่คน กำลังใช้เกวียนขนดินที่ถูกขุดขึ้นมาออกไปเท่านั้นเอง

 นอกจากบริเวณนี้แล้ว ยังมีอีกกำแพงถล่มลงมาอีกที่เพคะ แต่ทางด้านนั้นเป็นจุดสำคัญใกล้ป่าที่มีมอนสเตอร์อยู่มาก แรงงานคนแทบจะทั้งหมดจึงไปกองกันอยู่ทางด้านนั้นเสียส่วนใหญ่ 

 …อย่างนั้นนี่เอง 

เฟเรสยืนเหม่อมองทัศนียภาพอันแสนโหดร้ายตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

ราโมนาเอียงคอเล็กน้อย พยายามลอบมองใบหน้าของเฟเรส

เพราะเขาเป็นประเภทพูดน้อยมาก ทั้งยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า

บางครั้งถ้าหากไม่ใช้เวลาสักหน่อยมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส ก็จะไม่อาจมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของเขาได้เลย

แน่นอนว่าถึงจะทำเช่นนั้น นางเองก็ล้มเหลวมาแล้วหลายรอบ เรียกได้ว่าอ่านความรู้สึกของเขาออกแค่สองในสิบ อีกแปดส่วนนั้นล้วนไม่สำเร็จทั้งสิ้น

ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นมาจากไม่ไกลนัก

 ฮึก ฮือ… 

สายตาของทั้งสองคนหันไปมองทางด้านนั้นโดยอัตโนมัติ

ตรงบริเวณนั้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งคู้กายอยู่ใต้อาคารที่ยังเป็นปกติดี

ดูแล้วน่าจะเพิ่งอายุได้แค่ประมาณเจ็ดขวบละมั้ง

เด็กน้อยมีสภาพมอมแมมสกปรกไปทั้งตัว เขาเอาแต่มองซากปรักหักพังด้วยนัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

ราโมนาเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นอย่างระมัดระวัง นางเช็ดหยาดน้ำตาที่เลอะเปรอะทั่วใบหน้าให้ พลางเอ่ยถาม

 เด็กน้อย ทำไมมาร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะ 

 หิวครับ… 

ชะงัก

ราโมนาผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อย ในขณะเดียวกันก็เอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง

 งั้นหรือ งั้นไปซื้อของอร่อยๆ ที่ร้านขนมปังข้างหน้านี่กับพี่สาวเอามั้ย มันไม่ไกลเลยนะ พ่อแม่คงไม่เป็นห่วงนัก 

 พ่อกับแม่ไม่อยู่ที่นี่ครับ 

เด็กน้อยใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา

 พ่อไปทำงานที่กำแพงเมืองฝั่งเหนือ ส่วนแม่… 

นัยน์ตาของเด็กน้อยเหม่อมองกองดินตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร

ทั้งบ้านของเด็กคนนี้ ทั้งแม่ของเขา ต่างก็ถูกฝังอยู่ที่ไหนสักแห่งตรงนั้นสินะ

 อา… 

ราโมนาพูดอะไรไม่ออก นางคว้าไหล่ของเด็กคนนั้นเข้ามาโอบกอดเอาไว้แน่น

เฟเรสมองภาพนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

 เด็กน้อย รอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ! 

ราโมนากล่าวกับเด็กน้อยเช่นนั้น แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเฟเรสไป

นางอาจจะไม่มีความสามารถพอที่จะอ่านความรู้สึกของเฟเรส แต่ตอนนี้นางสามารถรู้ได้

ว่าคนที่กำลังเดินนำหน้านางในตอนนี้กำลังโมโหมากแค่ไหน

 ถะ ถ้ามีเรื่องใดที่หม่อมฉันสามารถช่วยเหลือได้ละก็! 

 ไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ 

แต่คำตอบของเฟเรสที่ตอบกลับมากลับยืนกรานหนักแน่น

งานของกลุ่มการค้ากับงานในฐานะเจ้าชายเป็นคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน

ราโมนาตระหนักขึ้นมาได้ว่านางกำลังข้ามเส้น จึงรีบขอโทษทันที

 …ขออภัยเพคะ 

เฟเรสส่ายศีรษะด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

 ช่างเถอะ หากจบงานทางเหนือแล้วเจ้าก็กลับไปเมืองหลวงเสีย ถึงตอนนั้นข้าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า 

เฟเรสเหลือทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วสาวเท้าก้าวพรวดตรงกลับไปยังคฤหาสน์ไอบันทันที

ราโมนาเหม่อมองภาพด้านหลังของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาเด็กน้อย นางยิ้มกว้างดูสดใสมากกว่าที่เคย พลางเอ่ยขึ้นว่า

 ไปกันเถอะ พี่สาวจะเลี้ยงขนมปังเองนะ! 

แต่ในขณะที่จับมือเด็กน้อยพาเดินตรงไปยังตลาด สายตาของราโมนาก็ยังคงเหม่อมองภาพด้านหลังของเฟเรสไม่ละสายตา

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท