เล่ม 5 บทที่ 174.2
“ท่านปู่ ข้าจะหมั้นนะคะ”
เสียงดั่งสายฟ้าฟาดพุ่งเข้าโจมตีรูลลักที่กำลังนั่งพักผ่อน หลังจบการประชุมเรื่องกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าอย่างจัง
“นั่นมัน…เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใดกัน เทีย”
เสียงของรูลลักถึงกับสั่นเทา
“สักครู่นะคะ เข้ามาสิ เฟเรส”
เทียส่งเสียงพูดไปทางประตูห้องทำงาน
และคนที่ปรากฏโฉมออกมาให้เห็นก็คือ เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรสนั่นเอง
“จะ…เจ้า…!”
รูลลักชี้นิ้วใส่หน้าอีกฝ่าย โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าคู่กรณีเป็นถึงเจ้าชาย
ไม่สิ ตอนนี้ต่อให้ไม่ใช่เจ้าชาย แต่เป็นจักรพรรดิมาด้วยตัวเอง รูลลักก็ไม่คิดที่จะสนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว
พรวด!
สุดท้ายรูลลักก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งจนได้
เฟเรสหยุดยืนข้างกายเทียด้วยใบหน้านิ่งสงบ ราวกับคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ารูลลักจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนั้น
รูลลักที่ยืนอยู่ตรงหน้าระเบิดอารมณ์โมโหขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด เพื่อที่จะทำใจให้สงบลงได้บ้าง
“อธิบายมาเสียดีๆ ว่านี่มันหมายความว่ายังไงกัน เทีย”
“กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตน่ะค่ะ ต้องขวางให้ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับการหมั้นหมายของเจ้า…”
รูลลักขมวดคิ้วแน่นจนริ้วรอยลึกเด่นชัดขึ้นมาบนหน้าผาก
“เทีย หรือว่าเจ้า…”
“ข้าขอดูสารที่องค์จักรพรรดิส่งมาหน่อยได้มั้ยคะ ที่ออกราชโองการสั่งห้ามน่ะค่ะ”
รูลลักดึงสารของจักรพรรดิที่โยนทิ้งไว้ในลิ้นชักออกมาส่งให้เทียอย่างเสียไม่ได้
“อืมมมม ว่าแล้วเชียว…”
เทียพยักหน้าลง
“ถ้าอ้างอิงตามราชโองการสั่งห้ามละก็ ขอแค่ท่านปู่เห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างราชวงศ์กับลอมบาร์เดียก็พอค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นลาลาเน่กับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็ได้นี่คะ”
“เพราะฉะนั้นเจ้าถึงได้จะหมั้นกับไอ้เด็กนี่แทนอย่างนั้นหรือ”
รูลลักพยักพเยิดไปทางเฟเรส
เขาไม่ถูกใจเด็กนี่ที่เอาแต่ป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายหลานสาวของเขาเหมือนหมาล่าเนื้อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ก็ยังอุตส่าห์ช่วยชีวิตเอาไว้ เพราะเล็งเห็นว่าคงจะมีประโยชน์ในการต่อกรกับจักรพรรดินี แล้วนี่กล้าดียังไงมายุ่งกับหลานสาวของเขา!
ประกายไฟลุกโชนออกมาจากนัยน์ตาของรูลลักที่จ้องเฟเรสซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมเขม็ง
“ค่ะ ท่านปู่”
ไม่รู้ว่าหลานสาวผู้แสนน่ารักของเขาจะรู้ถึงใจอันแสนร้อนรนของรูลลักคนนี้บ้างหรือเปล่า
หลานสาวตัวน้อยถึงได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง
“เทีย…”
“ข้าคุยกับเฟเรสแล้วค่ะ พวกเราตั้งใจว่าจะทำสัญญาหมั้นหมายกัน”
“เกี่ยวดองเจ้ากับสายเลือดราชวงศ์พวกนั้นน่ะหรือ ตราบใดที่นัยน์ตาของข้าไม่ได้มืดบอด ย่อมไม่มีทาง…”
รูลลักยกมือขึ้นกุมขมับพึมพำอยู่อย่างนั้น แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นถามทันที
“สัญญา…หมั้นหมาย?”
“ค่ะ ท่านปู่”
เทียยิ้มกว้าง
“ถ้าฎีกาคราวนี้ผ่านมติขึ้นมาละก็ เฟเรสเองก็คงตกที่นั่งลำบากเหมือนกันนี่คะ”
“…จริงหรือ”
รูลลักมองเฟเรส ก่อนจะถามย้ำให้แน่ใจ
“เทียพูดถูกต้องแล้วครับ”
มันอาจจะเป็นคำตอบที่เขารอคอย แต่ในใจของรูลลักกลับไม่ได้รู้สึกสบายขึ้นเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเป็นเด็กที่เขาอ่านความคิดไม่ออกเหมือนเคย
ภายใต้ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกนั่น เจ้าเด็กนี่มีความรู้สึกแบบใดกับหลานสาวของเขา ไม่ต้องมองก็เห็นชัดอยู่แล้ว
แค่นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นที่เอาแต่มองตามเทียตลอดเวลาอย่างหน้ามืดตามัว มันก็บอกให้เห็นกันอยู่
“สัญญาหมั้นหมายอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่ความคิดของเจ้าเด็กนี่ เทีย คงเป็นความคิดของเจ้าสินะ”
“…ค่ะ ใช่แล้ว เป็นความคิดของข้าเองค่ะ เฟเรสกับข้าจะขัดขวางกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตผ่านการหมั้นหมายครั้งนี้ หลังจากผ่านระยะเวลาที่กำหนดไปก็จะจัดการถอนหมั้นค่ะ”
ถ้าเทียกล่าวเช่นนั้น ก็คงจะเป็นไปตามนั้น
ตั้งแต่วินาทีที่หลานสาวของเขาเอ่ยปากพูดออกมา ความรู้สึกอึดอัดใจเรื่องสัญญาหมั้นหมายที่ว่านั่นก็จางหายไปจากใจของรูลลักบ้างแล้ว
แต่ก็ยังรู้สึกค้างคาใจอยู่ดี
“ถอนหมั้น…สำหรับเจ้าชายจะเป็นเช่นไรข้าไม่รู้หรอก แต่เทีย สำหรับเจ้าแล้วมันเป็นข้อตกลงที่เจ้าจะเสียหายมาก”
“ข้าทราบค่ะ”
“ต่อให้รู้อยู่แล้ว ก็ยังคิดที่จะทำสัญญาหมั้นหมาย เพื่อที่จะได้ช่วยเพิกถอนราชโองการสั่งห้ามของปู่คนนี้อย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ ท่านปู่”
เทียพยักหน้าลง
“เพื่อลอมบาร์เดีย”
กึก
รถม้าโยกสั่นไปวูบหนึ่ง ในขณะเดียวกันรูลลักก็ตื่นจากภวังค์ความคิด
กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตถูกปัดตกไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่เอนกายอยู่บนที่นั่งโดยสารในรถม้าอันแสนนุ่มสบาย สีหน้าของรูลลักกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้บอกว่ามันเป็นแค่สัญญาหมั้นหมายก็เถอะ แต่แบบนี้ก็ไม่ต่างอันใดจากชัยชนะที่ได้มาจากการเสียสละหลานสาวเลยไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้เขารู้สึกสบายใจได้ยังไงกัน
และยิ่งคิดว่าจู่ๆ เจ้าชายลำดับที่สองนั่นก็ได้กลายมาเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของหลานสาว รูลลักก็ยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิม
“แค่หมั้นหมายเท่านั้น แค่หมั้น ลองโลภอยากเป็นมากกว่านั้นดูสิ ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่”
เชื้อสายของดิวเรลลี่กลายมาเป็นคู่ครองของเทียของข้าเนี่ยนะ ไม่ได้มีความเหมาะสมกันเลยสักนิด ตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ไม่เคยมีดิวเรลลี่คนใดได้เรื่องได้ราวสักคน
เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเจ้าชายลำดับที่สองนั่นจะมีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน
แต่ในฐานะปู่แล้ว รูลลักไม่อาจยอมให้เทียต้องเข้าไปเกี่ยวดองกับพวกราชวงศ์ได้เด็ดขาด
“ข้าจะหาผู้ชายที่ไว้ใจได้ สงบเสงี่ยมเชื่อฟังเทียโดยไม่คิดโต้เถียงให้ขุ่นข้องหมองใจ…”
คิดได้ถึงแค่นั้นรูลลักก็ต้องหยุดชะงัก
ผู้ชายที่สงบเสงี่ยมเชื่อฟังและไว้ใจได้
ไม่รู้ทำไมถึงได้ไปซ้อนทับภาพของเฟเรสเสียได้
ในขณะเดียวกันภาพของหลานสาวยามมองสบตาเขาตรงๆ ก็ยังไม่อาจลบออกไปจากหัวสมองของรูลลักได้เลย
“เพื่อลอมบาร์เดีย”
“เด็กคนนี้…เติบโตถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ราวกับเพิ่งจะเมื่อวานซืนแท้ๆ ที่นางวิ่งเล่นไปทั่วคฤหาสน์ด้วยร่างกายเล็กแกร็น บางครั้งก็โผล่มานั่งดื่มน้ำผลไม้ไปและกินคุกกี้อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ในห้องทำงานของเขา
“ใช่แล้ว หากเป็นลอมบาร์เดียมันก็ต้องมีสปิริตแรงกล้าแบบนี้สิ”
รูลลักหัวเราะด้วยความพอใจ
ความรักในตระกูลลอมบาร์เดียไม่น้อยไปกว่ารูลลักผู้เป็นเจ้าตระกูล
“หากมีใจเช่นนั้น ก็คงจะฝากฝังตำแหน่งเจ้าตระกูลให้ดูแลได้”
ก็แค่พูดหลุดออกไปจากปากโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่รูลลักกลับหยุดชะงัก
และยกมือขึ้นลูบเครา ในขณะที่เริ่มไตร่ตรองครุ่นคิดอย่างจริงจัง
มอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้เทียเป็นผู้ดูแลต่อก็น่าจะได้
ครึ่งหนึ่งแค่คิดเล่นๆ เท่านั้นเอง แต่ภาพที่ลองวาดขึ้นมาในหัวก็ดูท่าจะไม่ได้แย่อะไร
แถมยังดูเหมาะสมมากเสียด้วย
ราวกับเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาในฐานะผู้สืบทอดตั้งแต่แรก
“ฟีเรนเทีย เทีย…”
ภายในรถม้าขณะที่เดินทางกลับคฤหาสน์ ความคิดของรูลลักมีแต่จะเริ่มครุ่นคิดไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด