เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 4 บทที่ 169.1

เล่ม 4 บทที่ 169.1

เล่ม 4 บทที่ 169.1

ตอนที่ 169

สุดท้ายลาลาเน่ก็ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในห้องของตัวเอง

ตอนแรกพวกนั้นเรียกร้องขอความร่วมมือจากกองกำลังอัศวินลอมบาร์เดีย ต้องการให้มาช่วยยืนเฝ้ายามอยู่หน้าประตูห้อง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า

ตอนนี้เซรัล เบเจอร์ และเบเลซักจึงต้องคอยสลับกันหมุนเวียนมาเฝ้าแทน

เธอเองก็แวะไปหา บอกไปแล้วว่าอยากพบลาลาเน่ แต่ก็โดนเซรัลไล่กลับมาพร้อมสายตาเหยียดหยาม

“คิดหรือว่าข้าจะยอมแพ้แค่นี้”

เธอยืนพิงกรอบหน้าต่างในห้องของตัวเอง เหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มมืดสลัว

ในที่สุดดวงดาวบนท้องฟ้าก็เริ่มส่องแสงเผยโฉมออกมาให้เห็นทีละดวงสองดวง เข้าสู่ยามค่ำคืนเสียแล้ว

เคร้ง!ได้ยินเสียงประตูเหล็กของคฤหาสน์ที่อยู่ตรงข้ามสวนปิดลงดังขึ้นแผ่วๆ

ตอนนี้หากไม่มีเรื่องด่วนพิเศษอะไรแล้วละก็ ประตูบานนั้นจะถูกปิดและจะไม่เปิดออกจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในตอนเช้า

ไม่มีใครเข้ามาในคฤหาสน์ได้ และไม่มีใครออกไปจากคฤหาสน์ได้ทั้งสิ้น

ครอบครัวของเบเจอร์ที่ทราบความจริงเรื่องนั้นอยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องคลายความระแวงลงเป็นธรรมดา

แถมนี่ก็เริ่มดึกแล้วด้วย ไม่มีทางที่พวกนั้นจะมาทนทรมานนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูหรอก

“ได้เวลาแล้วสินะ”

เธอตระหนักได้ว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว จึงสาวเท้าเดินออกไปจากห้อง

สายลมผัดผ่านแมกไม้ในป่าขนาดเล็กที่อยู่ข้างปีกคฤหาสน์ เสียงลมพัดหวีดหวิวฟังแล้วคล้ายกับพวกมันกำลังเปล่งเสียงร้องเพลงบรรเลงกันอยู่เลย

และในตอนที่เสียงเพลงนั้นเริ่มเบาบางลง

“เทีย”

เฟเรสเดินออกมาจากป่าอันแสนมืดมิด

ถึงแม้กำแพงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียจะสูงตระหง่าน ทั้งยังมีกองกำลังอัศวินกับทหารยามคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลาอย่างเข้มงวดก็เถอะ

แต่ต่อหน้าเฟเรสที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน เหมือนอย่างที่เขาใช้ออร่าได้นั่น เรื่องพวกนั้นก็ไร้ความหมายทั้งสิ้น

“มีเรื่องอะไรเหรอ เจ้าถึงได้เป็นฝ่ายอยากพบข้าก่อนแบบนี้น่ะ”

เฟเรสเอื้อมมือมาจับมือของเธอเอาไว้ ก่อนจะประทับริมฝีปากจุมพิตบนหลังมือเธอทันที

“นี่ก็เกือบสองเดือนได้แล้วมั้ง ข้าแค่คิดว่าตอนนี้เจ้าคงจะกลับมาเมืองหลวงแล้วน่ะ”

ที่ผ่านมาเฟเรสออกเดินทางไปยังทิศใต้ของอาณาจักรน่าจะเดินทางไปจัดการงานบางเรื่องแหละ

เฟเรสหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แต่เพียงไม่นานเขาก็ส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง

“ใช่แล้ว เทีย เจ้าน่ะ ใช่ ข้าเผลอลืมไปเลย มันยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่”

เฟเรสเองก็รู้ตัวตนของเธอว่าเป็นเจ้าของร้านค้าเพลเลสตัวจริงมาได้สามเดือนแล้วเช่นกัน

แต่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา เฟเรสก็มักจะตกใจ ทั้งยังดูดีใจแปลกๆ อยู่เรื่อยเลย

“แล้วทำไมวันนี้ถึงได้เรียกข้ามาล่ะ เทีย ข้าน่ะชอบอยู่แล้วที่ได้พบเจ้า แต่กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

เฟเรสเดินเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะหยุดชะงัก

“ริมฝีปาก…”

สายตาของเฟเรสจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ ซึ่งแตกจนเลือดไหลซิบจากการโดนเบเจอร์ตบเข้าที่หน้า

และสายลมก็พลันตีหวนพัดขึ้นมาจากพื้นดินต้นไม้รอบๆ ที่เคยเต้นระบำพลิ้วไหวอย่างอารมณ์ดีจากสายลมเบาบางจนถึงเมื่อครู่นี้ พลันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อเจอเข้ากับแรงกดดันอย่างหนักหน่วง

เพราะคลื่นพายุที่แผ่ออกมาโดยมีเฟเรสเป็นศูนย์กลาง

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้รอบตัวของเธอเงียบสนิทเธอก็ยังรู้สึกได้อยู่ดี

“ใครกัน เทีย”

น้ำเสียงของเฟเรสนั้นหากฟังเพียงแค่ผิวเผินก็ยังคงเป็นเสียงอ่อนโยนเหมือนเคย แต่ภายในนั้นกลับแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างรุนแรงสีนัยน์ตาของเฟเรสเองก็ทอประกายแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย

“ใครกัน ใครมันทำให้เจ้าเจ็บ”

เฟเรสขมวดคิ้วแน่นราวกับเขาเจ็บปวดยิ่งกว่า

เธอส่ายหน้าให้เฟเรส

“เก็บจิตสังหารไปก่อน”

แค่คำพูดของเธอประโยคเดียว จิตสังหารที่เคยกดทับบริเวณรอบๆ จนหนักอึ้ง ก็พลันสลายไปราวกับโกหก

พั่บ พั่บเหล่านกน้อยที่ได้แต่หลบซ่อนอยู่บนต้นไม้ ไม่อาจบินหนีไปได้ จึงค่อยฉวยจังหวะนั้นกางปีกบินหนีไปไกล

“เรื่องสำคัญมันไม่ใช่ใครทำให้ข้าเจ็บหรอก เฟเรส แต่เป็น ‘ทำไม’ ต่างหากล่ะที่สำคัญ”

เฟเรสทำท่าราวกับการที่เธอไม่ยอมบอกเขาว่า ใครกันที่เป็นคนทำแบบนี้กับเธอ มันเป็นเรื่องน่าโกรธแค้นเป็นอย่างมาก สายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่บนริมฝีปากของเธอยังคงดุดันเหมือนเคย แต่เขาก็ยอมพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

“ที่จริงเมื่อหลายวันก่อน…”

เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาให้เฟเรสฟังคร่าวๆ และพูดเสริมปิดท้าย

“เพราะฉะนั้นข้าเลยต้องการเจ้า เฟเรส”

“อา…”

เฟเรสกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเธอก่อนจะยิ้มออกมามันเป็นรอยยิ้มที่หวานซึ้งมากเสียจนกลิ่นหอมของป่าไม้ยังต้องหลบไม่กล้าสู้เขาเลย

“ทำไมยิ้มแบบนั้นล่ะ”

“ดีใจน่ะ ตอนนี้เทียบอกว่าต้องการข้าไม่ใช่เหรอ”

“เจ้านี่นะ เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็…”

เกือบจะตำหนิเฟเรสออกไปเหมือนที่เคยชินเป็นนิสัย แต่เธอก็ต้องยอมปิดปากลง

ตอนนี้คนที่ต้องการจะรบกวนเฟเรสคือเธอเองแท้ๆ เพราะฉะนั้นก็ทำแบบนี้ไม่ได้สินะ

เธอพยักหน้า เดินก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“สำหรับเจ้าแล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก เอาเป็นว่าข้าต้องการความช่วยเหลือน่ะ เฟเรส”

“ได้ทุกเรื่องเลย”

เด็กนี่ ท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย

เธอพาเฟเรสเดินลัดเลาะข้ามป่าทะลุออกไปอีกทาง ในช่วงเวลาประมาณนี้พวกทหารยามไม่ค่อยเดินผ่านกันเท่าไหร่นัก

และสถานที่ที่พวกเรามุ่งหน้ามาก็คือคฤหาสน์หลังหลักภายใต้เงามืดมิดที่ช่วยพรางตัวพวกเราไม่ให้ใครมาพบเข้า เธอหันกลับมามองหน้าเฟเรสแล้วกระซิบเสียงค่อย

“อุ้มข้าขึ้นไปบนนั้นที” เฟเรสเงยหน้าขึ้นมองตามปลายนิ้วของเธอ

“…ระเบียง?”

“อื้อ ที่อยู่บนชั้น 3 ตรงนั้น”

“ห้องของลาลาเน่ ลอมบาร์เดียเหรอ”

ว่าแล้วเชียว เฟเรสทายได้ถูกเผงเธอพยักหน้าลง

“ไหวมั้ย”

“อะไร”

“เจ้าน่าจะกลัว”

ถึงแม้จะเป็นแค่ชั้น 3 ก็เถอะ แต่เพราะโครงสร้างของคฤหาสน์เลยทำให้เพดานแต่ละชั้นสูงมาก มันจึงเป็นความสูงระดับเดียวกันกับชั้น 4 ของอาคารทั่วไปแต่เธอไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้นหรอก

“เฟเรส ข้าเชื่อใจเจ้า”

สำหรับเจ้าแล้ว เรื่องแค่นี้มันง่ายอย่างกับเคี้ยวหมากฝรั่งไม่ใช่หรือไง

เฟเรสยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความชอบใจ ก่อนจะเอียงคอมาทางเธอเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า

“ถ้าบอกข้าว่าใครทำแบบนั้นกับเจ้า”

ชิส์ แค่ตอบรับคำไหว้วานกันเฉยๆ ไม่ได้หรือไงยะ

“…เบเจอร์”

“เบเจอร์ ลอมบาร์เดีย?”

“อื้อ”

“แต่อย่าไปกลั่นแกล้งเบเจอร์ล่ะ”

เธอเห็นแววตาของเฟเรสส่องประกายคมปลาบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำตอบจากปากเธอ จึงรีบพูดยืนกรานออกไปอย่างรวดเร็ว

“เพราะนั่นเป็นส่วนของข้า”

เฟเรสมองหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ยื่นมือออกมาหาเธอ

“ข้าอุ้ม”

ร่างกายของเธอถูกยกขึ้นไปนั่งอยู่บนแขนของเฟเรสอย่างง่ายดาย พร้อมกับคำพูดสั้นๆ ของเด็กหนุ่ม

รู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแขนตึงแน่นของเฟเรสที่รองรับอยู่ใต้ขากับบั้นท้ายของเธออย่างแข็งแกร่งเหมือนหินผาเธอโอบแขนรอบคอของเฟเรส ฝังใบหน้าลงบนซอกคอของเด็กหนุ่ม

“ไม่ได้ทำแบบนี้เพราะกลัวหรอกนะ”

ก็แค่เกลียดความสูงเท่านั้นเองจริงๆ

“ไม่ชอบกับกลัวมันต่างกันแน่นอน”

ได้ยินเฟเรสหัวเราะขำเสียงทุ้มผ่านร่างกายที่สัมผัสกันอยู่และในตอนที่รู้สึกว่าแขนข้างหนึ่งของเฟเรสโอบรัดร่างกายของเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม

ฟิ้ว ตุบ ตุบ ตุบ

แค่เท่านั้น

เสียงฟิ้วดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากสายลมที่พัดตามจังหวะกระโดดของพวกเราทำให้ทรงผมของเธอยุ่งเหยิงไปเล็กน้อย ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรบ่งบอกให้ได้สัมผัสเลยว่า นั่นคือ ‘การกระโดด’

“ลืมตาได้แล้วละ”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเฟเรส เธอจึงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ พวกเรากำลังยืนอยู่บนระเบียงห้องที่เธอชี้ให้เขาดูเมื่อครู่

“ดูเหมือนข้างในจะมีแค่ลาลาเน่ ลอมบาร์เดียอยู่คนเดียว”

เซ้นส์ไวมาก

เฟเรสใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าอันแสนว่องไวของเขาอ่านการเคลื่อนไหวรอบๆ แล้วช่วยบอกให้เธอได้รู้

“เจ้ารออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งก็แล้วกัน ข้าจะเข้าไปคุย แล้วเดี๋ยวรีบออกมานะ”

เฟเรสพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่ายให้กับคำพูดของเธอ

และรออยู่ที่มุมหนึ่งตรงระเบียงที่แสงสว่างส่องไม่ถึง เฝ้ามองเธออยู่แบบนั้น

ภาพลักษณ์ที่เห็นทำเอานึกถึงสุนัขตัวโตที่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายเป็นอย่างดีเสียจริง เธอยิ้มให้เฟเรสหนึ่งครั้งแทนความหมายว่าทำได้ดีมาก ก่อนจะเคาะประตูระเบียงเบาๆ

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท