เล่ม 5 บทที่ 172.2
กุบกับ กุบกับ
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่เสียงกีบเท้าม้าก็เริ่มแผ่วเบาลง
ได้แต่ยืนเหม่อมองส่งจากด้านหลังอยู่ไกลๆ ผ่านไปไม่นานก็เหลือแค่เธอกับเฟเรสที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ฟิ้ว
สายลมพัดเข้ามาวูบใหญ่
“เทีย”
เฟเรสเรียกเธอ
“อื้อ”
“ตอนนี้มันยังไม่จบหรอกนะ พวกนั้นอาจจะเล็งเป้ามาที่เจ้าแทนก็ได้”
“ข้าเองก็พอรู้อยู่แล้วละ”
เรื่องพวกนั้นเธอเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว
แต่ถึงยังไงมันก็ยังดีกว่าต้องทนเห็นลาลาเน่หวนคืนกลับมาเป็นดอกไม้ร่วงโรยเหมือนเมื่อชาติก่อนอีกครั้ง
ความจริงที่ว่ารถม้าเคลื่อนตัวห่างไปไกลจนมองไม่เห็นอีกแล้ว ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจแปลกๆ
“จักรพรรดินีไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้แค่นี้อยู่แล้ว”
ตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่คนที่ดิ้นรนมาได้จนถึงจุดนี้โดยไม่มีแผนการใดๆ หรอก
เธอหันไปมองเฟเรสพลางเอ่ยถาม
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะช่วยข้าใช่มั้ย เฟเรส”
เฟเรสเอื้อมมือมาจับปลายผมยาวของเธอที่พลิ้วสะบัดจากแรงลม
และประทับริมฝีปากลงไปบนนั้นอย่างแผ่วเบา
“ข้าพร้อมที่จะช่วยเจ้าเสมอ เทีย ต่อให้ต้องตายก็ยอม”
คำพูดนั้นอาจจะฟังดูเว่อร์เกินจริงไปมาก แต่เธอไม่ได้หัวเราะเขา
เพราะรู้ดีว่าเฟเรสพูดทุกอย่างออกมาจากใจจริง
เธอยืนนิ่งเหม่อมองเส้นทางที่ลาลาเน่เดินทางจากไปอยู่เงียบๆ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก จนเริ่มดึกมากแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินทางกลับคฤหาสน์
* * *
“จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน จักรพรรดินี!”
โยบาเนสรีบร้อนวิ่งพรวดเข้ามาในวังจักรพรรดินี ปากก็ตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ
“เพราะสินค้าจากลอมบาร์เดียถูกตัดขาดไม่ให้ส่งเข้ามายังเมืองหลวง ทำให้ฝูงชนไม่พอใจกันหมดแล้ว! ทุกคนต่างก็สาปส่งข้ากันทั้งนั้น!”
จักรพรรดิรู้สึกแค้นใจอย่างยิ่ง
พระองค์ก็แค่ช่วยสนับสนุน เพียงเพราะจักรพรรดินีกล่าวว่ามีวิธีดีๆ ในการมัดแขนมัดขาลอมบาร์เดียเท่านั้นเองแท้ๆ
ถึงแม้นั่นจะช่วยให้เหมืองแร่เหล็กเริ่มลงมือขุดเจาะไปได้อย่างราบรื่นก็เถอะ แต่เรื่องพวกนั้นมันถูกลบออกไปจากหัวสมองของโยบาเนสมานานแล้ว
ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีจะรู้สึกถึงความร้อนใจของจักรพรรดิโยบาเนสบ้างหรือไม่
จักรพรรดินีราวีนีเพียงแค่หยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเพคะ ฝ่าบาท”
“พรุ่งนี้?”
“เพคะ พรุ่งนี้จะมีการประชุมสภาขุนนาง หม่อมฉันได้แจ้งวาระการประชุมให้แต่ละตระกูลได้ทราบกันแล้ว อีกไม่นานก็คงจะได้กระแสตอบรับกลับมาเพคะ”
“พูดถึงวาระอันใดกัน”
โยบาเนสเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอกเพคะ แค่เสริมความแข็งแกร่งให้กฎหมายผู้สืบทอดต้องเป็นบุตรคนโต ซึ่งเป็นรากฐานที่ช่วยพัฒนาอาณาจักรได้จนถึงตอนนี้เท่านั้นเองเพคะ”
“กฎหมายผู้สืบทอด?”
โยบาเนสเทเหล้าลงแก้วด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ
ราวีนีแย้มยิ้มรับเอาขวดเหล้าในมือของจักรพรรดิมาถือไว้เอง ก่อนจะช่วยเทเหล้าลงในแก้วให้แทน
“กฎในการให้อภิสิทธิ์บุตรชายคนโตในการสืบทอดตระกูล เพื่อที่จะได้ไม่มีข้ออ้างในการถูกตัดสิทธิ์ ไม่ให้เกิดการต่อสู้กันในสายเลือด หรือปองร้ายบุตรชายคนโตยังไงล่ะเพคะ”
“อืม ถ้าเป็นกฎนั่นละก็ จะต้องดึงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียลงมาอยู่แทบเท้าข้าได้อย่างแน่นอน”
โยบาเนสพยักหน้าลง
ถึงแม้ว่ารูลลักจะมีเหตุผลก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมอบตระกูลให้แก่เบเจอร์ผู้เป็นบุตรชายคนโตอยู่ดี
“หากต้องการจะขัดขวางกฎนั่นไม่ให้ผ่านสภาขุนนาง เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมีแต่จะต้องมาเข้าร่วมการประชุมในเมืองหลวงด้วยตัวเองเพคะ แต่ถ้าไม่ปลดราชโองการสั่งห้ามให้ได้ก่อน ก็จะไม่มีทางย่างกรายผ่านกำแพงเมืองหลวงมาได้…”
รอยยิ้มของจักรพรรดินีราวีนีทอประกายอำมหิต
“ถ้าไม่ปลดราชโองการสั่งห้ามด้วยการยินยอมตกลงเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างบุตรสาวของเบเจอร์กับอาสทาน่า ก็ต้องยอมปล่อยให้กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตผ่านที่ประชุมขุนนางยังไงล่ะเพคะ”
จักรพรรดินีพึงพอใจกับความคิดของตนเองมาก
หากกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตผ่านที่ประชุมแล้วละก็ เบเจอร์จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้แก่อาสทาน่าในอนาคต
ต่อให้รูลลัก ลอมบาร์เดีย ปรากฏตัวขึ้นในที่ประชุม เพื่อคัดค้านกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโต นางก็ยังได้ประโยชน์ทางการเงินมากมายมหาศาลจากการแต่งงานของอาสทาน่ากับลาลาเน่ ลอมบาร์เดีย อยู่ดี
และคนที่จะได้รับผลกระทบจากกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตก็ไม่ได้มีเพียงแค่พวกชนชั้นสูงเท่านั้น
ราวีนีเหลือบมองจักรพรรดิโยบาเนส
ฎีกาที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาขุนนางจะถูกนำขึ้นที่ประชุมในการประชุมใหญ่ที่องค์จักรพรรดิเป็นประธาน
และหากไม่มีข้อโต้แย้งที่เหมาะสม จักรพรรดิก็จะสั่งให้ฎีกาฉบับนั้นถูกร่างขึ้นเป็นกฎหมายประจำอาณาจักร การขึ้นสืบทอดบัลลังก์ในอนาคตเองก็จะได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับใหม่ไปด้วย
“จักรพรรดินีช่างมีความคิดที่ดีจริงๆ”
โยบาเนสกล่าวเช่นนั้นในขณะที่ลอบเก็บซ่อนสีหน้าไว้หลังแก้วเหล้า
ถ้ากฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตถูกบังคับใช้เมื่อไหร่ การสืบทอดบัลลังก์เองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เช่นนั้นพระองค์ก็จะกอบโกยผลประโยชน์ด้วยการถ่วงดุลอำนาจระหว่างเจ้าชายลำดับหนึ่ง และเจ้าชายลำดับสองต่อไปได้ลำบาก
‘แต่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียย่อมไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่’
คนคนนั้นไม่มีทางยอมให้ทั้งตระกูลทั้งเรื่องบัลลังก์ต้องติดร่างแหไปด้วยแบบนั้น
ดังนั้นในครั้งนี้อย่างไรรูลลักก็จำเป็นที่จะต้องยอมอนุญาตเรื่องการแต่งงานของหลานสาว ถ้าเป็นแบบนั้น โยบาเนสก็ยังพอจะยังรักษาเกียรติของตัวเองเอาไว้ได้บ้าง
‘และก็จะช่วยปลอบประโลมความโกลาหลของประชาชนได้เร็วขึ้น’
จักรพรรดิโยบาเนสเป็นพ่อค้าที่ไม่เคยทำการค้าให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ
เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ลอบคิดในใจว่าครั้งนี้จักรพรรดินีสร้างเรื่องได้ถูกใจเขามากเสียจริง
* * *
ณ สำนักงานประจำร้านค้าเพลเลส
“แฮก แฮก! ดะ…ดูนี่สิครับ!”
สิ่งที่เบ๊ตวิ่งหอบแฮกเข้ามาแจ้งให้พวกเราได้รู้โดยไม่ลืมถือกล่องเค้กสำหรับบริการจัดส่งถึงที่มาด้วยก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับฎีกาฉบับใหม่ของการประชุมขุนนางในครั้งนี้
กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโต
“เรื่องใหญ่เลยนะครับ”
เครย์ลีบันยกมือลูบใบหน้าและเอ่ยขึ้น
“หากเดินหมากพลาดละก็ ท่านเบเจอร์คงได้ตระกูลไป…”
ไวโอเล็ตพึมพำเสียงแผ่ว ในขณะที่ส่ายหน้าไปมาราวกับแค่จินตนาการก็รู้สึกสยองขึ้นมาแล้ว
ส่วนเธอน่ะเหรอ
“มีหัวคิดเหมือนกันนะเนี่ย”
ยอมรับเลยจริงๆ คราวนี้จักรพรรดินีเดินหมากได้เยี่ยมมาก
เธอเองก็รู้อยู่หรอกว่า ทางฝ่ายนั้นจะต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะคิดผลักดันให้มีการร่างกฎหมายแบบนี้ขึ้นมา
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางขัดขวางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่หรอก
“คงคิดว่าวางกับดักไว้แล้ว ลอมบาร์เดียจะไม่มีทางหนีรอดไปได้สินะ”
แต่ขอโทษทีเถอะ เธอยังมีวิธีการเอาชนะจักรพรรดินีอยู่เหมือนกัน