เล่ม 5 บทที่ 176.1
ตอนที่ 176
“ทะ…ท่านพ่อ!”
เบเจอร์ร้องตะโกนเสียงดังคล้ายกรีดร้องคร่ำครวญ
ไม่สิ มันเป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญนั่นแหละถูกแล้ว
เบเจอร์เบิกตากว้างมองท่านปู่ราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่เขาเพิ่งได้ยินเมื่อครู่
“ยะ…ยึดคืนอำนาจอย่างนั้นหรือ…”
ร่างกายของเบเจอร์สั่นเทาไม่หยุดราวกับไผ่ต้องลม
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ ท่านพ่อ ทำแบบนั้นกับข้าได้ยังไง…”
เบเจอร์เอาแต่พึมพำอะไรบางอย่างไม่หยุด แต่แล้วจู่ๆ ก็เดินตรงเข้าไปหาท่านปู่
“ต่อให้เป็นท่านพ่อก็เถอะ ยังไงก็ไม่สมควรที่จะถีบหัวส่งข้าแบบนี้นะครับ!”
จะว่าเป็นพวกงูเห่าเลี้ยงไม่เชื่องก็ไม่ผิดนัก
ตอนนี้เบเจอร์กำลังโมโหท่านปู่โดยไม่คิดที่จะสำนึกในความผิดของตัวเองเลยสักนิด
ท่านปู่แค่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น คล้ายกับเรื่องตรงหน้าเป็นเรื่องน่าหัวเราะเสียจริง
“ข้าคือลอมบาร์เดียนะครับ! จะมายึดคืนอำนาจที่ข้าได้รับจากการเป็นสายเลือดชั้นสูงอย่างลอมบาร์เดียไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
เบเจอร์ทำตัวราวกับเด็กตัวเล็กๆ ที่ส่งเสียงร้องโวยวายยามไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ไม่สิ พวกเด็กๆ ทำก็ยังดูน่ารักอยู่หรอก
แต่นี่ความอดทนของท่านปู่เองก็เริ่มมาถึงขีดสุดเสียแล้ว
ท่านปู่ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนจะพูดย้ำชัดถ้อยชัดคำทีละพยางค์
“เจ้าเองก็ควรรู้ว่าที่ผ่านมาข้ามอบโอกาสให้เจ้าไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว”
“แต่…”
“ตระกูลของข้าไม่ต้องการคนที่ใช้สายเลือดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
สำหรับท่านปู่แล้ว การแต่งงานระหว่างอาสทาน่ากับลาลาเน่เป็นการข้ามเส้นสุดท้ายที่ไม่ควรข้ามอย่างแท้จริง
กระทั่งสีหน้าของท่านปู่ยามปฏิบัติต่อเบเจอร์ก็ยังเปลี่ยนไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพ่อ…”
ใบหน้าของเบเจอร์เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ท่านปู่กลับเพียงแค่ชายตามองเบเจอร์ด้วยนัยน์ตาเย็นชา แล้วหมุนตัวเดินจากไป
ในตอนนั้นเอง
ตุบ!
เบเจอร์ก็คุกเข่าลงที่เบื้องหลังท่านปู่
“ขออภัยครับ! ข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อ! ดะ…ได้โปรดยกโทษ…”
ทั้งบรรดาข้ารับใช้ที่ขนย้ายข้าวของกันอย่างยุ่งวุ่นวาย อีกทั้งคนอื่นๆ ที่ออกมามุงดูสถานการณ์เพราะได้ยินเสียงดังโหวกเหวก ต่างก็ตกใจจนสะดุ้งกันหมด
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เบเจอร์ผู้แสนเย่อหยิ่งจองหองอยู่เสมอมีสภาพเช่นนี้
“ได้โปรดยกโทษให้ข้าเถอะครับ!”
เบเจอร์หมอบลงจนหน้าแทบจะติดพื้นแล้วจริงๆ
ราวกับคนที่แสวงหาความเมตตาจากท่านปู่เหนือสิ่งอื่นใด
กระทั่งน้ำเสียงเองก็แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง
แต่ท่านปู่เพียงแค่หลุบตามองเบเจอร์ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเท่านั้น
ดูเหมือนจะไม่เชื่อในคำขอโทษอย่างสิ้นหวังที่เบเจอร์ร้องตะโกนเสียงดังปาวๆ นั่นเลยแม้แต่น้อย
“มันสายเกินไปแล้ว เบเจอร์”
หลังจากทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ท่านปู่ก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ทันทีที่ท่านปู่เดินจากไปไกลจนมองไม่เห็น เบเจอร์ก็ลุกขึ้นจากพื้นพลางตะโกนด่าสาปส่งไม่หยุด
เขาจ้องมองไปยังทิศที่ตั้งห้องทำงานของท่านปู่ ถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะสาวเท้าก้าวพรวดไปยังเรือนเล็กทางด้านหลัง
เหอะ ทำอย่างกับตัวเองดีตายงั้นแหละ
อารมณ์ร้อนฉุนเฉียวเหมือนเด็กๆ ขนาดเดินไปไกลแล้วก็ยังกระทืบเท้าเสียงดังปึงปังด้วยความไม่พอใจอยู่ได้
“มันก็ต้องแบบนี้แหละนะ ขอโทษบ้าบออะไร”
คนอย่างเบเจอร์ไม่มีวันเปลี่ยนได้หรอก
เอาแต่ทำผิดซ้ำๆ ซากๆ สุดท้ายตัวเองก็โดนไล่ต้อนจนตกหน้าผา
“จักรพรรดินีจะเสนอหน้าแก้ปัญหาด้วยวิธีแบบไหนกันล่ะคราวนี้”
อันที่จริงจักรพรรดินีจะเสนอหน้าออกมาในทิศทางไหนก็เห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว
อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นั่นแหละ
มนุษย์เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสันดานตัวเองได้หรอก
* * *
“กรี๊ดดดด! เฟเรส ไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นกล้าดียังไงมาขวางทางข้า! กรี๊ด!”
เพล้ง!
“ข้าจะฆ่ามัน! ไอ้เด็กนั่น ฆ่ามันทิ้งเดี๋ยวนี้! กรี๊ดดดด!”
โครมมมม!
ร่างกายของดิวอิจ อังเกนัส สั่นเทาขึ้นมา ยามนึกไปถึงสภาพของจักรพรรดินีราวีนีที่บ้าคลั่งหลังจากฎีกาสืบทอดตระกูลด้วยบุตรคนโตล้มเหลวไม่ผ่านมติที่ประชุมขึ้นมา
จนถึงปัจจุบันเขาเองก็ต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวของราวีนีมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกหวาดกลัวเท่าวันนี้มาก่อนเลยในชีวิต
จักรพรรดินีผู้พลาดเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าไปอย่างน่าเสียดาย ไม่อาจควบคุมโทสะของตัวเองเอาไว้ได้
ไม่เพียงแต่จะเขวี้ยงปาทำลายข้าวของทั้งหมดในห้อง หลังจากนั้นยังถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายคนอื่นๆ อีกด้วย
“น้ำชาเย็นชืดหมดแล้ว ไปเอามาใหม่”
“พะ…เพคะ องค์จักรพรรดินี…”
เหตุผลที่บรรดานางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายจักรพรรดินีมักจะถูกเปลี่ยนตัวอยู่บ่อยๆ ก็เป็นเพราะสาเหตุเดียวกัน
บรรดานางกำนัลที่ได้รับบาดเจ็บน้อยใหญ่บนเรือนร่างต่างก็ต้องการลาออกกันหมด ดิวอิจ อังเกนัส เองก็ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยจำนวนไม่น้อยเพื่อปิดปากพวกนาง
แถมการหานางกำนัลคนใหม่ก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน
เพราะไม่มีใครคนไหนอยากทำงานรับใช้ข้างกายจักรพรรดินีกันเลยสักคน
สุดท้ายก็ต้องหาคนที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินเข้ามาแทนที่ ระดับชั้นของนางกำลังจึงตกต่ำลงไปด้วย เป็นเหตุให้จักรพรรดินียิ่งอารมณ์ร้ายมากกว่าเดิม เนื่องด้วยไม่ถูกใจคนพวกนั้น
“ไม่มีข่าวน่าสนใจในเมืองหลวงบ้างเลยหรือ ดิวอิจ”
ตอนนี้อาจจะยิ้มอยู่อย่างนั้นก็จริง
แต่บนใบหน้างดงามของราวีนีกลับมีใบหน้าของปีศาจร้ายในวันนั้นซ้อนทับขึ้นมาอยู่เรื่อย ดิวอิจจึงได้แต่หลบสายตานาง
“ไม่มีเรื่องใดสำคัญมากพอจะได้รับความสนใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฮ่าฮ่า”
โดยไม่ลืมหัวเราะกลบเกลื่อนปิดท้ายตามไปด้วย
“อืม อย่างนั้นหรือ”
นัยน์ตาสีฟ้าของราวีนีจ้องนัยน์ตาของดิวอิจราวกับต้องการจะมองให้ทะลุเข้าไปข้างใน
และแย้มรอยยิ้มหวานราวกับไม่เคยกระทำเรื่องเหล่านั้น
“ไม่รู้ว่าช่วงนี้เจ้าชายของพวกเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ยอมมาให้มารดาคนนี้ได้เห็นหน้าค่าตาบ้างเลย ทำเอาข้าเสียใจจะแย่อยู่แล้ว”