เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 5 บทที่ 189.1

เล่ม 5 บทที่ 189.1

เล่ม 5 บทที่ 189.1

ตอนที่ 189

สถานที่ที่เธอกับเฟเรสเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมสูดอากาศสดชื่นยามเช้าก็คือ คอกม้าขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมืองลอมบาร์เดีย

สถานที่เดียวกันกับที่เธอเคยมากับสองแฝดและลอรีลสมัยก่อนนั่นแหละ

ทันทีที่เธอกับเฟเรสเดินทางมาถึง บรรดาชนชั้นสูงที่แวะมาที่นั่นและเหล่าคนงานที่ทำงานอยู่ในคอกม้าต่างก็มองตามพวกเราเหมือนไม่มีงานมีการทำ

“แบบนี้ข่าวลือคงจะแพร่ไปทั่วแน่ๆ”

ถึงแม้พวกเราจะประกาศหมั้นหมายกันแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังมีคนสงสัยในตัวพวกเราที่ไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องการแต่งงานอย่างละเอียดอย่างเป็นทางการสักที วันนี้พวกเราเลยตั้งใจออกมาเที่ยวข้างนอกเพื่อสยบข่าวลือพวกนั้น

“ไปเดินตรงที่คนเยอะหน่อยดีมั้ย”

พวกเราเริ่มเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปรอบๆ ระหว่างทางก็แวะไปรับประทานอาหารกับขนมหวานในภัตตาคารที่เปิดให้บริการอยู่แถวคอกม้า

ผู้คนมากมายต่างก็มองเธอกับเฟเรสจากที่ไกลๆ พลางกระซิบกระซาบพูดคุยกันเองเท่านั้น ไม่ได้เดินเข้ามาทักทายพวกเราแต่อย่างใด

รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นดาราเลยแฮะ

“เทีย”

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เฟเรสก็ยื่นมือตรงมาหาเธอ

ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างคุ้นเคย

“อะ…อะไร”

ตกใจมากจริงๆ นะ

หัวใจเต้นโครมครามไปหมดแล้ว

แต่เฟเรสกลับแค่ยักไหล่ตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“เศษคุกกี้เลอะปากน่ะ”

“งั้นก็แค่บอกกันเฉยๆ ก็ได้ ไม่ใช่…!”

พอเธอขึ้นเสียงดังใส่ เฟเรสก็ยกปลายนิ้วขึ้นแตะปากของตัวเองเบาๆ แล้วส่งสายตาพยักพเยิดไปรอบๆ ก่อนจะพูดเสียงเบา

“มีผู้ชมดูอยู่นะ ไหนๆ ออกมาแล้วก็ต้องโชว์ให้เห็นกันหน่อยสิ”

แต่มุมปากของเด็กหนุ่มกลับกระตุกยิ้มดูเจ้าเล่ห์ชอบกล

ดูเหมือนสนุกกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย

เธอถลึงตาจ้องเฟเรสเขม็งหนึ่งรอบ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ข้าว่าพวกเราก็แสดงให้เห็นมากพอแล้วนะ ไปขี่ม้าเล่นกันดีกว่า”

เฟเรสเดินตามเธอไปยังคอกม้าต้อยๆ อย่างว่าง่ายโดยไม่เถียงอะไรเหมือนเคย

“มาแล้วหรือครับ คุณหนูฟีเรนเทีย ข้าจัดเตรียมบลังก์เอาไว้ให้ทางด้านนั้นเรียบร้อยแล้วครับ”

คนงานที่ทำหน้าที่ดูแลม้าของลอมบาร์เดียเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะแจ้งให้เธอทราบอย่างสุภาพ

เธอเดินตรงไปหาม้าสีขาวที่ออกมายืนคอยท่ารอเธออยู่ด้านนอกก่อนแล้วช้าๆ

“สวัสดี บลังก์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ลูกม้าตัวน้อยที่ท่านพ่อมอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อตอนยังเด็ก ตอนนี้ก็เติบใหญ่กลายเป็นม้าหนุ่มเต็มวัยแล้ว

เพราะดันมีเจ้าของผู้ไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการขี่ม้าเล่น พวกเราก็เลยได้พบหน้ากันแค่ฤดูกาลละครั้งเท่านั้นเอง

แต่บลังก์กลับกะพริบตากลมโตใสซื่อปริบๆ ส่งเสียงร้องฮี้ๆ ออดอ้อนตอบกลับมา ราวกับรับรู้ได้ว่าเธอเป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน

“เป็นม้าที่ดีจริงๆ”

เฟเรสเดินเข้ามาสำรวจบลังก์อยู่ข้างกายเธอพลางเอ่ยขึ้น

“แต่ม้ายอดเยี่ยมแบบนี้กลับถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้พาออกไปวิ่งบ้างเลย”

“เพราะฉะนั้นถึงได้ตั้งใจมาเรียนนี่ไง”

ถึงเวลาต้องเริ่มเรียนรู้วิธีขี่ม้ากันอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้แล้ว

พอโดนเฟเรสพูดเหน็บแนมแบบนั้น เธอหันขวับไปตอบเขาอย่างขุ่นเคืองจนแทบจะกินหัวเขาอยู่แล้ว แต่พอหันกลับไปสบนัยน์ตากลมใสของบลังก์ที่เอาแต่มองหน้าเธอแล้ว ก็รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน

“ออกไปที่ทุ่งหญ้ากันก่อนดีกว่า”

เฟเรสพูดพลางส่งมือให้เธอ

ต่อให้บลังก์จะว่าง่ายแค่ไหนก็เถอะ แต่ยังไงเธอก็ยังขี่ม้าคนเดียวไม่รอด เลยต้องขี่ม้าตัวเดียวกันกับม้าของเฟเรสไปก่อน

ส่วนบลังก์ไม่ต้องกุมสายบังเหียนก็วิ่งตามหลังพวกเรามาติดๆ

เพราะม้าของเฟเรสเป็นม้าศึกตัวใหญ่ยักษ์ ทุ่งหญ้าตรงหน้าที่ได้ก้มลงมองจากบนนั้นจึงให้ความรู้สึกอีกแบบต่างไปจากปกติ

ความสงบสุขที่ไม่ได้สัมผัสมาเสียนาน

เธอใช้มือข้างหนึ่งรวบผมที่พลิ้วสะบัดเพราะแรงลมเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เฟเรส เจ้าเตรียมการทุกอย่างราบรื่นดีหรือเปล่า”

ไม่มีคำตอบใดดังมาจากคนข้างหลัง

แต่นั่นก็เหมือนกับยอมรับกลายๆ นั่นแหละ

“ถึงแม้การทำให้ตระกูลบราวน์ได้กลับมายืนในสังคมชั้นสูงอีกครั้งจะเป็นหน้าที่ของข้าก็เถอะ แต่หลังจากนั้นก็เป็นส่วนของเจ้า รู้แล้วใช่มั้ยเนี่ย”

ในชีวิตก่อนเฟเรสสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่เลวร้ายกว่านี้มาได้ และได้ในสิ่งที่เขาต้องการในที่สุด

ต่อให้เธอไม่ถามเขาให้แน่ใจ เขาก็คงจะจัดการเองได้ดีอยู่แล้วละมั้ง

แต่เรื่องของตระกูลบราวน์มันเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก

“ไทมิ่งมันสำคัญนะ ทุกอย่างจะต้องดำเนินไปตามแผนการที่เจ้าวางไว้”

เธอพูดพลางเอี้ยวตัวกลับไปข้างหลัง

และนัยน์ตาสีแดงที่กำลังมองเธออยู่ก็กำลังมองสบตาเธอใกล้มาก

“ทำไม”

เฟเรสถามสั้นๆ

“ทำไมการที่ข้าจะขึ้นเป็นรัชทายาท ถึงได้สำคัญกับเทียมากขนาดนั้น”

ไม่ได้ถามเพราะตั้งใจจะล้วงความลับจากเธอ

เฟเรสแค่ถามด้วยความอยากรู้อย่างบริสุทธิ์ใจ

“ลืมไปแล้วหรือไง คนที่หาเจ้าในป่าวังจักรพรรดินีเจอคือข้านะ”

เธอแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ เอื้อมมือไปแตะแก้มของเฟเรส

“ใช่ ถูกต้องแล้ว”

เฟเรสเองก็มองเธอพลางยิ้มจาง

และค่อยๆ โน้มกายลงมาช้าๆ ก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากของเธออย่างระมัดระวัง

ความอบอุ่นนั่นทำให้เธอเผลอหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว

อา ปล่อยไว้แบบนี้คงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่เลย

เธอรีบผละกายถอยห่างไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยขึ้น

“ได้เวลาสร้างความสนิทสนมกับบลังก์ให้มากขึ้นแล้วละมั้งเนอะ”

แต่ในจังหวะที่เธอตั้งใจจะกระโดดลงจากหลังม้า

“เดี๋ยว”

เฟเรสก็โอบรั้งเอวเธอไว้แน่น

“เฟเรส?”

มีอะไรบางอย่างแปลกๆ

ใบหน้าของเฟเรสที่จ้องไปยังทุ่งหญ้าที่ดูว่างเปล่าในสายตาเธอดูไม่ปกติเอาเสียเลย

“ต้องกลับไปที่คอกม้ากันแล้ว”

เฟเรสพูดเช่นนั้น แล้วกระตุกสายบังเหียนม้าตัวเองอย่างแรง เพื่อหมุนตัวเปลี่ยนทิศทางในการวิ่ง

วินาทีนั้นเอง

เส้นขนพลันลุกชันจนหนาวสะท้านไปทั่วแผ่นหลัง

นี่คือพลังมานาที่ผู้คนพูดถึงอย่างนั้นเหรอ

พลังที่คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เคยสัมผัสได้ยามเฟเรสจับดาบเริ่มค่อยๆ เด่นชัดจนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มันมาจากทิศทางที่เฟเรสหันไปมองเมื่อครู่

“ให้ตายเถอะ!”

เฟเรสเตะท้องม้าอย่างแรง

“อ๊ะ!”

ม้าวิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากอย่างกะทันหัน จนทำให้ร่างของเธอโงนเงนเฮือกใหญ่

เพียะ!

ถึงแม้เฟเรสจะบังคับม้าวิ่งด้วยความเร็วสูง แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะตีก้นของบลังก์อย่างแรง

บลังก์สะดุ้งตกใจจนเพิ่มความเร็ว แล้ววิ่งหนีไปตามลำพัง

ถึงยังไงละแวกนี้ก็เป็นทุ่งหญ้าสำหรับให้พวกม้าได้วิ่งเล่นกันอยู่แล้ว ไว้ค่อยไปตามหาบลังก์ทีหลังก็ยังไม่สาย

ถ้าหลุดพ้นอันตรายตรงหน้า แล้วหนีรอดไปได้ละก็นะ

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท