เล่ม 5 บทที่ 197.1
ตอนที่ 197
“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเจ้าตระกูลบราวน์ คิลลาร์ด บราวน์ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีโยบาเนสหรี่ตามองเจ้าตระกูลบราวน์ที่เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าพระองค์ และรอยยิ้มที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าก็จางหายไปพร้อมกัน
“อืมมมม”
เสียงพึมพำลากยาวไม่อาจรู้ความหมายได้ ทำให้ใบหน้าของเจ้าตระกูลบราวน์กระตุกเกร็ง
ถึงแม้เจ้าตระกูลบราวน์จะไม่คิดว่า องค์จักรพรรดิจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นต้อนรับการกลับมาของเขา แต่ไม่นึกเลยว่าจะเมินเฉยกันได้ขนาดนี้
อย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลบราวน์ ทางราชวงศ์เองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงคาดการณ์ไว้ว่า อย่างน้อยก็คงจะได้เห็นท่าทีกระวนกระวายใจบ้าง
“อืม พอจะจำหน้าได้อยู่เหมือนกัน”
ปฏิกิริยาของจักรพรรดิโยบาเนสมีเพียงแค่เท่านั้น
กลับกลายเป็นคิลลาร์ด บราวน์ เสียเองที่ตื่นตระหนกจนเผลอผวาเฮือกโดยไม่รู้ตัวอย่างที่เคยชินเป็นนิสัย
และในวินาทีนั้นเอง เขาก็พลันนึกถึงคำพูดที่ฟีเรนเทียเคยกล่าวกับเขาขึ้นมาได้
“ต่อไปขอให้เชิดศีรษะขึ้นอย่างมั่นใจอยู่เสมอ ไหล่เองก็ต้องยืดตรงด้วยค่ะ ตอนนี้ถึงเวลาเป็นเจ้าตระกูลให้สมกับชื่อตระกูลบราวน์แล้วนะคะ”
เจ้าตระกูลที่เหมาะสมกับชื่อตระกูลบราวน์
คำพูดประโยคนั้นทำให้ศีรษะที่เคยก้มค้อมของเจ้าตระกูลบราวน์เงยขึ้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง
และเขาก็ได้เห็นในทันที
จักรพรรดินีราวีนีที่หวาดกลัวจนใบหน้าขาวซีดอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดิผู้มีสีหน้าเรียบเฉย
“นี่มันอะไรกัน…”
เสียงตีบตันราวกับถูกใครบีบคอเอาไว้ดังออกจากปากของจักรพรรดินีราวีนี
คิลลาร์ด บราวน์ ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าตระกูลบราวน์รุ่นก่อน ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนนางตามสืบไม่เจอตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน
ตอนที่ตามหาตัวเจอครั้งสุดท้าย คิลลาร์ด บราวน์ กำลังป่วยทรุดจากโรคเรื้อรัง ทั้งยังไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวคอยดูแล
เพราะฉะนั้นนางถึงได้คิดว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางเป็นอันตรายต่อนางได้อีก จึงไม่ได้สั่งให้คนตามไล่ล่าอีกต่อไป
‘ซ่อนตัวอยู่ในลอมบาร์เดียมาจนถึงตอนนี้อย่างนั้นหรือ’
แววตาเหี้ยมโหดของจักรพรรดินีราวีนีมองไปยังรูลลัก ลอมบาร์เดีย ที่ยังคงยืนนิ่งด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
ไม่มีทางที่นางจะยอมโดนเล่นงานอยู่เฉยๆ ฝ่ายเดียวแน่
ยังไงก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางเรื่องที่เกิดขึ้นนี่ให้ได้
จักรพรรดินีราวีนีเลือกที่จะเป็นฝ่ายโจมตีก่อน
“คนคนนี้ใช่เจ้าตระกูลบราวน์แน่หรือเพคะ ฝ่าบาท”
“อืมมมม เรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้วด้วย”
“ก็แค่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้นเอง แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยไม่ใช่หรือเพคะ”
ในปัจจุบันไม่เหลือข้าวของอะไรของตระกูลบราวน์เลยสักชิ้น
เพราะอังเกนัสเผาทุกอย่างไหม้วอดวายไปหมดสิ้น
สำหรับตระกูลบราวน์ที่โดนบุกเข้าโจมตีในกลางดึกคืนหนึ่ง และทุกสิ่งถูกเผาทิ้งจนราบเป็นหน้ากลอง นางคิดว่ายังไงก็ย่อมไม่มีทางมีสิ่งยืนยันตัวตนได้เป็นแน่
“เจ้าตระกูลบราวน์ เอาสิ่งนั้นให้พระองค์ทอดพระเนตรสิ”
แต่รูลลักกลับเอ่ยกับคิลลาร์ด บราวน์ ราวกับเฝ้ารอโอกาสนี้อยู่แล้ว
“โปรดทอดพระเนตรสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เจ้าตระกูลบราวน์หยิบของสิ่งหนึ่งที่ถูกพันด้วยผ้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วมอบมันให้แก่จักรพรรดิโยบาเนส
“นี่มัน…”
“มันคือแหวนที่บิดาของกระหม่อมได้รับพระราชทานจากอดีตองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
บนแหวนวงหนาที่สร้างขึ้นจากทองคำมีสัญลักษณ์ตราราชวงศ์สลักเอาไว้อย่างชัดเจน
ด้านในแหวนมีกระทั่งนามของเจ้าตระกูลบราวน์รุ่นก่อนสลักเอาไว้เช่นเดียวกัน
“ได้ยินว่า มันเป็นแหวนที่ได้รับพระราชทานจากอดีตจักรพรรดิ สมัยที่ท่านพ่อดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ครบรอบสิบปีพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์หลายคนที่กำลังยืนอารักขาจักรพรรดิโยบาเนสอยู่ถึงกับหมองหม่นลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เพราะไม่มีอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์คนใดไม่เคยได้ยินเรื่องของเจ้าตระกูลบราวน์ผู้ใช้เวลาทั้งชีวิตอุทิศให้แก่ราชวงศ์ ทว่าสุดท้ายก็ถูกอดีตจักรพรรดิลอบแทงข้างหลังอย่างไร้เยื่อใย
“คราวนี้พอจะคลายความสงสัยลงได้บ้างหรือยังพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย เอ่ยถามราวีนีอย่างนุ่มนวล
จักรพรรดินีพยักหน้ายอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สายตายังคงไม่ละไปจากแหวนที่โยบาเนสถือไว้
ใบหน้าดุดันด้วยใจที่อยากจะแย่งมันมา แล้วกำจัดทิ้งไปเสียประเดี๋ยวนี้
ในตอนนั้นเอง เจ้าตระกูลบราวน์ก็คุกเข่าลงตรงหน้าองค์จักรพรรดิอย่างช้าๆ
คนตระกูลบราวน์นับสิบที่เหลือซึ่งยืนอยู่ด้านหลังต่างก็คุกเข่าตามเจ้าตระกูลเช่นกัน
“ตระกูลบราวน์ของกระหม่อม ที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตโดยถูกเหล่ามือสังหารนิรนามตามไล่ล่ามาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สุดท้ายเพื่อที่จะได้มีชีวิตเหลือรอดต่อไป พวกเราจึงได้แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสกุล แยกย้ายกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เพื่อที่จะได้กลบร่องรอยให้ไม่มีใครตามตัวเจอพ่ะย่ะค่ะ”
คิลลาร์ด บราวน์ เอ่ยพูดเสียงนิ่งสงบ
“แต่ด้วยความช่วยเหลือจากท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย พวกเราจึงตัดสินใจที่จะลองกล้าหาญดูสักคราพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อตอนนี้ได้มาคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาทในฐานะเจ้าตระกูลบราวน์เช่นนี้แล้ว ต่อให้ต้องตายกระหม่อมก็ไม่เสียใจ”
เสียงอ่อนแรงด้วยความสิ้นหวัง ทำให้เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างก็ส่ายหน้า ยกมือขึ้นปิดปากแน่นด้วยความสะเทือนใจแทนเจ้าตระกูลบราวน์
บรรดาอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเช่นกัน
“ถึงแม้มือข้างขวาจะถูกตัดทิ้งไป แต่กระหม่อมก็เก็บรักษาความจงรักภักดีเอาไว้ ไม่เคยปล่อยให้มันถูกช่วงชิงไปพ่ะย่ะค่ะ”
วินาทีนี้เอง ชนชั้นสูงทั้งหลายจึงทันได้สังเกตเห็นแขนเสื้อว่างเปล่าไร้มือข้างขวาของชายตระกูลบราวน์ทุกคน
“เฮือก!”
“ตายจริง…”
“โหดร้ายเหลือเกิน…”
ปฏิกิริยาหลากหลายสะท้อนออกมาจากผู้คนมากมายที่ยืนอยู่รอบๆ และทุกคนต่างก็ชายตามองจักรพรรดินีกันอย่างพร้อมเพรียง
เรื่องคนที่ลงมือทำเรื่องโหดเหี้ยมแบบนี้ต่อตระกูลบราวน์ได้ นอกจากอังเกนัสแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ทุกคนต่างก็ทราบดีกันทั้งนั้น
“ตระกูลบราวน์กับตระกูลลอมบาร์เดียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่อดีตแล้วนี่นะ”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย กล่าวเสียงผ่อนคลาย ช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียดลงได้บ้าง
“พวกเขาประสบเรื่องราวมามากมายเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงจบความลำบากของพวกเขาด้วยเถอะ ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องถูกไล่ล่าจนต้องอยู่กับหวาดกลัวอีกต่อไป”
“ให้จบยังไงกันครับ”
จักรพรรดิโยบาเนสขมวดคิ้วแน่น ในขณะที่เอ่ยถามขึ้น
ใบหน้าดูติดจะหงุดหงิดอยู่มาก
“เพียงแค่ช่วยให้นามของตระกูลบราวน์ได้กลับคืนสู่ทำเนียบรายชื่อชนชั้นสูงอีกครั้งก็เสร็จสิ้นแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลเพียงแค่สูญสิ้นไปเพราะ ‘เรื่องไม่ยุติธรรม’ เท่านั้น ส่วนบุตรหลานเองก็ยังคงสืบเชื้อสายต่อมาให้เห็นกันอยู่ตรงหน้าแล้ว กระหม่อมคิดว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะช่วยเหลือพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองอันรุนแรงกลับมาจากจักรพรรดินีราวีนีแทน
“ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท!”
จักรพรรดินีราวีนีขยุ้มเดรสเอาไว้แน่น แล้วสาวเท้าก้าวพรวดๆ ตรงดิ่งเข้ามา นางก้มหน้ามองเจ้าตระกูลบราวน์ด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะเอ่ยพูดเสียงดัง
“ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม อย่างไรก็เป็นตระกูลที่ถูกลบออกจากทำเนียบรายชื่อชนชั้นสูงไปแล้วครึ่งหนึ่งเพคะ พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้พวกเขาเป็นเพียงแค่สามัญชนเท่านั้น”
ความดูหมิ่นหยามเกียรติเต็มเปี่ยมอยู่ในนัยน์ตาของราวีนีที่กำลังมองคิลลาร์ด บราวน์ เงยหน้าสบตานางอยู่
“คิดว่าการกลับมาเป็นชนชั้นสูงอีกครั้ง มันเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือเพคะ เรื่องนี้มันขัดต่อความถูกต้อง อีกทั้งยังจะเป็นปัญหาต่อความน่าเชื่อถือของสภาขุนนางด้วยเพคะ”
“ความน่าเชื่อถือ?”
รูลลักหัวเราะเย้ยหยัน
“พูดถึงความน่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ จักรพรรดินี”
เรื่องมารยาทที่ควรปฏิบัติอย่างสุภาพยามพบหน้าในงานสังคมทางการ มันหายไปจากความคิดของรูลลักนานแล้ว
“เป็นเช่นนั้นค่ะ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”
“เหอะ นี่มันช่าง! อ้างเรื่องความน่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดเลยว่าจักรพรรดินีไม่เคยได้รู้กระทั่งว่า ในยุคสมัยอดีตจักรพรรดิได้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง และตระกูลบราวน์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะเหตุใดกันแน่!”
ถ้าหากรู้ละก็ จะไม่มีทางพูดเรื่อง ‘ความน่าเชื่อถือ’ ออกมาจากปากได้ง่ายๆ แบบนั้น