ตอนที่ 125 คนที่ไล่จีบภรรยา
ใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน จางหมิงก็กลับมาพร้อมกับกับข้าวที่ห่อมาอย่างดี
“เร็วขนาดนี้เลย?” เย่หมิงเป่ยยิ้ม
“เป็นอาหารสำเร็จรูปน่ะ” จางหมิงมองพวกเขา “ฉันซื้อเกี๊ยวแช่แข็งไว้ พวกเราเอามาต้มเอง อุ่นให้ร้อนก็กินได้แล้ว อย่างอื่นก็เป็นพะโล้ รวมถึงผักใบเขียว พวกนายรอแป๊บนะ ฉันจะเอาไปล้าง อีกเดี๋ยวต้มเกี๊ยวให้กิน”
เย่หมิงเป่ยจะปล่อยให้เขาทำงานคนเดียวได้อย่างไรกัน จ้าวเหวินเทาเองก็เข้ามาช่วยเหลือด้วย
จางหมิงพูดกับจ้าวเหวินเทาด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้จักฉูฉู่ ฉูฉู่ตาถึงนะเนี่ย ตอนแรกยุวปัญญาชนทางฝั่งนั้นก็มีหลายคนจะจีบหล่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท้ายที่ฉูฉู่จะแต่งงานกับนาย”
“นั่นสิ ภรรยาของผมตาถึงมากเลยล่ะ คนธรรมดาที่ไหนจะมาชอบผมได้?” จ้าวเหวินเทาพูดอย่าง
จางหมิงแย้มยิ้ม “ใช่ ๆ ความยืดหยัดนี้แหละ ฉันรู้ว่าฉูฉู่ต้องชอบแน่นอน!”
จ้าวเหวินเทาได้ยิน คำพูดนี้ก็ไม่ใช่คำพูดดี ๆ อะไรเลยนะ?
เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกจางหมิงเองก็อยากจีบฉูฉู่เหมือนกัน แต่ฉูฉู่ไม่แม้แต่จะเหลียวมอง”
จางหมิงกลับนิ่งสงบมาก “ฉูฉู่รังเกียจที่ฉันหน้าบาง บอกว่าคนหน้าบางคงไม่มีอะไรให้กิน คนหน้าหนาต่างหากล่ะถึงจะมีให้เธอกิน หล่อนอยากได้แฟนที่เป็นพวกหน้าหนา”
จ้าวเหวินเทาเม้มปากเป็นเส้นตรง ภรรยาของเขาเป็นแบบนี้จริง ๆ สายตาก็ดีขนาดนี้เลย!
จางหมิงเห็นจ้าวเหวินเทาพูดสัพยอกเล่นได้ ก็หัวเราะออกมา “ฉันไปเปิดหม้อต้มน้ำก่อน”
หม้อต้มอยู่ด้านในครัว เป็นเตาหนึ่งเตา แค่มีเครื่องทำความร้อน เมื่อน้ำในหม้อเดือด เครื่องทำความร้อนก็ร้อนเช่นกัน
จ้าวเหวินเทามอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าเครื่องทำความร้อนนี้ดี สะดวกจริง ๆ
จึงถามว่า “พี่จาง ติดตั้งเครื่องทำความร้อนใช้เงินเท่าไรเหรอ?”
จางหมิงแม้ว่าในปีนั้นจะเป็นพวกร้องไห้ขี้มูกโป่ง แต่เขาก็อายุมากกว่าจ้าวเหวินเทานิดหน่อย
“นายจะติดเครื่องทำความร้อนเหรอ?” จางหมิงถาม
“ผมเองก็มีความคิดนี้อยู่เหมือนกัน” จ้าวเหวินเทาพยักหน้า
“ฉันแนะนำให้นายไปซื้อเครื่องเก่านะ ของนี้แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว ถึงเวลานั้นแค่ทาสีเคลือบก็เหมือนใหม่แล้ว” จางหมิงกล่าว “ถ้ามีสามห้อง แต่ละห้องใช้แผ่นทำความร้อนแค่ 4-5 แผ่นก็พอ มีเตาไฟอยู่ ไม่ต้องใช้ให้มากมายหรอก ไม่งั้นคงเปลืองถ่านหินแย่ ส่วนเรื่องราคา แผ่นทำความร้อนรวมกับหม้อไอน้ำก็ร้อยกว่าหยวนมั้ง นายอยากได้เดี๋ยวฉันไปถามให้ ถึงตอนนั้นค่อยไปต่อรองราคา ของชิ้นนี้ไม่ได้มีราคาขาดตัว อย่าได้ถูกหลอกเชียวล่ะ”
“ถ้างั้นผมขอบคุณพี่จางล่วงหน้าเลยนะ ถึงเวลาที่ผมต้องใช้จะมาหาพี่นะ” จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม
จางหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้เลย แต่ของนี้หนักนะ รวมเข้ากับน้ำร้อนที่อยู่ด้านใน จำเป็นต้องใช้กำแพงอิฐ กำแพงดินแขวนไม่อยู่หรอก”
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ?” จ้าวเหวินเทากล่าว จากนั้นก็พูดกับเย่หมิงเป่ย “พี่สาม ถ้าพี่จะติดก็ต้องสร้างบ้านอิฐแล้วล่ะ”
เย่หมิงเป่ยกล่าว “พี่สะใภ้สามของนายอยู่เมืองหลวง ตอนนี้คงยังไม่ได้กลับมา ฉันเองก็มีที่นอนแล้ว ตอนนี้คงยังไม่สร้างบ้านก่อน”
จางหมิงไม่กล้าถามเรื่องของโจวหมิ่นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้ยินเย่หมิงเป่ยเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง จึงพูดว่า “โจวหมิ่นไปอยู่เมืองหลวงเป็นยังไงบ้าง?”
ที่เขารู้สึกไม่ดีที่จะถาม ก็เพราะกังวลว่าโจวหมิ่นจะไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาแล้ว
อย่าคิดว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น มีเยอะถมเถ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุด โจวหมิ่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้ว ข้างกายของหล่อนก็มีนักศึกษาโดดเด่นทั้งนั้น หล่อนยังจะกลับมาอีกเหรอ?
นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้
ดังนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้เย่หมิงเป่ยบอกว่าเขาคือพ่อสื่อ แต่เขาเองก็ไม่กล้ายอมรับ เมื่อตอนนี้เย่หมิงเป่ยพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เป็นเพราะได้ยินคล้ายกับว่าโจวหมิ่นกลับมาแล้ว?
“ดีมากเลย” เย่หมิงเป่ยแย้มยิ้ม
“นายไปหาหล่อนที่ปักกิ่งมาเหรอ?” จางหมิงมองเขา
“ฉันไม่ได้ไป ปีนี้หมินหมิ่นกลับมาฉลองปีใหม่ หลังจากผ่านวันที่สิบห้าฉันก็เพิ่งไปส่งหล่อนที่สถานีรถไฟ” เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินคำพูดนี้ จางหมิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยังดี ๆ ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีก็พอแล้ว
แต่จางหมิงเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างมาก กล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยนะว่าโจวหมิ่นจะกลับมา ไม่ใช่ว่านายไปหาหล่อนเหรอ? ช่วงหลายปีนี้นายเคยไปเยี่ยมหล่อนบ้างไหม?”
เย่หมิงเป่ยส่ายหน้า
จางหมิงมองเขาด้วยความนับถือ “นี่นายเตรียมตัวจะหย่ากับโจวหมิ่นแล้วเหรอ?”
“พี่พูดอะไรเนี่ย พี่สามกับพี่สะใภ้สามความสัมพันธ์ดีจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว
“ความสัมพันธ์ดีฉันเองก็รู้ ตอนแรกโจวหมิ่นเองก็ชอบนายมากจริง ๆ ไม่งั้นจากนิสัยของหล่อนมีเหรอจะแต่งงานกับนาย?” จางหมิงกล่าว “แต่หล่อนสอบเข้ามหาลัยได้ตั้งนานแล้ว นายกลับไม่เคยไปหาหล่อนเลยเนี่ยนะ? นายไม่กลัวว่าหล่อนจะมีเพื่อนนักศึกษาชายที่โดดเด่นข้างกายคนอื่นมาจีบหรือไง?”
จ้าวเหวินเทาเองก็มองไปที่เย่หมิงเป่ย
อันที่จริง เขาก็มีความคิดเดียวกับจางหมิง
เย่หมิงเป่ยกล่าว “ฉันรู้จักหมินหมิ่นดี หล่อนไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ฉันกับหล่อนก็ยังแตกต่างกันมากเกินไป”
“เกี๊ยวเสร็จแล้ว กินไปด้วยคุยไปด้วยเถอะ” จ้าวเหวินเทากล่าว
จางหมิงเองก็หยุดพูด เขาจัดหลู่เว่ย[1]แต่ละอย่างเทใส่จาน เหล้าก็ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้ว
ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะทรงกลม ต่างก็ดันแก้วเปลี่ยนจอกดื่มไปพลางพูดคุยสถานการณ์ช่วงนี้แต่ละเรื่องไปพลาง จางหมิงยังคงพูดถึงประเด็นก่อนหน้านี้ต่อ ถามว่า “แล้วตอนนี้นายวางแผนยังไงบ้างล่ะ? ความแตกต่างระหว่างนายกับโจวหมิ่นนายเองก็ต้องพยายามชดเชยนะ ฉันรู้ว่าคำพูดนี้นายคงไม่อยากฟัง แต่พวกนายเป็นแบบนี้ยังไงก็ไม่ได้แน่นอน”
เย่หมิงเป่ยกล่าว “ฉันรู้ ตอนนี้ฉันกำลังทำค้าขาย ไม่ช้าก็เร็วคงได้ไปปักกิ่ง”
จางหมิงมองรถที่อยู่ด้านนอกปราดหนึ่ง ภายในใจก็เริ่มมีความคิดขึ้นมา เขาเองก็เห็นด้วย กล่าวว่า “ตอนนี้ทำค้าขายถือเป็นโอกาสเลย พวกนายเลือกทำไม่ผิดเลยล่ะ!”
จ้าวเหวินเทารู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนมีความรู้มาก
เย่หมิงเป่ยถาม “นายได้ยินข่าวอะไรบ้างไหม?”
“จะได้ยินอะไรล่ะ บนหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ แต่ละฉบับก็มีหมดแล้ว อีกเดี๋ยวพวกนายเอาไปอ่านสองสามฉบับก็รู้แล้ว” จางหมิงรินเหล้าให้พวกเขา จากนั้นก็พูดว่า “นี่ถ้านายมีแหล่งสินค้า เทศกาลวันที่หนึ่งพฤษภาคม วันที่สิบเอ็ดและวันไหว้พระจันทร์พวกนี้ ขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าเบ็ดเตล็ดเข้ามา ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมาย ของในรถของพวกนายคันนั้น ทางฝั่งฉันสามารถเหมาเกลี้ยงแบบไม่มีปัญหาเลยล่ะ”
จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม “พี่จาง สถานการณ์อะไรเหรอ?”
จางหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็อยากเก็งกำไรแบบมือเปล่าไง ที่หน่วยงานมีสวัสดิการ แต่ของเหล่านี้ก็ขาดแคลน ถ้าพวกนายสามารถนำเข้ามาทางนี้ได้ฉันเหมาหมดเลย”
จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม “พี่จาง หน่วยงานของพวกพี่ก็มีโรงอาหารสินะ?”
“มีสิ” จางหมิงพยักหน้า “หน่วยงานใหญ่ขนาดนั้น จะขาดโรงอาหารได้ไง”
“ฤดูใบไม้ผลิสะสมผักดองหรือเปล่า?” จ้าวเหวินเทาถามด้วยรอยยิ้ม
“ดูนายพูดเข้าสิ ไม่สะสมผักดองฤดูหนาวแล้วจะเอาอะไรกินล่ะ” จางหมินพูดอย่างไม่เข้าใจ อย่ามองว่าที่นี่อยู่ในเมือง แต่ผักดองก็ยังเป็นอาหารหลักในช่วงฤดูหนาว
“งั้นก็ต้องตุนเสบียงผักกาดขาวกับมันฝรั่งแน่ ๆ เลยสินะ?” จ้าวเหวินเทารินเหล้าให้เขา พลางถามด้วยรอยยิ้ม
“นายมีช่องทางเหรอ?” จางหมิงพอจะฟังออก จึงเอ่ยถาม
จ้าวเหวินเทายิ้ม “มีสิ หลังจากนี้ทางฝั่งนี้พี่อยากได้อะไร เดี๋ยวผมจะไปลากรถมาให้พี่เอง อย่างอื่นไม่ต้องพูดให้มากมาย คุณภาพของจะต้องไร้ที่ติ ทำให้พี่ได้หน้าภายในหน่วยงานแน่ ๆ ไม่ทำให้พี่ขายหน้าอย่างเด็ดขาดเลย”
การเรียกคำก็พี่สองคำก็พี่เช่นนี้ คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าสนิทกันมาก แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอหน้ากัน
จางหมิงพูดกับเย่หมิงเป่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนั้นฉูฉู่ไม่ชอบฉัน ฉันก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ หนังหน้าของฉันจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการฝึกฝนถึงขั้นนี้เลย น้องเขยคนนี้ของนายเข้าตาฉูฉู่ทุกด้านเลย”
เย่หมิงเป่ยหัวเราะร่า
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
[1] หลู่เว่ย คือ อาหารประเภทลวกในน้ำพะโล้ โดยให้เลือกของที่เราอยากรับประทานใส่ตะกร้า แม่ค้าจะทำการต้มลงไปในน้ำพะโล้
สารจากผู้แปล
บรรดาพ่อค้ามาเจอกัน ผลที่ได้คือขบวนการค้าที่ใหญ่กว่าเดิม สู้ๆ นะหมิงเป่ย อัพสถานะเพื่อไปหาหมินหมิ่นให้ได้นะ
ไหหม่า(海馬)