ตอนที่ 325 ดองไว้แล้ว
ตอนที่ 325 ดองไว้แล้ว
แค่พี่สะใภ้สามจ้าวได้ยินว่าทำเต้าหู้ก็เกิดอาการตื่นตระหนกแล้ว หล่อนเหนื่อยจากการทำเต้าหู้จนหวาดกลัวแล้วจริง ๆ
“ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะ อย่าได้มาเรียกให้ฉันไปบดถั่วเชียว เพราะฉันทำไม่ไหวแล้ว!” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดถึงตรงนี้ก็พูดอีกว่า “อย่าหาว่าฉันบ่นเลย ฉันเชื่อแหละที่คุณบอกว่าเครื่องบดถั่วบดออกมาแล้วหยาบไม่อร่อย แต่ให้สัตว์บดด้วยลูกกลิ้งกับให้คนบดมันต่างกันตรงไหนล่ะ? คุณไม่ใช้สัตว์แต่มาใช้คนเนี่ยนะ?”
พี่สามจ้าวหัวเราะพรืด “คุณจะไปรู้อะไร! เต้าหู้ที่บดออกมาจากเครื่องบดรสชาติหนึ่ง เต้าหู้ที่บดด้วยการให้สัตว์ลากเครื่องบดออกมามีอีกรสชาติหนึ่ง เต้าหู้ที่คนบดออกมาก็เป็นอีกรสชาติหนึ่ง! คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าใช้สัตว์บดถั่วช่วยประหยัดแรงและคุ้มค่ากว่า? แต่นั่นจะเป็นรสชาติเต้าหู้ที่เจ้าสามจ้าวทำเหรอ? ไม่รู้อะไรสักอย่าง วัน ๆ รู้จักแต่บ่นฉอด ๆ!”
“ฉันจะรอดูพ่อคนเก่งแล้วกัน!” พี่สะใภ้สามจ้าวบุ้ยปาก
“คุณพูดแบบนี้ก็เตือนผมได้พอดี” พี่สามจ้าวเริ่มมีความคิดทางการค้าพลุ่งพล่านขึ้นมา “พวกเรามีเต้าหู้ที่ทำจากเครื่องจักรขายด้วย เพิ่มเต้าหู้ที่บดด้วยสัตว์ก็ได้เหมือนกันนี่นา”
“หา?” พี่สะใภ้สามจ้าวเข้าใจในทันที “คุณอยากจะทำเต้าหู้ที่ให้สัตว์บดก็ทำเองเลยนะ อย่ามาเรียกให้ฉันทำ! ปีนี้ฉันเหนื่อยจนไม่ไหวอยู่แล้ว ฉันยังอยากพักในช่วงฤดูหนาวอยู่นะ!”
พี่สามจ้าวไม่พอใจกับท่าทางเช่นนี้ของภรรยา เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญก็ปล่อยโซ่แล้ว ดูสิว่ามีผู้หญิงคนไหนไม่ทำงานยุ่งตลอดทั้งปีบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครจะเป็นจะตาย ภรรยาคนนี้เรื่องเยอะชะมัด!
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนขี้เกียจแบบนี้ไปได้? พี่สามจ้าวโกรธมาก
“ใช้ชีวิตจะว่างได้เหรอ? ทำตัวว่างการว่างงานชีวิตจะดีขึ้นได้ไหม?” พี่สามจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แบบที่คุณทำไม่ได้เรียกว่าใช้ชีวิต เขาเรียกว่าจะเอาชีวิตกันอยู่แล้ว” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว
หล่อนพอจะจินตนาการออก หากตกปากรับคำ ตลอดฤดูหนาวนี้หล่อนคงต้องตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่างทุกวัน ทั้งยังต้องลากสัตว์ใช้ลูกกลิ้งบดถั่ว ต่อให้ใช้สัตว์เป็นตัวบดก็ต้องเดินตามหลังเพื่อเก็บถั่วอย่างไม่หยุดอยู่ดี หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้จบแค่นี้ กลับมาก็ยังต้องจัดการกับส่วนที่เหลืออีก ทำเต้าหู้เป็นงานที่เหนื่อยสุด ๆ เลย ยังมีอีกนะ อย่าลืมสิว่าหนึ่งวันยังมีอาหารมีสามมื้อ นี่ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่ตลอดทั้งฤดูหนาวเลย!
พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ต้องลงนาทำสวน สวรรค์ แค่คิดก็กลัวแล้ว
“คุณคิดหาวิธีเองก็แล้วกัน ไม่ต้องมาหาฉัน ฉันยอมใช้ชีวิตลำบากดีกว่าจะทำงานนี้!” พี่สะใภ้สามจ้าวเน้นย้ำอีกครั้ง
พี่สามจ้าวอยากตบบ้องหูของภรรยาคนนี้จริง ๆ
วันรุ่งขึ้นพี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวก็มาถึงที่บ้านของเย่ฉูฉู่พร้อมกัน ยังไม่ทันได้เข้าไปในลานบ้าน ก็หันไปเห็นลานนวดข้าวเล็ก ๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตก สองสะใภ้ถึงกับถอนหายใจ ทำไมถึงได้สะอาดแบบนี้เนี่ย
พวกหล่อนไม่รู้จริง ๆ ว่าตั้งแต่เย่ฉูฉู่อยู่ที่นี่ ด้านนอกลานก็เรียบร้อยแบบนั้นตลอดอยู่แล้ว เหมือนกับตอนนั้นที่สร้างใหม่เลย
ก้านข้าวโพดถูกวางพิงไว้กับต้นไม้ที่อยู่หน้าประตูใหญ่ บนทางเดินก็ไม่มีขยะ จนกระทั่งเข้ามาด้านในลานบ้าน ผักใบเขียวที่อยู่ด้านในลานทั้งซ้ายและขวายังเขียวชอุ่ม แม้จะเหี่ยวเฉาไปบ้าง แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
“พี่สะใภ้รองพี่สะใภ้สามมาทำอะไรกันเหรอคะ!” เย่ฉูฉู่อุ้มเสี่ยวไป๋หยางออกมาต้อนรับ เธอเองก็แอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน “พวกพี่ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
พี่สะใภ้รองและพี่สะใภ้สามเห็นผักกาดขาวและต้นหอมสามสี่มัดกองอยู่ใต้หน้าต่าง ประเมินด้วยสายตาแล้ว ผักกาดขาวน่าจะมี 200-300 ชั่ง ส่วนหัวหอมก็น่าจะมีร้อยกว่าชั่ง
“ชาวนาไม่มีวันทำงานเสร็จหรอก!” พี่สะใภ้รองจ้าวมองผักกาดขาวเหล่านั้นที่แต่ละหัวมีขนาดใหญ่มาก “นี่เอามาทำเป็นผักดองสินะ?”
“เปล่า อันนี้เอามาทำเป็นผักเสบียงช่วงฤดูหนาวน่ะค่ะ ฉันเอามาตากแห้งไว้ก่อนสามสี่วัน” เย่ฉูฉู่เรียกพี่สะใภ้ทั้งสองให้เข้าบ้าน
พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ๆ ที่หน้าประตูบ้าน จึงกล่าวว่า “ไม่ต้องเข้าไปด้านในหรอก นั่งข้างนอกสักแป๊บก็ได้ มา เสี่ยวไป๋หยาง มาให้ป้าสามอุ้ม ๆ หน่อย!”
เย่ฉูฉู่พูดกับเสี่ยวไป๋หยาง “ให้ป้าสามอุ้มนะลูก?”
เสี่ยวไป๋หยางยิ้มไม่หยุด ทั้งยังผายมือเล็ก ๆ ออกไปด้วย
“เด็กคนนี้น่าเอ็นดูจริง ๆ!” พี่สะใภ้สามจ้าวชอบมาก เมื่อได้อุ้มก็รู้สึกได้ถึงร่างนุ่ม ๆ ของเจ้าตัวเล็ก ทำให้หล่อนใจอ่อนยวบเช่นกัน “น้องสะใภ้หก พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเธอทำผักดองนี่แหละ ถ้าเธอเตรียมไว้พร้อมแล้ว พวกเราจะช่วยอัดใส่โอ่งให้ ใช้เวลาไม่ถึงวันก็เสร็จแล้ว”
พี่สะใภ้รองจ้าวหยิบเก้าอี้อีกตัวมานั่ง “ใช่ เมื่อวานฉันก็เพิ่งจะดองผักเสร็จ พี่รองบอกให้ฉันมาดูว่าพวกเธอจะดองกันวันไหน”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ฉันดองเสร็จแล้วค่ะ”
“หา? ดองเสร็จแล้ว?” พี่สะใภ้รองจ้าวประหลาดใจ
“ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะ? พวกพี่สะใภ้ฝั่งบ้านเธอมาช่วยเหรอ?” พี่สะใภ้สามก็ถามด้วยความประหลาดใจ
“เปล่าค่ะ ฉันดองเอง” ระหว่างที่เย่ฉูฉู่พูดก็เดินเข้าไปหยิบแตงโม ถาดและมีดออกมา ระหว่างที่หั่นแตงโมก็พูดว่า “เสี่ยวไป๋หยางไม่ได้ขัดขวางการทำงานของฉันเลย ฉันวางเขาไว้บนรถเข็นเด็กบอกให้เขานั่งดูก็เรียบร้อยแล้ว พวกเรามีกันแค่สองคน ไม่ต้องดองให้เยอะหรอก แค่โอ่งเดียวก็พอแล้ว ฉันเพิ่งดองไปเมื่อวันก่อนนี้เอง”
“เธอแค่คนเดียว ไม่ได้ให้ใครมาช่วยเลยเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวรีบถาม
“ไม่มีค่ะ ทุกคนยุ่งกันหมด บางคนยังหักข้าวโพดไม่เสร็จเลย ฉันอยู่บ้านว่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ค่อย ๆ ทำก็ได้” เย่ฉูฉู่ลากเก้าอี้มานั่ง “มาค่ะ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม พวกพี่กินแตงโมก่อน นี่เป็นแตงโมที่ฉันปลูกไว้ในสวน อีกเดี๋ยวก่อนกลับฉันจะให้พวกพี่เอากลับไปด้วย ให้พวกเด็ก ๆ ชิมดูนะ”
“โอ๊ย น้องสะใภ้หก เธอนี่เก่งจริง ๆ! ดองผักเองได้ด้วย!” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าวชื่นชม
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ตอนที่อยู่บ้านฉันก็ช่วยแม่ดองผักทุกปีน่ะค่ะ”
“ทำคนเดียวก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี ไหนจะล้างไหนจะลวก” พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินว่าดองผักไปแล้ว จึงกินแตงโมและพูดอย่างสบาย ๆ
“ค่อย ๆ ทำ ไม่ได้รีบร้อนอะไร ก็เลยไม่เหนื่อยน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว
ในความเป็นจริงก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย เธอนำผักกาดขาวไปตากแดดให้แห้งหนึ่งวันแล้วก็ล้างออกมาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นก็จุดไฟต้มน้ำในหม้อใบใหญ่ หลังจากล้างไปหนึ่งรอบก็ลวกอีกหนึ่งรอบ ช่วงบ่ายก็ใส่ไว้ในโอ่ง ท้องฟ้ายังไม่มืดก็บรรจุเสร็จแล้ว จนกระทั่งจ้าวเหวินเทากลับมาอาหารก็ทำไว้เสร็จแล้วเช่นกัน
เธอคิดว่าคนอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาดองผักก็จะเรียกคนมาช่วย สาเหตุก็คงเป็นเพราะมีคนในครอบครัวเยอะ ต้องดองหลายโอ่ง แต่พวกเธอมีสมาชิกในบ้านน้อย ไม่ต้องทำเยอะขนาดนั้น อีกอย่างก็คงเป็นเพราะยิ่งมีคนเยอะก็จะได้พูดคุยและเกิดความครึกครื้น
เสี่ยวไป๋หยางเห็นทุกคนกำลังกินแตงโมแต่กลับไม่มีใครให้เขา จึงเกิดความร้อนใจ รีบปีนขึ้นด้านบนและกัดแตงโมที่อยู่ในมือของพี่สะใภ้สามจ้าวหนึ่งคำ
“เอ๋! เด็กคนนี้ นิสัยใจคอเหมือนเสือขนาดนี้เลยนะ!” พี่สะใภ้สามจ้าวค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะร่าออกมา
ความหมายของนิสัยใจคอเหมือนเสือก็คือแย่งอาหารเก่ง ในชนบทพ่อแม่ต่างก็หวังว่าลูกจะกินอาหารเหมือนกับลูกเสือ เพราะแบบนั้นถึงจะมีชีวิตต่อไปได้ ทั้งหมดนี้เกิดจากประสบการณ์การอดอยาก
เย่ฉูฉู่เห็นก็รู้สึกหมดคำพูดอย่างมาก เธอใช้มีดสับชิ้นเล็กมาก ๆ ออกมาหนึ่งชิ้น จากนั้นอุ้มเสี่ยวไป๋หยางไว้ในอ้อมกอดแล้วยื่นแตงโมชิ้นเล็กให้ เสี่ยวไป๋หยางจึงพึงพอใจ มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างกอดแตงโมชิ้นเล็กชิ้นนั้นไว้แน่นและกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เด็กคนนี้กินเก่งจริง ๆ!” พี่สะใภ้รองจ้าวมองเขาก็รู้สึกเอ็นดูมาก “เสี่ยวไป๋หยางยิ่งโตยิ่งดูดีนะเนี่ย?”
เสี่ยวไป๋หยางได้ยินก็เงยหน้ายิ้มให้พี่สะใภ้รองจ้าว จนดวงตากลายเป็นเส้นโค้งเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ท่าทางน่าเอ็นดูจนพี่สะใภ้รองจ้าวต้องลูบศีรษะของเขาไปสองสามที
“เด็กคนนี้ดีจริง ๆ น้องสะใภ้หก เธอเลี้ยงลูกเก่งจัง! ถึงเลี้ยงลูกได้ดีขนาดนี้!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว
พี่สะใภ้สามจ้าว “นั่นสิ มีแต่คนบอกว่าพวกวัยรุ่นเลี้ยงลูกกันไม่เป็น แต่เธอดูสิ เธอเลี้ยงเสี่ยวไป๋หยางดีขนาดไหน!”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่าได้เผลอไปลงชื่อในสัญญาทาสของสามีเชียวนะสะใภ้สาม เห็นสภาพการใช้งานหักโหมขนาดนั้นแล้วต่อให้เป็นเครื่องจักรก็พังได้อะ
ชีวิตฉูฉู่นี่ก็สบาย ๆ ไม่รีบร้อนดีจัง
ไหหม่า(海馬)