ตอนที่ 345 พูดโน้มน้าวใจ
ตอนที่ 345 พูดโน้มน้าวใจ
“หย่านมตั้งแต่อายุหนึ่งขวบกว่า ๆ ถือว่าเร็วไปหน่อยมั้ง” เย่ฉูฉู่กล่าว
ในชนบทยุคนี้โดยปกติแล้วเด็กจะกินนมจนถึงอายุสองขวบ บางคนก็กินไปถึงสามขวบ เพราะคนในชนบทยังไม่เปิดใจยอมรับนมผง แน่นอนว่าเป็นเพราะไม่มีปัญญาซื้อด้วย
“เร็วไปหน่อยนั่นแหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้” เฮ่อซงจือกล่าว “ฉันเองก็ร้อนใจมาก”
“ตอนกลางคืนเธอนอนหลับไหม?” เย่ฉูฉู่ถาม
“ไม่ค่อยหลับ ช่วงค่ำฉันนอนไม่หลับเป็นปกติอยู่แล้ว เวลานอนก็ฝันด้วย ฝันหลายเรื่องเลย บางครั้งก็สะดุ้งตื่น” เฮ่อซงจือดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ครึ่งปีก่อนยังไม่ได้เป็นแบบนี้เลย แต่ครึ่งปีหลังกลับเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“เป็นเพราะเธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า?” เย่ฉูฉู่ครุ่นคิดพลางกล่าว “ก็เลยทำให้นอนไม่หลับ?”
เฮ่อซงจือพยักหน้า “ฉันเองก็คิดมากไปหน่อยนั่นแหละ ฉันแค่ ฉันแค่ร้อนใจ ฉันก็บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แค่รู้สึกไม่สบายใจ ไม่มีความสุข”
“พวกเธอทะเลาะกันเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถามหยั่งเชิง
“เปล่า” เฮ่อซงจือตอบ “อันที่จริงหลังจากฉันแต่งงานเข้ามา ก็ไม่ได้ทะเลาะกันเท่าไรหรอก เธอคงไม่รู้ บ้านพวกเขามีเรื่องอะไรก็เก็บไว้หมด ไม่เหมือนกับบ้านอื่นที่ทะเลาะกันยกใหญ่ ทะเลาะกันเสร็จก็จบ ๆ กันไป แต่บ้านพวกเขากลับไม่ใช่ มีอะไรก็เก็บไว้”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่เธอคิดเองมากกว่ามั้ง”
“ใช่ ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมรับหรอก” เฮ่อซงจือกล่าว “ตอนที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านฉันเองก็ไม่เข้าใจหรอก แต่หลังจากมีลูกแล้ว ถึงค่อย ๆ รู้สึก เธอว่าการที่ครอบใหญ่อยู่ด้วยกัน มีเหรอที่จะไม่เกิดการปะทะกัน แต่บ้านของพวกเขาไม่มีเลย ถึงจะมีก็ไม่พูดออกมา ฉันรู้สึกได้เลยว่าเป็นเรื่องจอมปลอม!”
เย่ฉูฉู่กล่าว “ก็จริง ครอบครัวอยู่ด้วยกันก็ต้องมีเรื่องเยอะอยู่แล้ว ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันก็เป็นแบบนี้แหละ ดังนั้นเหวินเทาถึงได้แยกบ้านย้ายออกมา จริงสิ บ้านของเธอก็กำลังสร้างอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
บ้านของเฮ่อซงจือเริ่มสร้างหลังจากการเสร็จการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าตอนนี้จะสร้างได้แค่คานบ้าน แต่คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการตกแต่งอะไร ติดตั้งประตู หน้าต่าง เตาและเตียงเตาก็อยู่ได้แล้ว ส่วนอย่างอื่นค่อย ๆ จัดระเบียบก็ได้
เฮ่อซงจือเอนตัวนอนอย่างเกียจคร้าน “ตอนที่ยังไม่สร้างบ้านฉันก็อยากเป็นเหมือนกับเธอ อยากสร้างบ้านแบบเธอ จัดระเบียบให้ดี ๆ สักหน่อย แต่ตอนนี้พอสร้างบ้านขึ้นมาแล้ว ฉันกลับไม่มีอารมณ์นั้นแล้ว แค่ฉันคิดว่าต้องเลี้ยงลูกเอง ไปทำนาทำสวน แถมยังต้องทำอาหารเลี้ยงสัตว์เลี้ยงพวกนั้น ฉันก็รู้สึกหมดความสนใจแล้ว”
เย่ฉูฉู่เห็นท่าทางของเธอ จู่ ๆ ก็นึกถึงภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่โจวหมิ่นเคยพูดถึงตอนคุยโทรศัพท์ ไม่ใช่ว่าเฮ่อซงจือเป็นโรคนี้หรอกนะ!
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นกังวล โจวหมิ่นบอกว่า โรคนี้รักษาได้ยาก ร้ายแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่
“เธออย่าคิดแบบนี้สิ ถึงเวลานั้นถ้าเธอต้องไปทำนาทำสวน ก็เอาลูกมาให้ฉันดูให้ก็ได้” เย่ฉูฉู่กล่าว “บ้านเธออยู่ห่างจากฉันไม่ไกล เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ตอนเที่ยงถ้าเธออยากจะรับกลับไปก็มารับไป ถ้าไม่อยากรับก็ค่อยมารับตอนค่ำก็ได้”
เฮ่อซงจือเริ่มเกิดความกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย “แต่ว่าฉูฉู่ เธอยังต้องดูเสี่ยวไป๋หยางอีกนะ?”
“ฉันอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรต้องทำอยู่แล้ว ดูแลเด็กเพิ่มอีกคนก็ยังไหว”
เฮ่อซงจือพูดด้วยความซึ้งใจ “ฉูฉู่ เธอดีจริง ๆ!”
เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่ “เธอเอาแต่มาบ่นให้ฉันฟังทุกวี่ทุกวัน ไม่ใช่เพราะอยากให้ฉันเลี้ยงลูกให้เหรอ?”
เฮ่อซงจือหัวเราะ “เปล่า ๆ เป็นเพราะฉันไม่มีความสุขก็เลยพูดให้ฟังเฉย ๆ!”
เย่ฉูฉู่กล่าว “เธออย่าคิดให้มากขนาดนั้นเลย ใช้ชีวิตจะคิดให้มากมายขนาดนั้นไปทำไม ถ้าว่าง ๆ ก็คิดเรื่องกินเรื่องดื่มให้มากหน่อย ต่อให้ที่ดินที่แบ่งออกมาสำหรับสามคนจะไม่มาก เธอก็ปลูกพืชผลที่ปลูกง่าย ๆ สักหน่อย จ้าวเหวินจื้อไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องทำงานในส่วนผู้ชายอยู่ดี ส่วนเธอ ถอนวัชพืชอะไรพวกนั้น ก็ไม่ได้เปลืองแรงอะไรมากมาย มีอะไรให้เป็นกังวลใจ? อันที่จริงพอแยกบ้านกันแล้ว พวกเธอก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อสามีแม่สามีของเธอก็ยังเป็นปู่และย่าของลูกเธอ เธอเอาลูกไปหาแม่สามีของเธอมีเหรอที่อีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ต้องการ?”
“แม่สามีฉันไม่พูดหรอกว่าไม่ต้องการ แต่ลับหลังก็คงพูดว่าฉันหนีท่านไม่พ้น คงพูดว่าอายุมากขนาดนั้นแล้วยังต้องมาเลี้ยงลูกให้ฉัน บลา ๆ!” เฮ่อซงจือบ่น “ฉันได้ยินมาตั้งหลายครั้งแล้ว! แบบนั้นเรียกว่าเลี้ยงลูกให้ฉันเหรอ นั่นเป็นลูกของตระกูลจ้าวของพวกเขานะ!”
เย่ฉูฉู่หมดคำพูด “เธอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ นั่นเป็นลูกของเธอกับจ้าวเหวินจื้อต่างหากล่ะ อีกอย่าง คนแก่ก็พูดไปงั้นแหละ เธอทำเป็นไม่ได้ยินก็สิ้นเรื่อง คนแก่ ๆ ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ถึงชอบพูดอะไรแบบนี้ แต่แม่สามีเธอไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก”
“แม่สามีเธอไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” เฮ่อซงจือกล่าว
“แม่สามีของฉันดีมากเลย แต่แม่สามีของเธอก็ไม่ได้แย่นะ เธอดูสิ เธอได้มานั่งอยู่กับฉันนานขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะแม่สามีช่วยดูลูกให้ แค่นี้ก็ดีแล้ว ต่อให้บ่นเธอสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ” เย่ฉูฉู่กล่าว
เฮ่อซงจือมองเย่ฉูฉู่ด้วยความขุ่นเคือง “ฉันหวังจริง ๆ ว่าฉันในตอนนี้จะเป็นเธอ ที่ได้พูดคำพูดพวกนี้”
เย่ฉูฉู่ผลักเธอออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอพูดมาตรง ๆ เลยก็ได้นะว่าฉันเอาแต่ยืนพูดปาว ๆ ไม่ปวดหลังบ้างหรือไง!”
เฮ่อซงจือยิ้ม “ไม่เหมือนกันหรอก ฉันเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันอิจฉาเธอมากจริง ๆ นะ ฉันอยากมีชีวิตแบบเธอมากเลย”
“เธอทำได้น่า รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้า บ้านของเธอสร้างเสร็จก็จัดระเบียบสักหน่อย ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันหรอก อย่าลืมสิ เหวินจื้อของเธอเป็นข้าราชการนะ มีเงินเดือนทุกเดือนเลยด้วย!” เย่ฉูฉู่ให้กำลังใจ
เฮ่อซงจือกล่าว “ข้าราชการอะไรล่ะ เขาเป็นคุณครูเอกชนต่างหากล่ะ เขาเป็นข้าราชการแต่ก็เป็นครูเอกชน แต่ละเดือนได้เงินมายี่สิบกว่าหยวน ยังไม่คุ้มเท่ากับเลี้ยงกระต่ายเลย”
“เธออย่าพูดแบบนี้สิ ครูเป็นอาชีพที่ดีมากเลยนะ เป็นครูสอนหนังสือเชียวนะ เป็นคนมีความรู้ ไม่เหมือนกับการเลี้ยงกระต่ายสักหน่อย” เย่ฉูฉู่กล่าว “การเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ครูยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ทำงานเอกชน ต้องมีสักวันที่ได้ย้ายไปเป็นข้าราชการ อีกอย่าง เงินยี่สิบกว่าหยวนก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ”
เฮ่อซงจือพยักหน้า “ฉันรู้ อันที่จริงชีวิตของครอบครัวฉันก็ถือว่าใช้ได้แล้วแหละ ฉันแต่งงานเข้ามาก็ไม่ได้ถูกรังแกอะไร ได้กินได้ดื่มไม่เคยขาด เหวินจื้อก็ดีกับฉันด้วย เทียบกับคนในหมู่บ้านเราที่ชอบด่าชอบทุบตีเมีย ฉันก็ถือว่าไม่เลวแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
“เธอหล่นลงมาในรังแห่งโชคแล้วล่ะ!” เย่ฉูฉู่กล่าว “พอใจในสิ่งที่มีเถอะ!”
เฮ่อซงจือยิ้ม “ฉูฉู่ ต้องขอบคุณเธอมากเลยนะ ถ้าไม่มีเธอสักคน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร!”
“ไม่มีฉันก็ยังมีคนอื่น” เย่ฉูฉู่กล่าว “ครั้งหน้าถ้ามาก็อุ้มลูกมาด้วยนะ เอามาเล่นกับเสี่ยวไป๋หยาง”
“ได้สิ” เฮ่อซงจือกล่าว
เฮ่อซงจือนั่งคุยอีกครู่หนึ่งก็กลับไป ตอนบ่ายก็กลับมากินข้าวที่บ้าน จึงพูดให้จ้าวเหวินจื้อฟังว่าถ้าแยกบ้านแล้ว ตอนที่เธอไปทำไร่ทำสวนก็จะส่งลูกไปให้เย่ฉูฉู่ช่วยเลี้ยง คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเหวินจื้อกลับพูดว่า “อย่าไปรบกวนคนอื่นเลย ถึงเวลานั้นผมจะคุยกับแม่ให้เอง บอกให้แม่ช่วยเลี้ยงให้อีกสักปี รออายุครบสองขวบผมจะพาลูกไปเข้าเรียน”
“หา? โรงเรียนให้พาไปได้เหรอ?” เฮ่อซงจือประหลาดใจ
“ผมสอนชั้นป. 1 พาลูกตัวเองไปเข้าเรียนทำไมจะไม่ได้ล่ะ ระหว่างนั้นจะได้สอนหนังสือลูกสาวตัวเองด้วย ลูกสาวยิ่งต้องเรียนหนังสือให้ดี ๆ!” จ้าวเหวินจื้อพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก
เรื่องนี้ของจ้าวเหวินจื้อเป็นสิ่งที่เฮ่อซงจือชอบมากที่สุด เพราะหล่อนเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่ของหล่อนยืนกรานไม่ยอมให้หล่อนเรียนหนังสือต่อหลังจากจบชั้นอนุบาล บอกว่าลูกสาวเรียนหนังสือไปก็เปล่าประโยชน์! ตอนนั้นหล่อนเรียนหนังสือเก่งมาก จนกระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังเคืองพ่อกับแม่มาก ลูกสาวของหล่อนต้องได้เรียนหนังสือต่อไปเรื่อย ๆ!
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาการซึมเศร้าหลังคลอดนี่น่ากลัวมากนะคะ คนรอบข้างต้องดูแลให้ดี ๆ เลย
เสียดายที่เฮ่อซงจือไม่ได้เรียนหนังสือต่อเพราะเป็นลูกสาวจังค่ะ
ไหหม่า(海馬)