เขตชานเมืองจื่อตู แคว้นจื่อเยี่ย
— ตุบ! —
ร่างร่างหนึ่ง ถูกโยนลงในหลุมศพไร้ญาตินอกเมือง ราวกับผ้ากระสอบที่ขาดวิ่น
กา…
เสียงกู่ร้องอันน่าสยดสยองของอีกากินศพดังขึ้น ก่อนที่พวกมันจะกระพือปีกพากันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ขนสีดำของมันพลิ้วไหวร่วงหล่นอยู่กลางอากาศ
ซากศพและโครงกระดูกที่กองทับถมกันเป็นพะเนินส่งกลิ่นเน่าเหม็นกระจายอยู่ในอากาศ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกชวนวังเวงยิ่งนัก
เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่อันสูงส่งแท้ๆ ดันถูกเอาศพมาทิ้งในหลุมศพไร้ญาติ ช่างน่าสมเพชเสียจริง
ใช่แล้ว… สตรีที่เป็นแค่ขยะไร้ค่าต่ำช้า กล้าเพ้อฝันถึงองค์ชายเจ็ด ตายไปก็สมควรแล้ว!
แต่ข้าเสียดายนี่นา! ไม่คิดว่าผู้นำตระกูลมู่จะเป็นหญิงงามเพียงนี้…
ไม่ทันที่คนเหล่านั้นจะพูดจบ หลุมศพไร้ญาติที่เดิมเงียบเชียบจนน่าขนลุก จู่ ๆ ก็พลันมีเสียงดังแว่วมา คล้ายกับอะไรบางอย่างกำลังจะตื่นขึ้น…
…
กลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนปลุกให้มู่เฉียนซีตื่นจากอาการสะลึมสะลือ ทันทีที่นางลืมตาขึ้น ก็พลันเห็นสัตว์ร้ายคล้ายสุนัขหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่าหมาป่าขนาดปกติถึงสามเท่ากำลังยืนน้ำลายไหลอยู่เบื้องหน้า นางไม่คิดอะไรให้มากเรื่อง ลงมือโจมตีทันทีด้วยสัญชาตญาณ มือขวาจู่โจมอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาอำมหิตสายหนึ่ง พุงตรงเข้าสู่ลำคอของสุนัขดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และโหดเหี้ยม
— อั่ก! —
หมาป่าตัวนั้นล้มลงบนพื้น พร้อมส่งเสียงร้อง เอ๋ง… เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป…
…
หลังจากทิ้งสุนัขไว้เพื่อทำลายศพแล้ว ทั้งสามคนก็กำลังจะเดินจากไปทว่าเมื่อได้ยินเสียงนั้น พวกเขาก็หันหน้ากลับไปมอง และได้ปะทะเข้ากับแววตามืดมนคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างดุร้าย
ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ทั้งเยือกเย็นและน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าธาตุหยินในหลุมศพนี่เสียอีก คนที่สิ้นลมไปแล้วอย่างแน่แท้ แต่ยามนี้กลับยืนตระหง่านอยู่บนกองกระดูกและซากศพ สายตาจับจ้องมายังจุดที่พวกเขาอยู่
ผีหลอก!
ทั้งสามร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว คิดจะก้าวเท้าเผ่นหนีแต่มู่เฉียนซีก็เอ่ยปากขึ้นเสียก่อน
หยุด! เสียงนั้นเย็นชาราวกับดังออกมาจากขุมนรกก็มิปาน ทั้งสามคนหวาดผวาเสียจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนอีกแม้เพียงก้าวเดียว
อย่าฆ่าข้าเลย อย่ากินข้าเลย พวกข้าแค่รับเงินมา แล้วก็ทำงานเท่านั้นเอง
มู่เฉียนซีค่อยๆ ก้าวลงมาจากภูเขาซากศพขนาดย่อม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกาย ราวกับพึ่งปีนขึ้นมาจากแดนนรกก็ไม่ปาน นางไม่ได้สนใจคนทั้งสามอีก แต่กลับกวาดสายตาสังเกตดูรอบด้านแทน
‘ที่นี่ที่ไหน..? เรากำลังคิดค้นยาตัวใหม่อยู่ในห้องปรุงยาไม่ใช่หรือ ?’
อา! ทันใดนั้น หัวก็เริ่มปวดตุบ ความทรงจำทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ พากันหลั่งไหลเข้าสู่สมองของนาง ราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก มู่เฉียนซี ผู้นำตระกูลมู่! ตระกูลมู่ ตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ย ตระกูลมู่ร่ำรวยมหาศาล มีทั้งเงินและทองกองเป็นภูเขา ทว่าผู้นำตระกูลกลับเป็นขยะไร้ค่า ขาดความสามารถ
ในโลกนี้ ‘ผู้ที่แข็งแกร่ง’ เท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ ผู้แข็งแกร่งนั้นแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองจำพวก คือ ผู้ฝึกวรยุทธ์ และผู้บำเพ็ญตบะ
มู่เฉียนซีนั้นไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ ยิ่งเป็นการบำเพ็ญตบะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางคือคนไร้ค่าอย่างแท้จริง
เป็นคนไร้ค่าก็ว่าแย่แล้ว การแต่งกายกลับแย่ยิ่งกว่า บนร่างกายของนางแทบจะยกเครื่องเงินเครื่องทองหยกงามทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้าน มาประดับบนตัวเสียจนเหมือนนางเอกโรงงิ้ว
เดินไปทางใดผู้คนล้วนต่างพากันหัวเราะเยาะ ทั้งเหยียดหยามทั้งขบขัน ทว่าเรื่องในวันนี้กลับยิ่งตอกย้ำความย่ำแย่ที่เป็นอยู่ให้เลวร้ายลงไปอีก!
เมื่อนางไปยื้อยุดแย่งชิง ‘หยกประจำกายคู่หมั้นขององค์ชายเจ็ด’ กับผู้เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโอวหยางนามโอวหยางเหว่ย สุดท้ายก็ถูกคุณหนูใหญ่ผู้นั้นทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณจนสิ้นใจและนำศพมาทิ้งในสุสานศพไร้ญาติแห่งนี้
ชายสามคนนี้รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้เอาศพมาทิ้ง แต่ไม่เพียงทิ้งเปล่ายังมีคนออกเงินจ้างให้พวกเขาพาสุนัขดุร้ายมาด้วยตัวหนึ่งมาเพื่อฉีกทึ้งร่างไร้วิญญาณของมู่เฉียนซีหวังให้นางสิ้นซากสิ้นกระดูก
…
หญิงสาวผู้กำลังเยื้องย่างจากกองศพดูราวกับวิญญาณร้ายที่คืนชีพ ชายสามคนจึงรีบคุกเข่าลงแล้วร้องขอชีวิตทันที
ท่านผู้นำตระกูลมู่ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นคุณหนูที่สั่งให้พวกเราทำ หมาป่าตัวนี้ก็เป็นคุณหนูรองตระกูลมู่ให้มาขอรับ
แท้จริงแล้วในตระกูลมู่มีเพียงมู่เฉียนซีผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีคุณหนูใหญ่คุณหนูรองอะไรทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากมู่หรูอวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำตระกูลมู่ผู้อ่อนแอยังหลับหูหลับตาเชื่อฟังนางไปเสียทุกเรื่องทำให้ใครต่อใครต่างพากันเรียกขานมู่หรูอวิ๋นว่าคุณหนูรองแห่งตระกูลมู่
ในยามปกติคุณหนูรองนั้นจิตใจดีมีเมตตา คอยใส่ใจดูแลห่วงใยผู้อื่นเสมอ ไม่คิดว่ายามใจดำอำมหิตขึ้นมา นางจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าโอวหยางเหว่ยคุณหนูใหญ่แห่งจวนโอวหยาง สตรีผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนางอสรพิษแห่งเมืองจื่อตูเสียอีก
เสียงอ้อนวอนจากปากชายสามคนตรงหน้าไม่ทำให้มู่เฉียนซีนึกสงสารแม้แต่น้อย นางมาดหมายในใจว่าผู้บงการของพวกเขานั้นต้องถูกนางจัดการอย่างสาสม และแน่นอนว่านางก็ไม่คิดจะปล่อยคนพวกนี้ไปด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีกระโดดวูบ… รวดเร็วราวกับภูตผี ฝ่ามือโจมตีไปที่ลำคอของชายผู้นั้น
อ๊าก~ อ๊าก~ อ๊าก~ เสียงโหยหวนสามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
— ตุบ! ตุบ! ตุบ! —
ร่างทั้งสามกระเด็นกระดอนราวลูกหนัง ก่อนจะลงถึงพื้นพวกเขาก็สิ้นใจไปเรียบร้อยแล้ว
ฝีมือโหดเหี้ยมดุจปีศาจร้าย เพียงกระบวนท่าเดียวก็ส่งพวกเขาไปเที่ยวแดนปรโลกเสียแล้ว
ติ๋ง…
เพราะมู่เฉียนซีลงมือหนักเกินไป บาดแผลบนร่างกายจึงฉีกกว้างขึ้น เลือดสดไหลรินเป็นสายก่อนจะหยดลงสู่พื้น
ภายใต้กองกระดูกขาวโพลนในสุสานศพไร้ญาตินั้น มีแผ่นศิลาสีเขียวเข้มหลบซ่อนอยู่ มันถูกทับถมกลมกลืนไปกับกองกระดูกในยามราตรี และบัดนี้ศิลาประหลาดกำลังดูดกลืนหยดเลือดที่ไหลลงมาใส่อย่างละโมบ
ฉับพลัน แสงสีเขียวจางก็พันรอบร่างของมู่เฉียนซี และพานางหายไปจากตรงนั้นทันที
เมื่อมู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ศาลาเล็ก ๆ แห่งนี้สวยงามแปลกตา สีเขียวเทาที่ทาบทาอยู่นั้นยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลี้ลับอย่างประหลาด
บริเวณโดยรอบเป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ที่แห่งนี้จึงเปรียบดั่งเกาะกลางมหาสมุทรอันโดดเดี่ยว
ที่นี่ที่ไหนกัน ? มู่เฉียนซีพึมพำ
เวลานี้เองที่นางรับรู้ได้ถึงปลาที่กำลังว่ายวนอยู่ในทะเลสาบ
ซ่า…
เสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้น มู่เฉียนซีรีบหันไปมองทันที ก่อนจะพบภาพงดงามตรึงตา …ณ ที่แห่งนั้นชายหนุ่มรูปงามดั่งภูตวารี กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบใสอย่างเพลิดเพลิน ท่วงท่าลีลาของเขาดูสำราญใจราวมัจฉาเริงนที