— อึก! —
ทหารคุ้มกันที่หัวเราะอยู่เมื่อครู่ จู่ ๆ ก็พากันกระอักเลือดและล้มลงไปกับพื้นทีละคน ทหารกว่าสิบนายสิ้นใจตายไปในชั่วพริบตา
ซวนหยวนหลี่เทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที ส่วนองครักษ์ที่เหลือต่างกรูเข้ามายืนคุ้มกันเขาอยู่เบื้องหน้าเพื่อไม่ให้มู่เฉียนซีสังหารนายของตน ฉับพลันนั้นเองความเงียบงันก็เข้าปกคลุมพื้นที่ลานประลอง แม้แต่เสียงเข็มหล่นสักเล่มก็ยังได้ยินชัด
— ครืด! … ครืด! … —
เสียงล้อเลื่อนของอะไรบางอย่างเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นร่างสีขาวร่างหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวสู่สายตามู่เฉียนซี เจ้าของร่างสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดดุจดั่งหิมะ ใบหน้าหล่อเหลานั้นงดงามประหนึ่งหยกสลัก ผมดำขลับเกล้าไว้อย่างเรียบง่ายด้วยปิ่นหยกสีขาว ปลายผมที่ถูกปล่อยสยายลงมาก็พลิ้วไหวดั่งม่านน้ำตก
บุรุษผู้งดงามถึงเพียงนี้ ทว่ากลับนั่งอยู่บนรถเข็น
บุรุษชุดขาวเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ หันมาทางมู่เฉียนซี หญิงสาวมองเห็นดวงตาที่อยู่ภายใต้แพขนตาหนาคู่นั้น เป็นดวงตาอันแสนคุ้นเคยที่ไม่มีแม้แต่ประกายใด ๆ
ท่านอา!
มู่เฉียนซีเรียกขานคำนี้ออกมาอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ เสียงเรียกนี้มิใช่ความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิม แต่มันกลั่นออกมาจากใจของนางเอง
ทั่วทั้งใต้หล้า บุรุษเพศที่อยู่ในสายตาของ ‘มู่เฉียนซีคนเดิม’ มีเพียงซวนหยวนหลี่เทียนเท่านั้น ส่วนท่านอาของตนที่สองขามิอาจเดินเหินได้ ดวงตามิอาจมองเห็นผู้นี้ นางกลับพยายามหลบหลีกราวกับหนีอสรพิษ
แม้ว่านางจะสามารถรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่นี้ได้ แต่ทันทีที่ท่านอาปรากฏตัว เขาก็สามารถจัดการกับคนของหลี่อ๋องได้อย่างราบคาบในชั่วพริบตา การกระทำนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องนางจากใจจริงแท้
หลี่อ๋องลงมือทำร้ายผู้นำตระกูล คนทั้งตระกูลมู่ก็รู้เห็นอยู่เต็มตา แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ทว่าเมื่อบุรุษน่าเกรงขามผู้นี้ปรากฏตัวเขาก็ช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเล หากจะกล่าวว่ายังมีผู้ใดในตระกูลมู่ที่ยังคอยห่วงใยนาง ก็คงจะมีเพียงท่านอาผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีเอ่ยเรียก ‘มู่อวู่ซวง’ ก็ยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนจะตอบกลับไป
ว่าไง… ซีเอ๋อร์เด็กดี
ผู้อาวุโสสามแห่งสกุลมู่ คุณชายอวู่ซวง!
หลี่อ๋องอุทานด้วยความตกใจ สำหรับ ‘มู่อวู่ซวง’ ผู้นี้ หลี่อ๋องยังคงหวั่นเกรงเขาอยู่มากนัก …‘แม้คุณชายอวู่ซวงจะพิการตาบอด แต่เขากลับครอบครองพลังขั้นสูงสุดของราชายอดยุทธ์ระดับเก้า จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นจื่อเยี่ย’…
หลี่อ๋อง ท่านมีคำอธิบายให้ข้าใช่หรือไม่ ?
มู่อวู่ซวงผู้ทักทายมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน แต่ทันทีที่หันไปมองซวนหยวนหลี่เทียน ท่าทีของเขาก็เหลือเพียงความเย็นชาเท่านั้น
เวลานี้คนในตระกูลมู่ที่พากันหายหน้าเสมือนไม่ต้องการรู้เห็นชะตากรรมของผู้นำตระกูล พากันรีบเดินกลับมายังลานประลองในทันที อีกทั้งยังมิวายเอ่ยปากสรรเสริญพร้อมแสดงความเคารพต่อมู่หวู่ซวงอย่างหวั่นเกรง
นายท่านสาม…
นายท่านสาม มาแล้วหรือ
มู่อวู่ซวงแม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขั้นราชายอดยุทธ์ระดับเก้า แต่ด้วยร่างกายที่พิการและดวงตาสองข้างบอดสนิทจึงไม่อาจรั้งตำแหน่งผู้นำตระกูลมู่ได้ ส่งผลให้ผู้ได้รับตำแหน่งนั้นคือหลานสาวของเขาแทน
หลังจากให้มู่เฉียนซีขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแล้ว เขาก็ไม่สนใจเรื่องราวน้อยใหญ่ภายในตระกูลอีกเลย ทำเพียงแต่พักผ่อน ตั้งใจรักษาร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น
ทว่ากำลังความสามารถอันมหาศาลของมู่อวู่ซวงก็เป็นที่ร่ำลือไปทั่วแคว้น ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่ไม่เกรงกลัวเขา
เมื่อเห็นว่าคนในตระกูลมู่กลับมาอยู่ในสนามประลองจนครบ ซวนหยวนหลี่เทียนก็โล่งอก… ‘มีคนพวกนี้อยู่ มู่อวู่ซวงคงจะไม่ลงมือฆ่าเขาโดยคิดไม่เกรงใจเป็นแน่’
ซวนหยวนหลี่เทียนรีบเอ่ยทักทายราชายอดยุทธ์ระดับเก้าด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
ผู้อาวุโสมู่… ทันทีที่ข้ารู้ข่าวการตายของซีเอ๋อร์ก็รีบมาเพื่อมอบของแสดงความอาลัย แต่ไม่คิดว่าซีเอ๋อร์จะยังไม่ตาย เมื่อก่อนนางชอบก่อกวนไปทั่วก็จริง แต่ครั้งนี้นางถึงกับแกล้งตายหลอกลวงผู้อื่น ทำให้หลายคนต้องเป็นทุกข์… แต่อย่างไรเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปรบกวนผู้อาวุโสมู่ดูแลนางให้มาก นางจะได้ไม่ไปก่อเรื่องอีก
หลานสาวคนเล็กของข้า ต่อให้นางไปทลายฟ้าทะลวงดิน ก็ไม่ต้องหวาดหวั่นต่อผู้ใด อย่างไรนางก็ยังมีข้าอยู่
มู่เฉียนซีเผยยิ้มเยาะขณะก้าวเข้าไปยืนข้างกายมู่อวู่ซวง
ใช่แล้ว! ยังมีท่านอาอยู่ หลี่อ๋อง… ท่านก้าวก่ายมากไปแล้ว
และยังเรื่องของขวัญชิ้นใหญ่ของท่านอีก คู่หมั้นตายจากแต่ท่านมอบโลงศพให้เป็นของแทนใจ ช่างเป็นความคิดที่แปลกใหม่ดีแท้ มู่เฉียนซีกล่าวเสริม
เมื่อสัมผัสได้ว่าแรงกดดันที่มู่อวู่ซวงแผ่ออกมาเข้มข้นขึ้นเป็นเท่าทวีจนความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ซวนหยวนหลี่เทียนก็รีบพูด
หลังจากเห็นเฉียนซีกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ก็อุตส่าห์ถามไถ่ด้วยความห่วงหา แต่นางกลับลงไม้ลงมือจนทำให้อวิ๋นเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ข้อมือของอวิ๋นเอ๋อร์ยังบาดเจ็บอยู่เลย
มู่หรูอวิ๋นที่ได้ฟังก็ถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่บวมเป่งราวกับข้อศอกหมูเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ซวนหยวนหลี่เทียนพูด พร้อมเล่นบทผู้ถูกกระทำที่น่าสงสาร
ท่าทางเจ็บปวดทรมานจนแทบจะร้องไห้แต่กลับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ช่างน่าสงสารเสียจริง น่าสงสารเสียจนซวนหยวนหลี่เทียนอดที่จะเห็นใจไม่ได้
ทว่าถึงแม้มู่อวู่ซวงจะมองไม่เห็นหรือต่อให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะไม่มืดบอด แต่ความจริงเป็นเช่นไรมีหรือจะปิดบังเขาได้ มารยานั้นไม่อาจล่อลวงราชายอดยุทธ์ระดับเก้าได้ ความสงสารมู่หรูอวิ๋นไม่ปรากฏอยู่ในท่าทีของเขาแม้แต่น้อย
สมควรแล้ว!
สมควรแล้ว!
และที่น่าตะลึงก็คือทั้งมู่อวู่ซวงและมู่เฉียนซีต่างก็เอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน แม้แต่น้ำเสียงที่ใช้ก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ผู้คนโดยรอบพากันสะดุ้งมุมปากกระตุก สมแล้วที่เป็นอาหลานร่วมสายเลือด ช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน
ได้ยินดังนั้น มู่หรูอวิ๋นก็โกรธจนหน้าหม่นคล้ำ ซวนหยวนหลี่เทียนเองก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยิมยอม
ข้าปวดใจที่อวิ๋นเอ๋อร์ถูกทำร้าย จึงว่ากล่าวนางไปเล็กน้อย แต่มู่เฉียนซีกลับจิตใจอำมหิต กล้าลงมือกับข้า ทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เท่านั้นยังไม่พอ นางยังคิดจะเอาข้าโยนเข้าไปในโลงศพอีก นางคงอยากจะให้ข้าตายเป็นแน่!
มู่อวู่ซวงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยถามกลับไปเสียงเย็นชา
เป็นเช่นนั้นหรือ ?
ทั้งผู้เฒ่าใหญ่ ผู้เฒ่ารอง ผู้เฒ่าสาม รวมถึงคนสกุลมู่คนอื่น ๆ ต่างพากันพยักหน้าหงึกหงัก ช่วยยืนยันวาจาของซวนหยวนหลี่เทียน ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวเสริมกันอย่างพร้อมเพรียงอีกว่า
ข้าน้อยก็อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งที่ท่านอ๋องกล่าวมาล้วนเป็นความจริงทุกประการขอรับ
ท่านอ๋องกล่าวจริงแท้ทุกประโยค ครั้งนี้เป็นความผิดของท่านผู้นำตระกูล
…
‘ตาเฒ่าพวกนี้เห็นทีจะเปลี่ยนจากแซ่มู่ หันไปใช้แซ่ซวนหยวนกันหมดแล้ว แต่ละคนพูดจาเข้าข้างซวนหยวนหลี่เทียนจนออกนอกหน้า’
ซวนหยวนหลี่เทียนเหยียดยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อย
‘ครั้งนี้ต่อให้มู่อวู่ซวงออกโรงปกป้องนางอย่างไร เมื่อมีทั้งพยานและหลักฐานอยู่ตรงหน้า มู่อวู่ซวงย่อมมิกล้าทำอะไรเขาสุ่มสี่สุ่มห้าแน่
ส่วนมู่เฉียนซี วันนี้ก็มีแต่ต้องถูกเข้าใจผิดโดยไม่อาจแก้ตัว …คิดจะหยามศักดิ์ศรีหลี่อ๋องอย่างเขาหรือ หึ ! คนอย่างนางไม่มีทางและไม่มีวันทำได้’
เรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ? หรือเพราะคนแก่อย่างข้าตาบอดไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง เสียงชายชราที่ไม่รู้ที่มาก็ดังขึ้น…
.