Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ – ตอนที่ 1987 ข้าต่างจากเจ้า

ตอนที่ 1987 ข้าต่างจากเจ้า

เดิมทีแล้วคนที่เข้าไปนั้นมีราวห้าสิบแต่ผู้ที่ได้กลับออกมานั้นมีเพียงแค่สี่สิบ

และเหล่าผู้คนที่รอดกลับออกมานั้นล้วนต่างเป็นยอดฝีมือในกลุ่มด้วยพลังฝีมืออาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวเกือบทั้งสิ้น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคนทั้งหลายก็ยังได้รับบาดแผลกลับมาเต็มร่างด้วยสีหน้าสุดแสนเสียใจ

หากพวกเขารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายคงคิดฟังคำของเย่หยวน

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหล่ามารกระดูกอันบ้าคลั่งนั้นพวกเขาทั้งหลายก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่สันหลัง

“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”

โจวหยูนั้นร้องออกมาก่อนจะฟาดกระบองมาทางซงหยู

“ตราประทับความเป็นความตาย!”

มีหรือที่เย่หยวนจะปล่อยให้เขาได้ทำอะไรตามใจชอบ? เมื่อสะบัดมือออกมาเย่หยวนก็รับด้วยตราประทับความเป็นความตายทันที

‘ปัง!’

เย่หยวนนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยแต่ตัวโจวหยูนั้นกลับกระอักเลือดออกมาคำโต

โจวหยูนั้นตื่นตะลึงอย่างมาก ไม่ได้เจอเย่หยวนแค่สองวันแต่กำลังฝีมือของอีกฝ่ายกลับเหนือล้ำตัวเขาไปแล้วหรือ?

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียสองวันก่อนพวกเขาก็ได้ปะทะกันพร้อมผลเสมอ แต่ตอนนี้กลับเป็นตัวเขาที่ได้รับบาดเจ็บ?

แม้ว่าตัวเขาจะต้องเสียแรงในการฝ่าทัพมารกระดูกไปไม่น้อยแต่ตัวเขาก็รู้ดีว่ากระบองนี้ที่ฟาดออกไปมันไม่ได้อ่อนแอกว่ากระบองที่เขาใช้ก่อนหน้าเลย

กระบวนท่าเดิม แต่ผลกลับกลายเป็นเขาที่แพ้ เช่นนั้นมันย่อมจะหมายความว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งขึ้นเพียงเท่านั้นแล้ว!

“เหนื่อยยากมาตั้งสองวันแล้วยังจะมีหน้ามาอาละวาดอีกหรือ? หากข้าเป็นเจ้าข้าคงเอาเวลาไปนั่งพักเสียดีกว่า แม้คำพูดของซงหยูมันจะฟังไม่รื่นหูแต่มันก็ไม่มีอะไรที่ผิดพลาด ข้าเองก็เตือนเจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับยังทำการไปโดยไม่เชื่อฟังกัน ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์” เย่หยวนพูดขึ้น

คนอื่นๆ นั้นไม่กล้าที่จะพูดใดๆ ออกมาแต่ภายในใจนั้นมันก็มีความคิดไม่ต่างจากเย่หยวนเลย

โจวหยูนั้นแทบจะพ่นไฟออกมาจากปากด้วยความเดือดดาล “เจ้าปากดีจริงๆ! หลังข้าฟื้นปราณเทวะมาได้แล้วมาตัดสินกันให้รู้ดำรู้แดงไป!”

เย่หยวนตอบกลับไป “ข้าพร้อมเสมอ”

หลังจากนั้นผู้คนทั้งหลายที่รอดกลับมาได้ก็เริ่มนั่งพักฟื้นร่างกายกัน

แม้ว่าคำพูดของโจวหยูมันจะรุนแรงเพียงใดและจะไม่พอใจเย่หยวนสักเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีกำลังมากพอที่จะเทียบเคียงกับตัวเขาได้ มันย่อมจะหมายความว่าตัวเย่หยวนคือผู้ช่วยสำคัญที่จะพาเขาฝ่าทัพมารกระดูกไป

ไม่ว่าจะมีเรื่องโกรธแค้นใดกันไว้ค่อยจัดการหลังเสร็จงานก็ยังไม่สาย

และจากนั้นเป็นเวลากว่าสองเดือนที่ได้มีผู้คนเดินทางเข้ามาสมทบอีกมากมายทำให้จำนวนของพวกเขากลับมาเป็นห้าสิบคนได้ในเวลาไม่นาน

และเหล่าคนทั้งหลายที่มาช้านี้ก็ล้วนแล้วต่างเป็นผู้เปี่ยมพลังไม่มีใครสักคนที่อ่อนแอ

เพราะเหตุผลที่คนทั้งหลายนี้มาถึงช้ามันย่อมจะเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นได้เจอโชคลาภใดๆ และกำลังเสียเวลาไปกับการใช้งานสิ่งนั้นทำให้พวกเขานั้นจะมีกำลังมากกว่าพวกที่มารออย่างมาก

แต่เย่หยวนก็ยังไม่คิดจะบุกเข้าไปจนเวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าสองเดือนในที่สุดผู้คนทั้งหลายที่มารวมตัวกันนั้นมันก็มีจำนวนมากกว่าเจ็ดสิบคน และในวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนลุกขึ้นยืน

“ข้าจะบุกเข้าท้าทายทัพมารกระดูกแล้ว มีใครอยากไปกับข้าหรือไม่?” เย่หยวนบอก

โจวหยูนั้นย่อมไม่คิดจะขยับและนั่งยิ้มตอบกลับไป “หึ คนที่ห้ามไม่ให้เข้าไปก็คือเจ้า ตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกแค่ไม่กี่สิบเจ้าก็คิดจะบุกเข้าไปในทัพมารกระดูกแล้วหรือ?”

เย่หยวนหันมามอง “ข้าต่างจากเจ้า”

โจวหยูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะถามขึ้น “เราต่างกันอย่างไรเล่า? เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจเหนือล้ำข้าจริงหรือ? ทุกคนอย่าได้ไปฟังมัน อย่างมากมันก็แค่ฝีมือพอๆ กับข้า หากข้าฝ่าไปไม่ได้มีหรือที่มันจะทำได้?”

คนทั้งหลายที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่หันมองหน้ากันอย่างไม่อาจตัดสินใจ

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียคนทั้งหลายนี้ก็เพิ่งจะพบเจอความน่ากลัวของมารกระดูกอย่างถ่องแท้มาเมื่อสองเดือนก่อน

เมื่อได้เห็นสีหน้าของคนทั้งหลายนั้นโจวหยูก็ยิ้มขึ้นมา

‘ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป!’

เย่หยวนพูดขึ้น “การฝ่าทัพมารกระดูกนี้เข้าไปกลุ่มของพวกเราจะเป็นคนนำ พวกเจ้าทั้งหลายจงตามมาและช่วยเหลือจากด้านหลัง”

เมื่อเขากล่าวขึ้นมาเช่นนั้นคนทั้งหลายก็แตกตื่นไปตามๆ กัน

เพราะตอนที่โจวหยูพาพวกเขาเข้าไปด้านในทัพมารกระดูก โจวหยูนั้นจะใช้ให้ผู้คนออกไปเป็นด้านหน้าในการฝ่าเข้าไป

แม้ว่าตัวเขานั้นจะมีกำลังมากที่สุดแต่ตัวเขากลับไม่คิดที่จะใช้มันออกมาอย่างมากมาย

เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาที่ตายลงไปทั้งหลายนั้นเองส่วนมากก็จะเป็นคนที่อยู่ทางแนวหน้าทั้งสิ้น

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นจะต้องรับการโจมตีหนักที่สุด

แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับอาสาขึ้นเป็นแนวหน้าหัวหอกบุกทะลวง มันย่อมจะหมายความว่าเขานั้นจะรับมือมารกระดูกมากที่สุดและยังจะรับมือกับมารกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดให้ด้วย

“เจ้าเด็กคนนี้มันใจกว้างขนาดนั้น?”

“ตัวเขานั้นก็มีพลังฝีมือที่ไม่เลว มีหรือที่จะยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นอันตรายเช่นนั้น?”

“นี่มัน… คงมิใช่แผนร้ายใดหรอกใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หยวนคนทั้งหลายนั้นก็ย่อมจะยังไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที

เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเสีย เรื่องราวเช่นนี้มันก็ย่อมจะไม่มีนักยุทธ์ผู้ใดทำ

ตัวเย่หยวนเองก็มิใช่พ่อพระมาจากไหนที่จะรับเรื่องอันตรายไว้ด้วยตัวเองทั้งสิ้นเช่นนี้

เพียงแค่ว่าหากเขาไม่นำแล้วไม่ว่าจะมีกำลังมากมายเพียงใดมันก็ไม่มีทางจะฝ่าไปได้แน่

เรื่องนี้เขาได้คิดถึงมันมานานแล้ว

เพราะยิ่งเข้าไปลึกเหล่ามารกระดูกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

ต่อให้ปราณเทวะของเขาจะหนาแน่นเพียงใด เขาก็ไม่อาจจะรับมือกับการใช้ปราณเทวะในระดับนั้นได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมารกระดูกมันก็มีจำนวนที่มากเหลือล้น

หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ตัวเขาคงพุ่งเข้าไปเอากระดูกมาด้วยตัวเองแล้ว

ที่ด้านข้างทางเฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินก็เบิกตากว้าง “พี่เย่ ข้าไปด้วย!”

เย่หยวนพยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไร

“จะยังวางท่าเพื่อ? เจ้าจะจิตใจดีขนาดนั้น? นี่มันคงมิใช่ว่าวางแผนร้ายคิดจะล่อทุกผู้คนเข้าไปติดกับหรอกใช่ไหม?” โจวหยูยิ้มเยาะขึ้น

ซงหยูที่ได้ยินจึงตอบกลับไปแทน “พี่เย่นั้นเคยฝ่าทัพมารกระดูกออกมาจากระยะหมื่นเมตรด้วยตัวคนเดียว หากแค่ทัพกระดูกทั้งหลายนี้เขายังไม่อาจจัดการได้มันก็ย่อมจะไม่มีใครทำได้แล้ว!”

คำพูดเดียวนี้มันทำให้ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่!

“ห๊ะ? คนเดียว? จากระยะหมื่นเมตร?”

“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้น่า!”

“ต่อให้จะเป็นเทพถ่องแท้ห้าดาวก็คงไม่อาจรอดจากวงล้อมที่หนักหน่วงนั้นได้แน่”

แน่นอนว่าความคิดแรกหลังได้ยินมันย่อมจะเป็นความไม่เชื่อ

แม้ว่าเทพถ่องแท้ห้าดาวนั้นมันจะเก่งกาจแต่พวกเขาเองก็คงไม่อาจต้านทานพลังของเทพถ่องแท้สี่ดาวอันมากมายเช่นนั้นได้

“พวกเจ้าอย่าได้สงสัย เรื่องนี้ข้าเห็นมากับตา! พี่เย่นั้นฝ่าทัพมารกระดูกออกมาจริงๆ หากพลาดโอกาสนี้ไปคงไม่มีใครจะได้กระดูกจักรพรรดิมาครองแน่” เฟิงเสี่ยวเถียนบอกขึ้น

ในตอนนี้คนจากกลุ่มของเฟิงเสี่ยวเถียนนั้นตายไปสิ้นแล้วเหลือเพียงแค่ตัวเขา แม่ทัพที่ไร้ทหารผู้นี้

หากคิดอยากได้กระดูกจักรพรรดิมาทางเดียวของเขาย่อมจะต้องเป็นการพึ่งพาเย่หยวน

และในระหว่างที่ทุกผู้คนกำลังสับสนไม่อาจตัดสินใจเย่หยวนก็ได้นำพวกซงหยูเดินเข้าไปถึงหน้าเหล่ามารกระดูกแล้ว

ทัพมารกระดูกทั้งหลายนั้นค่อยๆ คืบคลานกลับมาตั้งเป็นร่าง พวกมันแต่ละตัวต่างยกดาบแยกเขี้ยวใส่พวกเขาอย่างดุร้าย

เย่หยวนร้องตะโกนบอก “หากพวกเจ้าไม่ช่วย ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะฝ่าไปถึง และข้านั้นคิดที่จะลองอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากพลาดข้าก็จะยอมแพ้ไม่คิดเอากระดูกจักรพรรดินี้อีกต่อไป ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็คิดกันเองแล้วกันว่าจะใช้วิธีใดต่อ เอาล่ะ คนที่คิดอยากได้กระดูกจักรพรรดิ จงตามมาให้ดี!”

พูดไปเย่หยวนก็ชักธงศึกดาวฤกษ์ออกมาระเบิดเปิดทางทันที

จากนั้นพวกซงหยูทั้งหลายก็ได้เดินตามเข้าไปในทัพมารกระดูกอย่างไม่คิดมองย้อนกลับมา

“สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์! สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์สองชิ้น!”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง! พี่เย่เขาพาคนของเขานำไปแล้ว! เราจะยังรออะไรกันอีก? ลุย!”

พูดจบคนทั้งหลายก็รีบมุ่งหน้าตามไปทันที

ตอนนี้กลุ่มของพวกเย่หยวนนั้นฝ่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนคนทั้งหลายนั้นไม่เหลือเวลาให้ลังเลอีก

คำพูดของเย่หยวนพร้อมด้วยพลังของสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์และการนำพาคนของตนนำไปก่อนเช่นนี้มันย่อมทำให้คนทั้งหลายยอมที่จะเชื่อแล้ว

เทียบกับโจวหยูแล้วเย่หยวนนั้นน่าเชื่อกว่าเป็นไหนๆ

เขานั้นไม่ได้บังคับผู้คนให้เข้าร่วมและยังเป็นหัวหอกนำคนของตนบุกเข้าไปก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้ความเชื่อใจใดๆ มันก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

คนทั้งหลายที่ยังลังเลกันอยู่ย่อมจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะทุกคนต่างมุ่งหน้าตามเย่หยวนไปอย่างบ้าคลั่ง

โจวหยูที่เห็นเช่นนั้นก็ผงะไปไม่น้อย เขานั้นอยากที่จะเป็นผู้นำของกลุ่มแต่สุดท้ายเขากลับพลาด

ตอนนี้หากจะให้เขาตามเย่หยวนไป เขานั้นย่อมไม่อาจยอมรับมันได้

แต่ด้วยตัวเขาคนเดียวมันย่อมจะไม่อาจบุกฝ่าทัพมารกระดูกเข้าไปได้

สุดท้ายเขาจึงได้แต่ต้องกัดฟันและพุ่งตัวเข้าสู่ทัพมารกระดูกไป

…………………….

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ

Status: Ongoing
จักรพรรดิโอสถแห่งยุคได้ถูกก่อกบฏโดยผู้ทรยศ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา…แผ่นดินไร้ซึ่งนาม ฉิงหยุนซี และผู้ได้รับ แพรไหมหมื่นปี ก่อนที่จะสิ้นชีพลง….
กาลเวลาผ่านไป…เขาได้กลับมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายเจ้าของคนเก่ากำลังเดินเล่นอยู่ใน สำนัก…
ข้าจะทลายสวรรค์ให้สิ้น…ด้วยโอสถในมือข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท