เมื่อคิดได้เช่นนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ลงมือทำทันที หลังจากตรวจสอบปราการมังกรได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนต่างหยุดพักผ่อน ส่วนเขานั่งลงขัดสมาธิ
ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงสายตาของเยี่ยจิ่งที่จับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ
สักวันข้าต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ แล้วจะรอดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เจ้าจะยังทำตัวสูงส่ง หยิ่งยโสเช่นนั้นได้อีกหรือไม่…
นอกจากความแค้นครั้งเก่าแล้ว เมื่อเยี่ยจิ่งต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ เขาก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น
เหมือนกับมีบางอย่างดึงดูดให้เข้าหากัน แต่ที่มากกว่านั้นคือความขุ่นเคืองใจและความเกลียดชัง
ราวกับคู่ปรับฟ้าลิขิตที่ทำให้ลึกๆ ภายในใจของเขารู้สึกเหมือนตนเองถูกกดอัดไว้ เมื่อเข้าใกล้แล้วจะรู้สึกอึกอัด
‘ก่อนหน้านี้ที่วิหารปฏิบัติกิจของสำนัก เชื้อไฟสัจจะอัคคีที่เขาพูดถึง ก็มีประโยชน์กับข้ามากเช่นกัน’ เยี่ยจิ่งคิดในใจ ‘ถ้าไปขอหยิบยืมใช้ประโยชน์ หลังจากตกไปอยู่ในมือเขาแล้ว เช่นนั้นก็น่าสมเพชสิ้นดี…’
ขณะที่เยี่ยจิ่งกำลังขบคิดนั้น ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น
บัดนี้ซือคงจิงและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน เพราะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังกลืนเอาหมอกดำที่ทุกคนต่างกลัวจนต้องหลบ!
ในสายตาของพวกเขา การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง!
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ใส่ใจความคิดของคนอื่นเลย เมื่อมองเข้าไปภายในร่างกายตนเอง เขาพบว่าปราณพิษกำลังรวมตัวกันภายใต้การควบคุมด้วยวิชาลับ จากนั้นแรงกระเพื่อมของปราณจิตราก็หมุนวนอย่างต่อเนื่อง ราวกับกลายเป็นหินลับมีดไปแล้ว
ในขณะที่กำลังหมุนวนอยู่นั้น ปราณจิตราภายในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็คมกริบขึ้นเรื่อยๆ เพราะหินลับมีดนี้ และรู้สึกเหมือนกับปราณกำลังไหลซึมออกจากร่างกาย!
‘เยี่ยมมาก เทียบกับตอนฝึกตามปกติแล้ว ผลลัพธ์สูงขึ้นสามถึงห้าเท่า หรือแม้กระทั่งมากกว่านั้น แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เหมาะใช้กับการเปลี่ยนจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกในตอนนี้ก็ตาม แต่ก็ประหยัดเวลาข้าไปได้เยอะเลย ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว’
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วหยุดการฝึกลงก่อนชั่วคราว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าทุกคนกำลังมองตนด้วยความตกตะลึงและงุนงง
‘เดินในทางที่ต่างจากปกติ ก็จะดึงดูดสายตาจากคนอื่นได้ง่ายเช่นนี้…’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปากพลางพูดในใจว่า ‘ชีวิตที่เป็นจุดสนใจของข้าคนนี้ไม่ต้องการคำอธิบายจริงๆ’
นัยน์ตาของศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งเหมือนกับเกิดความเข้าใจอันถ่องแท้ ปราการมังกรเกิดความผิดปกติ หมอกดำทะลักออกสู่ภายนอกมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา อีกทั้งยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยและยากที่จะคาดเดา
ศิษย์พี่เยี่ยนใช้วิธีรับหมอกเข้าร่างกายไปเพื่อที่จะศึกษาสาเหตุอย่างละเอียดใช่หรือไม่ เพียงแต่ทำเช่นนี้มันเสี่ยงอันตรายมากเกินไปนะขอรับ
เยี่ยนจ้าวเกออึ้งไปชั่วขณะ ไม่อาจหาคำมาบรรยายจินตนาการของคนกลุ่มนี้ได้ในทันที
ทุกคนก็พลันพยักหน้าพร้อมกันด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
เยี่ยจิ่งยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เขาใช้นิ้วมือลูบบนแหวนสีแดงคล้ำวงนั้นของตนเองเบาๆ ตามสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เยี่ยนจ้าวเกอก็กลอกตาขาวอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ‘เขามีแหวนวงหนึ่งจริงๆ ด้วย…’
เยี่ยจิ่งสามารถตั้งตัวและมีวรยุทธ์แก่กล้าได้อย่างรวดเร็วก็เพราะมีวิชาลับ แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีวรยุทธ์อะไร ทว่าเขาคิดถึงจุดที่ผู้อื่นยืนเสมอ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน
แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเลย
คนอื่นๆ ล้วนชื่นชมและนับถือทั้งนั้น ต่อให้เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์แก่กล้ามากกว่าศิษย์พี่เยี่ยน ก็ใช่ว่าจะกล้ากลืนหมอกดำเข้าไปตรงๆ เช่นนี้จริงหรือไม่
สำหรับพวกเขาแล้ว หมอกดำเหล่านั้นอาจคร่าชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา ทว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้วกลับดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เอาเถอะ ยังไงพวกเจ้าก็อย่าทำเลียนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นจะเป็นการเปิดประตูให้โจร ล่อหมาป่าเข้าบ้านจะมีอันตรายเอา เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน สะบัดเสื้อเบาๆ แล้วเดินนำออกไป คนอื่นๆ จึงรีบเดินตามไป
ในตอนนี้ด้านหลังมีเงาของชายร่างสูงคนหนึ่งตามมาถึงอย่างรวดเร็ว เดินตามเยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนมาติดๆ คนคนนั้นก็คืออาหู่
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่ออาหู่เดินตามมาถึงข้างกาย จึงส่งกระแสจิตไปว่า ‘คุณชาย ได้ข่าวแล้วขอรับ’
‘ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าหลังจากการประลองย่อยของลูกศิษย์เข้าใหม่ เยี่ยจิ่งเป็นที่เข้าตาของท่านผู้อาวุโสสือขอรับ’
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็หันไปมองอาหู่แวบหนึ่ง
อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ ‘ลือกันว่าท่านผู้อาวุโสสือถูกใจชีวิตที่ไม่ยอมแพ้และนิสัยที่เข้มแข็งอดทนของเขามาก คิดจะพิจารณาอีกสักระยะหนึ่ง แล้วอาจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์รับสืบทอดหลักขอรับ’
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะครั้งหนึ่ง ‘มิน่าล่ะ…’
ผู้อาวุโสสือท่านนี้ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสท่านอื่นๆ เขาอยู่คนละระดับกับผู้อาวุโสชุยก่อนหน้านี้ และผู้อาวุโสคุมการณ์ที่ประจำอยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออกลิบลับเลย
ผู้อาวุโสชุยเป็นเพียงผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ ทั้งยังเป็นพวกอาศัยความเป็นอาวุโสจนได้ตำแหน่งมา
เหนือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก ก็ยังมีผู้อาวุโสเกาะตะวันออกที่เป็นที่ยำเกรงทั่วทั้งเกาะนภาตะวันออก
ผู้อาวุโสสือเป็นผู้อาวุโสสุงสุดของวิหารอาญาภายในสำนัก ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแลกฎระเบียบ ข้อห้าม และโทษทัณฑ์ทั้งหมดของสำนักเขากว่างเฉิง ระดับตำแหน่งเทียบเท่าผู้อาวุโสเกาะนภาตะวันออก ทว่ามีอำนาจและแข็งแกร่งกว่า
เขาเป็นอาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ และเป็นลูกศิษย์รับสืบทอดหลักของผู้นำสำนักรุ่นปัจจุบัน
ชายผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขายอมรับว่าความสามารถของตนเทียบไม่ได้กับท่านพ่อและอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ ด้วยเหตุนี้จึงประกาศถอนตัวออกจากการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไปเสียตั้งแต่เนิ่นๆ และเต็มใจที่จะสนับสนุนเจ้าสำนักรุ่นถัดไป ถือพัฒนาการของสำนักเป็นสำคัญ
ที่จริงแล้วถึงแม้ผู้อาวุโสสือท่านนี้จะเทียบไม่ได้กับศิษย์น้องสองคนของตน แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก อีกทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีวรยุทธ์แก่กล้า เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจเป็นอันดับต้นๆ ของเขากว่างเฉิง และมีชื่อเสียงกว้างไกลในโลกแปดพิภพ
ถึงเขาจะไม่ได้เข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไป แต่มีอำนาจทางวาจามาก แม้แต่เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันก็ยังให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูกศิษย์ใหญ่คนนี้มาก
ไม่ว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ก็ตาม เขาก็แทบจะนั่งในตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดของวิหารอาญาต่อไปได้อย่างมั่นคง สมกับที่เป็นผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุดของสำนักอย่างแท้จริง
ดูจากเบื้องต้นแล้ว ระหว่างท่านพ่อและอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ อาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ยังนับว่ายืนอยู่ในจุดกึ่งกลาง
ในเมื่อเยี่ยจิ่งเข้าตาเขาแล้ว ถ้าเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานเขาจนสิ้นชีพเพียงเพราะอิจฉาริษยา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผู้อาวุโสสือจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
ต่อให้ไม่มีหลักฐาน เพียงแค่สงสัย ก็อาจส่งผลกระทบกับความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อตนได้
อาหู่พูดต่ออีกว่า ‘เจ้าเยี่ยจิ่งน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ท่านผู้อาวุโสสือเองก็ยังคิดที่จะพิจารณาเขาอีกสักระยะหนึ่งก่อนขอรับ’
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวดว่า ‘คุณชาย ดูท่าครั้งนี้ท่านคงต้องดูแลเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นจริงๆ สักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นหากเขาตายในปราการมังกรขึ้นมา แม้ท่านจะไม่ใช่ผู้ลงมือ ท่านก็ต้องแบกรับความผิดครั้งนี้แน่ขอรับ’
เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก แล้วพูดในใจว่า ‘พอแล้วกระมัง คนที่มีรัศมีตัวเอกเช่นนี้ จะตายได้ง่ายๆ ขนาดนั้นที่ไหน’
‘หลังจากข้าเข้าไปในปราการมังกรแล้ว การติดต่อระหว่างภายในและภายนอกคงต้องเป็นหน้าที่เจ้า ลำบากเจ้าหน่อยที่ต้องวิ่งไปๆ มาๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ อาหู่จึงรีบพยักหน้าตอบรับ
เหล่าลูกศิษย์เดินอยู่ในปราการมังกร เส้นทางที่ใช้ตะเกียงควันไฟทำขึ้นก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ชายหนุ่มชะลอฝีเท้า ก่อนจะใช้คาถาตรวจสอบ แล้วหยิบเทียนสีเขียวเล่มหนึ่งขึ้นมาจุด จากนั้นจึงเดินเข้าไปในหมอกดำหนาทึบตรงหน้า คนอื่นๆ เองก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับเดินตามหลังเยี่ยนจ้าวเกออย่างระมัดระวัง
เมื่อเดินพ้นจากบริเวณที่ปิดผนึกเอาไว้ หมอกดำที่อยู่รอบกายก็โหมกระหน่ำเข้ามาทันที ราวกับโดนคลื่นสูงซัดสาดใส่
หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่คอยต้านอยู่ข้างหน้า ต่อให้คนอื่นๆ มีเทียนไฟก็ยากที่จะยื้ออยู่ได้นาน
อย่างที่คิดไว้ ปราณพิษเข้มข้นขึ้นมาก ทั้งยังเคลื่อนตัวเร็วกว่าเมื่อก่อนด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกก่อกวนจากบางสิ่งบางอย่าง เยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบด้าน สายตามองผ่านหมอกดำที่ปกคลุมหนาแน่นเหล่านั้นไป
ตรงหน้ามืดสนิท ด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว มองเห็นเพียงสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเท่านั้น
ชายหนุ่มเห็นแสงสีแดงวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าผ่าลงมาในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในน้ำลึกปราการมังกร
ไม่ต้องรอให้เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่ง อาหู่ก็ยื่นมือออกไปคว้าในอากาศ
เมื่อเก็บมือกลับมาก็พบว่ากลางฝ่ามือมีรอยสีแดงหนึ่งเส้นกำลังส่องแสงอ่อนๆ ในความมืด คล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันขยับไปมาไม่หยุด เหมือนกับกำลังจะเจาะแทรกเข้าไปในผิวหนัง
เป็นสิ่งที่มาจากต่างแดน… เยี่ยนจ้าวเกอมองครั้งหนึ่ง แล้วหรี่ตาลงทันที ดูแล้วไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นหายนะจากฝีมือมนุษย์จริงๆ ด้วย
…………..