เยี่ยนจ้าวเกอมองเซียวเซิงครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีก
มาเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญหาของอาณาจักรตะวันออก…
ชายหนุ่มหรี่ตาลงครั้งหนึ่ง เหยียนซวี่…
เหล่ายอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมาก ซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ต้องคอยช่วยเหลือจ้าวซื่อเฉิงประคองค่ายกลเอาไว้ จึงตะโกนเรียกออกมาเสียงดังว่า ท่านผู้อาวุโสสวีขอรับ!
ข้าเข้าใจ กับเรื่องสำคัญตรงหน้า สวีซวนไม่มีความสนุกขี้เล่นที่เป็นนิสัยส่วนตัวอยู่เลย
เขานิ่งสงบและนำบรรดาบริวารจอมยุทธ์เขากว่างเฉิง เข้าประจันหน้ากับจอมยุทธ์สุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามารุกรานทันที
จอมยุทธ์ถังตะวันออกที่เดินทางมากับเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิง ก็เดินขึ้นหน้าด้วยกัน ออกไปรับศึกศัตรูที่บุกรุกมา
ยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่บุกมา เต็มไปด้วยยอดฝีมือจำนวนไม่น้อย
เนื่องด้วยศิลาลายเมฆสามารถสร้างแก่นสารหยกได้ แม้ว่าเขากว่างเฉิงจะไม่ได้ป่าวประกาศออกไป เพื่อปกปิดเอาไว้ไม่ให้เป็นที่สนใจ หุบเขาวายุวิญญาณถึงภายนอกจะดูหละหลวม แต่ภายในค่อนข้างเข้มงวด คอยเพิ่มพลังการป้องกันขึ้นอย่างลับๆ
หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าบัดนี้คงจะถูกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตีแตกไปในพริบตาแล้ว
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อยอดฝีมือระดับปรมาจารย์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากลงมือพร้อมๆ กัน ก็ทำให้แรงกดดันของเขาหุบเขาวายุวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
สวีชวนและยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งถังตะวันออก ออกไปต้านศัตรูร่วมกัน ก็ดักรั้งคู่ต่อสู้ทั้งหมดไว้ด้านนอก
สถานการณ์ในการสู้รบของทั้งสองฝ่าย เข้าสู่สภาวะแน่นิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่ถูกสกัดกั้นเอาไว้บริเวณด้านนอกหุบเขา โหมโจมตีประหนึ่งคลื่นน้ำซัด มุ่งโจมตีไปยังหุบเขาวายุวิญญาณและจ้าวซื่อเฉิงไม่หยุด
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงล้วนเคร่งเครียดขึ้นมา
เนื่องด้วยต้องรับมือกับการโจมตีเบื้องหน้านี้ ทำให้การช่วงชิงของฝ่ายตนกับทางฝั่งเมืองชมตะวันเสียเปรียบอีกครั้ง
สนามรบสองสนามเปิดศึกขึ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ความกดดันของจ้าวซื่อเฉิงเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ค่ายกลย้อนกลับยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ จ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องที่อยู่ที่เมืองชมตะวันก็ปล่อยพลังออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้อำนาจค่ายกลชมตะวันเริ่มค่อยๆ หลุดไปอยู่ในมือของเขา
ภายใต้สถานการณ์ที่ถาโถมเข้ามา ทางหุบเขาวายุวิญญาณตรงนี้ พลังของค่ายกลที่ถูกจ้าวซื่อเฉิงดึงมารวบรวมไว้ ก็เริ่มแสดงเค้าลางว่าจะมีพลังที่เหลือไม่เพียงพอขึ้นมา
มหาปรมาจารย์ฝ่ายศัตรูที่กำลังประมือกันอยู่ สัมผัสถึงจุดนี้ได้ดีที่สุด
เขาตะโกนเสียงดังว่า จ้าวซื่อเฉิง เจ้าตัดสินทางเดินของเจ้าเอง เลือกที่จะเป็นศัตรูกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นนี่ก็คือจุดจบของเจ้า!
เจ้าช่างเขลานัก แยกไม่ออกว่าใครคือมหาอำนาจของใต้หล้า เขากว่างเฉิงเป็นแค่แสงริบหรี่ยามพลบค่ำไปตั้งนานแล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นพระอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่เหนือน่านฟ้าในตอนนี้!
จ้าวซื่อเฉิง น้องชายของเจ้าช่างปราดเปรื่องกว่าเจ้านัก คิดเผื่อถังตะวันออก ตำแหน่งราชาให้เขาไปเสียยังจะดีกว่า!
ขณะที่พูด มือทั้งสองของเขาก็ประสานเข้าด้วยกัน แล้วผลักออกไปข้างหน้าพร้อมกัน
หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน หัตถ์เทพกลางเวหา!
ตะวันลอยสูง ดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงตรง!
เขาฝืนบุกฝืนสู้ อาศัยพลังที่มีมากกว่า แสดงพลังที่แท้จริงทั้งหมดของวรยุทธ์อันโหดร้ายและดุเดือดแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกมา!
ใช้อำนาจกดขี่คน และใช้กำลังรังแกคน
จอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ความสามารถยิ่งสูง ก็จะยิ่งสามารถสำแดงพลังของวรยุทธ์สายนี้ออกมาได้
วิชาหัตถ์เทพกลางเวหาที่มหาปรมาจารย์ผู้นี้ใช้อยู่ เมื่อเทียบกับเฉาหยวนหลงที่อยู่เพียงระดับปรมาจารย์แล้ว มันมีความรุนแรงและรวดเร็วกว่ามาก
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนรู้สึกได้เพียงว่าเบื้องหน้าเต็มไปด้วยแสงสีทองเจิดจ้า ร้อนจนแทบคลั่ง
จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์กลุ่มหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าปราณจิตราภายในร่างกายของตน ราวกับถูกฝ่ามือนี้จุดให้เพลิงลุกโชนเผาไหม้ขึ้นมา!
ท่าทางของจ้าวซื่อเฉิงหนักแน่น ทว่าสีหน้าหม่นหมองอยู่บ้าง
ปราณเขียวและปราณแดงได้ปรากฏสลับกันไปมาบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
ปราณพิษที่อยู่ภายในร่างกายของจ้าวซื่อเฉิงยังไม่ได้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น คอยก่อกวนอยู่เรื่อยมา
บัดนี้ต้องประมือกับผู้อื่น ภายใต้ความกดดัน แนวโน้มการก่อความวุ่นวายก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง แล้วโจมตีด้วยหมัดหนึ่งออกไปอีกครั้ง ชุดเกราะเกล็ดมังกรทองบนร่างกายพลันส่องสว่างขึ้น และมีเสียงมังกรคำรามออกมา
มหาปรมาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีแสงสีม่วงมองส่องสว่างบนแขนซ้าย
นั่นเป็นเกราะข้อมือที่ทำจากทองบริสุทธิ์ทั้งชิ้น ผลึกศิลาแก้วเก้าเม็ดกำลังเปล่งแสง ปล่อยพลังพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
ชัดเจนว่าเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง!
ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากัน ร่างกายของทั้งจ้าวซื่อเฉิงและศัตรูต่างก็สั่นสะเทือนไปพร้อมๆ กัน
ค่ายกลสั่นไหวอีกครั้ง จ้าวซื่อเลี่ยที่อยู่ทางฝั่งเมืองชมตะวันได้เปรียบมากกว่า
ผลที่สะท้อนกลับมาก็คือ พลังของค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงสามารถชักนำมาได้ก็เสียเปรียบอีกครั้ง
เมื่อมหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ทีก็ไม่ออมมือ เขาโจมตีออกไปด้วยหัตถ์เทพกลางเวหาอย่างต่อเนื่อง จนช่องว่างในอากาศสั่นสะเทือนไม่หยุด คล้ายกับจะแตกละเอียด
มีดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าส่องแสงสว่างเช่นนี้ อักขระจิตของค่ายกลก็ดูมืดมนลงไปเลยทีเดียว
จ้าวซื่อเฉิงหมดหนทาง จึงจำใจต้องลดการป้องกันของตนเองลง
เมื่อเป็นเช่นนั้น การโจมตีของศัตรูก็เริ่มกระทบกระเทือนถึงการป้องกันของหุบเขาวายุวิญญาณ
ด้วยความช่วยเหลือของมหาปรมาจารย์ผู้นั้น เหล่าจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา
สายตาของเซียวเซิงมองลอดผ่านกลุ่มคน จับจ้องอยู่กับเยี่ยนจ้าวเกอตาไม่กะพริบ แววตาเยือกเย็นดุร้ายประหนึ่งอสรพิษ
ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาข้างกายเขาคนหนึ่ง มือซ้ายกำกระบี่เอาไว้ มือขวาตบไปที่ฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังครั้งหนึ่งอย่างรุนแรง
ประกายกระบี่หนึ่งส่องสว่างขึ้นมา ผ่าฟาดไปบนท้องฟ้าราวกับอาทิตย์อุทัยเบิกฟ้าทางทิศตะวันออก
หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน เพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้า!
มันนับเป็นอาวุธวิญญาณระดับล่าง กระบี่เพลิงหลั่งไหล!
ประกายกระบี่สะท้านฟ้า ดุจแสงแดดแรกแย้ม จนตะวันทะยานบูรพาทิศ แผดแสงเจิดจ้าอยู่กลางเวหา จวบจนอาทิตย์คล้อยตกลง ณ ทิศประจิม กระบี่เดียวแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนที่ค่อยเป็นค่อยไปของอาทิตย์ขึ้นยันอาทิตย์ตก ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบสิ้น
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น จึงใช้ฝ่ามือผ่าลงไปกลางอากาศ กงจักรเพลิงสุริยะก็ลอยออกมา!
เมื่อเห็นกงจักรเพลิงสุริยะ ท่าทีของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ชะงักไปทันที ทว่าการโจมตีหลังจากนั้นก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นอีก
เซียวเซิงจับตามองไปยังกงจักรเพลิงสุริยะโดยไม่ละสายตา โกรธจัดจนลูกตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า
เขาส่งเสียงร้องตะโกนแหลมออกมา แล้วยกฝ่ามือขึ้นโดยพลัน
กลางฝ่ามือก็มีแสงอักขระภาพกะพริบสั่นไหว รูปร่างดุจพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์
การเคลื่อนไหวของกงจักรเพลิงสุริยะที่อยู่ในอากาศพลันชะงักลงเล็กน้อย
ชิ! เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย… เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว น่าเสียดายที่จำเป็นต้องใช้กระบี่วิญญาณมังกรมรกตสร้างค่ายกลย้อนกลับ มิเช่นนั้นเปลี่ยนสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
เนื่องด้วยกงจักรเพลิงสุริยะค้างอยู่กลางอากาศ จอมยุทธ์ระดับมหาปรามาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น จึงขับเคลื่อนกระบี่เพลิงหลั่งไหลฟาดฟันใส่หุบเหววายุวิญญาณ
ค่ายกลพลังที่ป้องกันหุบเขาวายุวิญญาณถูกมหาปรมาจารย์ของอีกฝ่ายกดเอาไว้ ในตอนนี้เองจึงถูกกระบี่เพลิงหลั่งไหลโจมตีอีกครั้ง จนในที่สุดก็ถูกทำให้เกิดรอยร้าวและฉีกออก!
บรรดาจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พากันบุกเข้ามาข้างในพร้อมกันทันที!
เซียวเซิงหันกลับไปมองปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาผู้นั้น ท่านผู้อาวุโสเหลียง ข้าช่วยท่านเอง!
ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนนั้นพยักหน้า แล้วก็ใช้เพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้าอีกครั้ง
กระบี่เพลิงหลั่งไหลกลายเป็นลำแสงสีแดง พันกงจักรเพลิงสุริยะที่อยู่ในอากาศเอาไว้
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูภาพฉากนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ร่างกายก็เฉียดผ่านไปอยู่เบื้องหน้าของจ้าวซื่อเฉิง
จากนั้นชายหนุ่มก็จับกระบี่วิญญาณมังกรมรกตเอาไว้ในมือ เขาชักนำเคล็ดกระบี่ครั้งหนึ่ง แสงสว่างจากอักขระวิญญาณของค่ายกลย้อนกลับก็สั่นกะพริบ
สถานการณ์ทางด้านของจ้าวซื่อเฉิงก็มั่นคงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เซียวเซิงลอยตัวไปด้านหน้า แล้วยื่นมือออกไปคว้ากงจักรเพลิงสุริยะอีกครั้ง
กงจักรเพลิงสุริยะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในทันที อักขระภาพวงแหวนดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางฝ่ามือของเซียวเซิงก็ส่องสว่างเจิดจ้า
การสั่นสะเทือนของกงจักรเพลิงสุริยะเริ่มสงบลงเรื่อยๆ
เซียวเซิงหลับตาลง ในความมืดมิดราวกับมีแสงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้น
จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตนเองสร้างการเชื่อมต่อกับกงจักรเพลิงสุริยะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง การที่สูญเสียอาวุธวิญญาณไปและได้กลับคืนมา ทำให้เซียวเซิงรู้สึกเบาสบายไปทั้งกายอย่างอดไม่ได้ ต่อมเหงื่อทั่วร่างกายราวกับเปิดออกพร้อมกัน
เขาเริ่มตัดความเชื่อมต่อระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับกงจักรเพลิงสุริยะให้ขาดออกทีละนิด
เซียวเซิงลืมตาขึ้น ดวงตาฉายประกายความเย็นชา จ้องมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ามีบทบาทมากเกินไป
แต่ยิ่งเจ้าโดดเด่นมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นภัยคุกคามต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าในภายหลังมากขึ้นเท่านั้น!
ข้าคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ความอับอายที่เจ้ามอบให้ข้า ตอนนี้ข้าไม่สามารถขัดล้างให้สะอาดด้วยมือของข้าเองได้
ทว่าถ้าอยากจะบีบเจ้าให้ตาย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้!
กลุ่มจอมยุทธ์สำนักศักดิ์สุริยันตะลุมบอนกับสวีชวนและคนอื่นๆ จนเป็นกลุ่มก้อน
ทว่ายอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมากกว่า และเมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากค่ายกลของหุบเขาวายุวิญญาณ สวีชวนและคนอื่นๆ จึงอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แบ่งกำลังคน ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนหนึ่งเดินเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ!
เยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไปที่ผู้มาเยือน
ทุกย่างก้าวที่อีกฝ่ายย่ำออกมา อากาศและสรรพสิ่งรอบกายราวกับกำลังสั่นสะเทือน!