บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 51 เที่ยวชมเขตอสูร

ตอนที่ 51 เที่ยวชมเขตอสูร

ตอนที่ 51

ที่สูง

พรึบ! ร่างของไก่ฟ้าหงอนทองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมร่างของราชาทั้ง 4 และไป๋จูเหวิน เหม่ยหลิน และ หยวนหยวน เพียงพริบตาเดียวร่างของไก่ฟ้าหงอนทองก็ทะยานผ่านขอบเหวไร้ก้นขึ้นมาบนผืนดินของเขตมนุษย์อย่างง่ายดาย

 คราวนี้ขึ้นไปเหนือเมฆเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโดนเห็นตัวอีก มังกรธรณีว่าพลางบอกให้ไก่ฟ้าหงอนทองบินขึ้นไปให้สูงจนคนบนพื้นไม่สามารถมองเห็นตัวไก่ฟ้าหงอนทองได้

 ไว้ใจได้เลย ไก่ฟ้าหงอนทองตอบพลางกระพือปีกเร็วขึ้นๆจนขึ้นไปเหนือก้อนเมฆทำให้ภาพทิวทัศน์ด้านหน้าของพวกไป๋จูเหวินกลายเป็นพื้นทะเลเมฆสีขาวสุดลูกหูลูกตาทำเอาคนบนหลังของไก่ฟ้าหงอนทองอดชื่นชมภาพตรงหน้าไม่ได้

 จูเอ๋อ เมืองที่เจ้าจะไปคือเมืองไหน พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองลงไปเบื้องล้าง ด้วยสายตาของพวกมันการมองเมืองจากความสูงขนาดนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างไร

 เมืองนั้นขอรับ ไป๋จูเหวินชี้ไปที่เมืองกล้วยไม้หยก เนื่องจากพวกตนเดินทางด้วยการบินเหนือชั้นบรรยากาศทำให้พวกมันสามารถเดินทางมายังเมืองกล้วยไม้หยกได้ในทีเดียวไม่จำเป็นต้องลงที่เมืองแรกสุดอีกแล้ว

 ดี เจ้าไก่กลายร่าง ได้ยินพยัคฆ์อัสนีสั่ง เหม่ยหลินกับหยวนหยวนก็สะดุ้งโหยงทันที แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรร่างกายใหญ่โตของไก่ฟ้าหงอนทองก็สลายหายไปกลายเป็นเจ้าอ้วนอีกครั้ง แน่นอนว่าพอมันเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์คนอื่นๆก็ไม่มีที่เหยียบอีกต่อไป

 กรีดดด หยวนหยวนกรีดสุดเสียงหลังจากสัมผัสได้ว่าใต้เท้าของนางไม่มีสิ่งใดรองรับถุมยังดิ่งลงต่ำอีกต่างหาก

 เขาบอกแมวไม่ว่าจะลงจากที่สูงแค่ไหนก็สามารถลงได้อย่างนิ่มนวลใช่หรือไม่ พยัคฆ์อัสนีว่าพลางหัวเราะออกมาทำเอาหยวนหยวนค้อนตาคว่ำทันที

 แมวบ้านท่านสิตกลงจากที่สูงขนาดนี้ได้ ยามนี้หยวนหยวนไม่สนใจว่าอีกฝ่ายคือราชาแห่งป่าเมฆาอัสนีอีกต่อไปแล้ว อาจจะเพราะหลายวันมานี้นางอยู่ร่วมกับพวกราชามานานก็ได้ ความเกรงใจเลยไม่ค่อยจะเหลือเสียแล้ว

 ท่านเองก็เป็นสายพันธุ์แมวไม่ใช่หรือไง หยวนหยวนว่าพลางกลายร่างกลับเป็นแมวในทันที อย่างน้อยร่างเล็กๆของนางอาจจะทำให้ไม่เจ็บมากก็ได้

 มานี่ พยัคฆ์อัสนีเห็นว่าใกล้ถึงพื้นแล้วมันเลยเอื้อมมือไปคว้าหยวนหยวนที่อยู่ในสภาพลูกบอลอีกครั้งมาไว้ในมือ ก่อนจะปล่อยไออสูรออกมาจากร่าง

เปรี้ยง! พริบตานั้นร่างของพยัคฆ์อัสนีและหยวนหยวนก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า แต่พอรู้ตัวพยัคฆ์อัสนีก็ลงมายืนนิ่งบนพื้นโดยมีหยวนหยวนหลับตาปี๋อยู่ในอ้อมแขนเสียแล้ว

 เห็นไหม ลงพื้นได้นิ่มนวลมาก พยัคฆ์อัสนีว่าพลางหัวเราะเสียงดังลั่น แต่หัวเราะไปได้พักเดียวพื้นดินด้านข้างของพยัคฆ์อัสนีก็มีต้นไม้ต้นหนึ่งงอกขึ้นมา ก่อนที่มันจะเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างผิดรูปร่างขึ้นไปรับมังกรธรณีที่อุ้มไป๋จูเหวินเอาไว้ในอก

 พวกท่านเล่นกันแบบนี้เป็นปกติเลยหรือไง หยวนหยวนว่าพลางมองไป๋จูเหวินที่ลงมาจากอ้อมแขนของมังกรธรณีด้วยท่าทีสบายๆราวกับพวกมันเคยทำแบบนี้มาก่อน

 ก็นานๆครั้ง ตอนแรกจูเอ๋อก็ตกใจแบบเจ้านั่นละ พยัคฆ์อัสนีหัวเราะพลางมองจิ้งจอกเหมันต์ที่อุ้มร่างของเหม่ยหลินลงมา ดูเหม่ยหลินจะนิ่งกว่าหยวนหยวนมากเลยทีเดียว หรือความสูงจะไม่น่ากลัวสำหรับบางคนนะ..

 พวกน้าส่งเจ้าแค่นี้ก็แล้วกัน ราชสีห์เพลิงว่าพลางดับไฟที่มันใช้ไปเมื่อครู่อย่างสบายใจ

 ขอรับ ขอบคุณพวกท่านน้ามาก ไป๋จูเหวินว่าพลางประสานมือคารวะท่านน้าของมัน

 จริงสิจูเอ๋อ มังกรธรณีพูดเหมือนคิดอะไรออก มันเรียกกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากมิติของมัน แต่คนที่จำมันได้เป็นคนแรกกลับเป็นเจ้าไก่ฟ้า

 นั่นมัน ของข้า ไก่ฟ้าหงอนทองพูดพลางมองกล่องไม้ที่มันเคยจะเอาให้ไป๋จูเหวินแต่โดนมังกรธรณียึดเอาไว้

 ใช่ นี่เป็นของที่เจ้าไก่เคยจะให้เจ้า อีกไม่นานเจ้าคงสามารถใช้ของพวกนี้ได้น้าเลยอยากให้เจ้าเก็บเอาไว้ มังกรธรณีพูดจบก็วางกล่องไม้ใส่มือไป๋จูเหวิน ก่อนที่มันจะเก็บเข้าแหวนมิติของตนไปในทันที

 ขอบคุณขอรับท่านน้ามังกร ท่านน้าไก่ฟ้า ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มอย่างดีใจ ทำเอาหัวใจอสูรในที่นี่อ่อนยวบในทันทีไม่เว้นแม้แต่หยวนหยวน

 แล้วพวกท่านน้าจักลับกันยังไงล่ะขอรับ ไป๋จูเหวินถามเพราะเขตนี้มีทั้งเมืองกล้วยไม้หยกและสำนักธารโลหิต หากน้าไก่ฟ้าคืนร่างต้องมีคนเห็นแน่ๆ

 ก็ใช้สัตว์บริวารไงล่ะ พูดจบพยัคฆ์อัสนีก็ผิวปากเบาๆ เสือในป่าแถบนี้ก็วิ่งมาหาอย่างกับสุนัขที่ฝึกจนเชื่อง

 จริงสิ เจ้าเองก็ใกล้ระดับทองแล้ว ฝึกเรียกบริวารเอาไว้บ้างก็ดีนะ มังกรธรณีพูดจบก็ขึ้นไปบนหลังของเสือที่พยัคฆ์อัสนีเรียกออกมา

 ขะ ขอรับ ไป๋จูเหวินยิ้มเจื่อนๆ เพราะน้ามังกรสอนวิธีเรียกให้มันไว้แล้ว แต่มันยังไม่ถึงระดับทองเลยเรียกบริวารออกมาไม่ได้

ในเมื่อมันกินแก่นอสูรของมารดาเข้าไป มารดาของมันเป็นอสูรแมงมุม มันก็สมควรเรียกแมงมุมออกมาใช่หรือไม่…..

 ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันบ้างเถอะ เห็นพวกท่านน้าจากไปแล้ว ไป๋จูเหวินก็หันกลับมามองเหม่ยหลินและหยวนหยวนที่กลับเป็นร่างของหญิงสาวแล้ว ตอนนี้พวกมันอยู่ห่างจากเมืองกล้วยไม้หยกไม่มาก เพียงไม่กี่สิบนาทีก็คงเดินเท้าไปถึง

 …..เดี๋ยว ขณะกำลังจะออกเดิน มือของเหม่ยหลินก็ดึงชายเสื้อของไป๋จูเหวินเอาไว้

 ขะ…ขออยู่ตรงนี้อีกสักครู่เถอะ ได้ยินคำพูดของเหม่ยหลิน ทั้งไป๋จูเหวินทั้งหยวนหยวนก็เลิกคิ้วขึ้นทันที ได้เห็นสาวงามอย่างเหม่ยหลินส่งสายตาออดอ้อนมาทางตนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอก แต่ที่ขอตาของนางกลับมีน้ำตาออกมานี่สิ หรือว่า….

 เข้าใจแล้ว ไป๋จูเหวินยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินไปข้างๆเหม่ยหลิน เมื่อครู่มันไม่ได้สังเกต แต่ขอบกระโปรงของเหม่ยหลินสั่นไหวเบาๆมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ท่าทางคนที่โดนความสูงเล่นงานมากที่สุดคงจะเป็นนางนี่เอง

หมับ..ไป๋จูเหวินอุ้มร่างของเหม่ยหลินขึ้น ก่อนจะพานางเดินไปทั้งๆอย่างนั้นเล่นเอาเหม่ยหลินสะดุ้งโหยง

 เจ้า….. เหม่ยหลินไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากหมิงฮุ่ยแล้วก็แทบจะไม่มีผู้ชายคนไหนสัมผัสตัวนางเลย แม้แต่พ่อเองก็ไม่เคยทำแบบนี้ อย่าว่าแต่หมิงฮุ่นสมควรนับเป็นตัวผู้อีกต่างหาก

 ขาของเจ้ายังเดินไม่ได้ไม่ใช่หรือยังไง ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินต่อโดยไม่สนใบหน้าของเหม่ยหลินที่เริ่มกลายเป็นสีแดงเสียแล้ว

 อย่างน้อยก็ให้พี่หยวนอุ้มข้าเถอะ เหม่ยหลินว่าพลางมองไปทางหยวนหยวน

 คุณหนู ข้าเองก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว การตกจากที่สูงมันน่ากลัวจริงๆ หยวนหยวนว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ

 ท่าน… เหม่ยหลินหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมพลางจ้องหยวนหยวนด้วยท่าทีไม่พอใจ ทำให้หยวนหยวนยิ้มพลางหันหน้าไปทางอื่นราวกับจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

.

.

 เจ้าเดินไหวหรือยัง ไป๋จูเหวนถามหลังจากกำแพงเมืองกล้วยไม้หยกปรากฏขึ้นในสายตา เพียงเดินมา 3 นาทีก็ออกมาพ้นป่าแล้ว

 อะ อืม… เหม่ยหลินพยักหน้าช้าๆทำให้ไป๋จูเหวินปล่อยนางลงมาบนพื้น ความจริงขาของนางหายสั่นมาพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่ทราบทำไมนางถึงไม่บอกให้ไป๋จูเหวินปล่อยนางด้วยตนเองก็ไม่ทราบ

 มีอะไรเหรอ ไป๋จูเหวินถามเมื่อเห็นเหม่ยหลินลงมายืนบนพื้นแล้วยังไม่ยอมขยับไปไหน

 ปะ เปล่า…จริงสิเรื่องสัตว์บริวารที่ท่านน้าของเจ้าพูดถึง มันเป็นยังไงเหรอ เหม่ยหลินถามเปลี่ยนเรื่องพลางหลบตาไป๋จูเหวินไปทางอื่น

 จริงสิ ท่านเองก็ผ่านระดับทองมาแล้วนี่นา ไป๋จูเหวินว่าพลางนึกถึงพลังที่ตนสัมผัสได้จากตัวเหม่ยหลิน ตัวนางมีพลังอสูรระดับสูงกว่าหยวนหยวนเสียอีก นั่นหมายความว่านางควรจะมีพลังสูงกว่าขั้นหยกไปเล็กน้อย

 แต่ข้าก็ไม่เคยใช้บริวารอย่างที่ท่านพยัคฆ์ทำเลยนะ เหม่ยหลินว่า เพราะตนพึ่งได้เห็นว่าพยัคฆ์อัสนีสามารถเรียกเสือในป่าตามธรรมชาติมาใช้ขี้แทนพาหนะได้

 ท่านก็แค่รวมพลังอสูรไว้ที่ปอดแล้วส่งเสียงเรียกด้วยจิตที่คิดว่าจะให้พวกมันมาหาก็พอ ไป๋จูเหวินตอบตามที่มังกรธรณีเลยสอนเอาไว้

 ส่งเสียง… เหม่ยหลินกลับมานิ่งไปอีกครั้งหนึ่งเพราะนางกลับผิวปากไม่เป็นนี่สิ

 ใช้พวกนกหวีดหรือขลุ่ยได้ไหม หยวนหยวนถามเพราะจำได้ว่าคุณหนูมีขลุ่ยติดตัวอยู่ในแหวนมิติ

 ข้าไม่ทราบว่าขลุ่ยคืออะไร คงได้แต่ลองเท่านั้น ไป๋จูเหวินตอบตามตรงเพราะในเขตอสูรไม่มีอสูรตัวไหนเอาขลุ่ยออกมาเป่านี่นา

 เข้าใจแล้ว เหม่ยหลินว่าพลางหยิบขลุ่ยสีขาวออกมาจากแหวนของตน ความจริงแก่นอสูรของนางเป็นแก่นอสูรของกิเลนดำ ไม่ทราบว่าแถวนี้จะมีกิเลนหรือไม่…

เหม่ยหลินเป่านกหวิดเพียงครั้งเดียว ไม่นานร่างของม้าสีดำตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาพวกตน

 ม้าเหรอ เหม่ยหลินมองม้าที่เข้ามาหาตนอย่างประหลาดใจ ขนของมันยังยาวไม่มีรอยตัดที่หลังก็ไม่มีอานคาดว่าคงเป็นม้าป่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันกลับเข้ามาหาอย่างเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ

 เพราะเป็นแก่นอสูรของกิเลนเลยเป็นม้าสินะ ไป๋จูเหวินว่าพลางลองลูบหัวม้าอย่างเบามือ สัตว์ป่าทั่วไปไม่ใช่สิ่งที่พบได้ในเขตอสูร ทำให้ไป๋จูเหวินสนใจเจ้าม้าไม่น้อย

 พอดีเลย ขี่มันกลับเมืองกันเถอะ หยวนหยวนว่าพลางกลายร่างเป็นแมวแล้วขึ้นไปบนไหล่ของไป๋จูเหวิน ทำให้ไป๋จูเหวินขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตามที่นางเสนอ แต่เหม่ยหลินกลับไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นไปบนหลังม้าแต่อย่างไร

 คุณหนู ถ้าเราไม่รีบไปหมิงฮุ่ยจะเป็นห่วงนะ หยวนหยวนว่าพลางยิ้มด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

 ขะ ข้าจะเรียกม้าอีกตัว เหม่ยหลินเห็นรอยยิ้มของหยวนหยวนก็หน้าแดง พลางหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าอีกครั้ง แต่ไม่ทราบเพราะป่าแห่งนี้มีม้าอยู่ตัวเดียวหรือเทคนิคของเหม่ยหลินไม่เพียงพอทำให้ไม่มีม้าแม้แต่ตัวเดียววิ่งมาหาเลย

 เมืองอยู่ใกล้แค่นี้เอง เจ้าซ้อนข้าไปก็ได้ ไป๋จูเหวินว่าพลางบอกให้เหม่ยหลินขึ้นมาซ้อนม้าที่ตนขี่อยู่

 ถ้าคุณหนูไม่ชอบใจ จะให้พ่อหนุ่มเป็นฝ่ายซ้อนก็ได้นะ หยวนหยวนยิ้มด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์อีกครั้งทำเอาเหม่ยหลินหน้ามุ่ยทันที ในที่สุดนางก็แค่ขึ้นไปซ้อนบนหลังม้าพลางดึงตัวหยวนหยวนมาขั้นกลางเอาไว้ แถมยังแอบหยิกเนื้อของหยวนหยวนไปหลายครั้ง

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 51 เที่ยวชมเขต…

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท