บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 72 เกินกว่าขอบเขตมนุษย์

ตอนที่ 72 เกินกว่าขอบเขตมนุษย์

 พี่หลิน ข้าง่วงแล้ว หลินหลินว่าพลางเดินเข้ามาหาเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ขอบหน้าผา ไม่ทราบว่าสองหนุ่มด้านหลังประลองกันไปกี่รอบแล้ว แต่ทั้งสองก็ไม่มีท่าทีจะหยุดเลยสักนิด

 เจ้าไปไหนมา ทำไมข้าไม้เห็นเจ้าเลย เหม่ยหลินถามพลางมองหลินหลินที่นอนพิงร่างของเธอราวกับจะใช้เป็นหมอน

 พี่ไป๋ให้แหวนมิติข้ามา ข้าเลยเอาไปใส่ของกิน หลินหลินว่าพลางโชว์แหวนที่ไป๋จูเหวินเคยใช่ก่อนได้มิติของตนเองออกมา

 ของกิน? เหม่ยหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย หลินหลินเป็นอสูรเรื่องนั้นนางรู้ดี แต่หลินหลินมักจะกินอะไรจากถุงใบเล็กๆอยู่เสมอ นางเองก็ไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร

 นี่ไง หลินหลินยื่นหยกก้อนหนึ่งให้เหม่ยหลินดู

 หยก? เจ้าเป็นอสูรธาตุทองนี่เอง เหม่ยหลินพยังหน้าพลางมองหยกที่หลินหลินกินอย่างสนใจ ตัวนางเป็นนักล่าอสูรมาตั้งแต่เกิด ย่อมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอสูรเป็นอย่างดี

 ร่างจริงของหลินหลินเป็นหยกทั้งตัวเลยนะ ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้ามาหาเหม่ยหลินหลังประลองจบ

 จริงเหรอ…หลินหลินเจ้าคืนร่างให้พี่ดูได้ไหม เหม่ยหลินว่าพลางมองหลินหลินด้วยสายตาเป็นประกาย

 อื้อ หลินหลินว่าพลางกลายร่างเป็นแมงมุมหยกตัวใหญ่ที่สูงกว่าพวกไป๋จูเหวินเสียอีก

 จริงด้วย เป็นหยกทั้งตัวเลย เหม่ยหลินมองร่างของหลินหลินด้วยสายตาเป็นประกาย หากมองไกลๆหลินหลินราวกับแมงมุมสลักจากหยกจริงๆเลย

 อสูรนี่น่าสนใจดีนะ ข้าเองก็ต้องศึกษาเรื่องอสูรเอาไว้บ้างแล้วสิ อู๋หมิงว่าพลางเก็บกระบี่เข้าฝัก การประลองในวันนี้สนุกมากจนลืมเวลาเลย แต่ส่วนใหญ่มันกลับเสียเปรียบ ทั้งนี้เพราะมันตัดใยแมงมุมของไป๋จูเหวินไม่ได้ ทุกครั้งที่ใยแมงมุมติดร่างกายมันก็จะเสียเปรียบทุกครั้ง

 ท่านจะหาทางรับมือพี่ไป๋นะสิ เหม่ยหลินว่าพลางหัวเราะออกมา นางดูการต่อสู้มาตลอดเข้าใจดีเลยว่าอู๋หมิงเสียเปรียบตรงไหน

 แล้วพี่หลินไม่สู้บ้างเหรอคะ หลินหลินถามพลางมองเหม่ยหลินอย่างประหลาดใจ นางแข็งแกร่งมาก ทำไมไม่ลงไปสู้กับพวกไป๋จูเหวินบ้าง

 เรื่องนั้น… อู๋หมิงยิ้มเจื่อนๆพลางมองมาทางเหม่ยหลินด้วยสายตาเกรงใจ

 พวกเราสู้คุณหนูเหม่ยหลินแห่งกลุ่มนักล่าอสูรไม่ได้หรอก อู๋หมิงถอนหายใจพลางส่ายหัวเล็กน้อย แม้แต่อู๋หมิงศิษย์ของอาวุโสเทียนหมิงยังไม่สามารถเทียบคุณหนูแห่งกลุ่มนักล่าอสูรได้ เพราะทุกคนต่างทราบกันดีว่าคุณหนูแห่งกลุ่มนักล่าอสูรคืออัจฉริยะในรอบหลายพันปี

 เอ๊ะ ขนาดนั้นเลยเหรอ หลินหลินว่าพลางเบิกตากว้าง นางสัมผัสได้แต่พลังอสูรจากเหม่ยหลิน แต่นางก็รู้แต่ว่าพลังอสูรของเหม่ยหลินสูงกว่าตนเองเท่านั้นไม่ทราบว่าสูงกว่าเท่าใด

 นางเป็นคนเดียวในเหล่าจอมยุทธรุ่นใหม่ที่สามารถฝึกฝนเกินขอบเขตของมนุษย์ได้เชียวนะ อู๋หมิงว่าพลางมองเหม่ยหลินด้วยท่าทีชื่นชม

 ชมเกินไปแล้ว คุณชายอู๋หมิงเองก็ใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตมนุษย์มาแล้วนี่นา เหม่ยหลินว่าพลางมองพลังของอู๋หมิง ตอนนี้อู๋หมิงอยู่ในขั้นหลอมรวมวิญญาณ ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของขอบเขตมนุษย์แล้ว ในกลุ่มคนรุ่นใหม่หากไม่นับเหม่ยหลินก็คงมีเพียงอู๋หมิงเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด

 ขอบเขตมนุษย์คืออะไรเหรอ ไป๋จูเหวินถามพลางเลิกคิ้วอย่างสงสัย

 นี่เจ้าไม่รู้งั้นเหรอ อู๋หมิงขมวดคิ้วพลางมองไป๋จูเหวินอย่างประหลาดใจ แต่จะว่าไปไป๋จูเหวินก็อยู่ในเขตกล้วยไม้หยกที่มีระดับการฝึกฝนพลังวิญญาณต่ำอยู่แล้ว จะไม่รู้ก็ไม่แปลก

 จริงสิพี่ไป๋อยู่ในเขตอสูรคงไม่ทราบสินะ เหม่ยหลินว่าพลางหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง

 ตอนนี้พี่ไป๋อยู่ในระดับหลอมรวมปฐพีขั้น 1 ซึ่งอยู่ระดับกลางของขอบเขตมนุษย์ เหม่ยหลินว่าพลางเขียนชื่อระดับแต่ละระดับลงไป

 ส่วนคุณชายอู๋หมิงอยู่ระดับหลอมรวมวิญญาณ ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายของขอบเขตมนุษย์ เหม่ยหลินว่าพลางใช้พู่กันจิ้มลงไปหลังคำว่า หลอมรวมวิญญาณ

 ในขอบเขตของมนุษย์จะเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายทั้งหมด อย่างก่อกำเนิด จะเป็นการสร้างผลึกวิญญาณ ในขั้นผลึกวิญญาณจะเป็นการฟูมฟักผลึกวิญญาณให้แข็งแรง ส่วนในขั้นหลอมรวมปฐพีจะเป็นการเสริมสร้างร่างกายของมนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้น ในขั้นหลอมรวมนภาจะเป็นการเพิ่มพูนพลังวิญญาณของร่างมนุษย์ เมื่อก้าวถึงขั้นหลอมรวมวิญญาณประตูแห่งธาตุจะเปิดออกจนสามารถใช้วิญญาณแห่งธาตุของแต่ละคนได้ เหม่ยหลินอธิบายพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน นางไม่เคยเจอใครที่มีพลังอสูรมากกว่าพลังวิญญาณมาก่อน ระดับมันเลยเรียงกันค่อนข้างเละเทะจนนางไม่ทราบว่าขั้นตอนเหล่านี้สามารถใช้กับไป๋จูเหวินได้หรือไม่ ทั้งที่มันยังอยู่ในระดับหลอมรวมปฐพีแต่กลัใช้พลังธาตุของแก่นอสูรได้แล้ว

 ส่วนในขอบเขตต่อมาเราเรียกกันว่าขอบเขตการเปลี่ยนแปลง ในขอบเขตนี้ทั้งร่างกายและพลังวิญญาณจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเพื่อจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนในขอบเขตสุดท้าย เหมยหลินพูดพลางเขียนอักษรลงบนกระดาษ โดยในขอบเขตการเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่ 5 ระดับ โดยแบ่งออกเป็น ชำระกล้ามเนื้อ ชำระกระดูก ชำระเส้นเอ็น ชำระวิญญาณ และ ก่อกำเนิดพลังเซียน ได้ฟังไป๋จูเหวินก็พยักหน้าช้าๆ

 แล้วเจ้าอยู่ระดับไหนแล้วล่ะ ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางเหม่ยหลิน

 ระดับนี้ค่ะ… เหม่ยหลินว่าพลางชี้ไปที่ระดับ ชำระเส้นเอ็น แสดงว่านางอยู่ระดับกลางของขอบเขตการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่พลังของนางตอนนี้หากเทียบกับอสูรก็ราวๆระดับหยกใกล้ๆหยกขาวเท่านั้น บางทีในระดับขอบเขตการเปลี่ยนแปลงพลังของมนุษย์คงอยู่ราวๆระดับหยกขาวค่อนไประดับตำนานเป็นแน่

 แล้วขอบเขตเซียนล่ะ ไป๋จูเหวินถามพลางมองทางเหม่ยหลิน หากที่มันทราบว่าถูกต้องพวกท่านน้าทั้ง 5 ต่างอยู่ระดับมายาทั้งสิ้น หากขอบเขตพลังของมนุษย์มีมากกว่าบางทีอาจจะมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าพวกท่านน้าอีกก็เป็นได้

 เรื่องนั้นข้าอธิบายเอง อู๋หมิงว่าพลางขอพู่กันจากเหม่ยหลิน

 ต่อจากขอบเขตการเปลี่ยนแปลงคือขอบเขตเซียน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ เหรินเซียน ตี้เซียน เสินเซียน และ เทียนเซียน อู๋หมิงว่าพลางเริ่มเขียนรายชื่อลงไปบนกระดาษ

 จริงสิ อาวุโสเทียนหมิงอยู่ระดับใด ไป๋จูเหวินถามพลางนึกถึงอาวุโสเทียนหมิง ท่านเป็นคนที่มีพลังใกล้เคียงกับน้าของมันที่สุดแล้ว

 ท่านอยู่ระดับเทียนเซียนแล้ว ได้ยินคำตอบไป๋จูเหวินก็นิ่งไป หากระดับของมนุษย์มีเท่านี้จริง นั่นหมายความว่าระดับสูงสุดของมนุษย์ก็เทียบได้กับท่านน้าของมันเท่านั้นเองนะหรือ สมแล้วที่พวกท่านน้าได้ชื่อว่าราชาแห่งเขตอสูร พวกท่านแต่ละตนแข็งแกร่งระดับเดียวกับผู้แข็งแกร่งที่สุดในเหล่ามนุษย์เลย

แล้ว..มารดามันล่ะ

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของไป๋จูเหวิน มารดาของมันเป็นอสูรที่แม้แต่พวกท่านน้ายังทำอะไรไม่ได้ นั่นไม่ได้หมายความว่ามารดาของมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากงั้นหรือ

 มีอะไรเหรอไป๋จูเหวิน อู๋หมิงถามขึ้นเมื่อเห็นไป๋จูเหวินนิ่งเงียบไป

 ไม่มีอะไร ไป๋จูเหวินส่ายหน้าช้าๆ พลางมองไปทางเหม่ยหลิน จู่ๆมันก็จำคำพูดของพวกท่านน้าได้ว่าแก่นอสูรที่เหม่ยหลินกลืนลงไปเป็นอสูรที่อยู่ระดับเดียวกับพวกท่านน้า นั่นหมายความว่ามีใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าอสูรตนนั้นอยู่ถึงได้ฆ่าและนำแก่นอสูรของมันมาได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าแม้ระดับจะตันอยู่เพียงเท่านั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะพัฒนาไปให้แข็งแกร่งกว่าระดับไม่ได้ โลกใบนี้ยังมีผู้เก่งกาจมากมาย บางทีมันอาจจะได้เจออสูรที่เหมือนมารดาของมันก็เป็นได้

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 72 เกินกว่าขอบ…

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท