บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 73 มาร

ตอนที่ 73 มาร

 แฮก….แฮก…. เสียงหอบหายใจของหยงเวยดังออกมาอย่างหนักหน่วง แม้มันจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมของเจ้าเมือง แต่มันกลับไม่ค่อยอยากไปเสียเท่าไหร่เพราะมันรู้สึกว่าเสียเวลาฝึกฝนของมันมากกว่า

ฟุบ! ดาบในมือของหยงเวยวาดไปอย่างรวดเร็วพร้อมท่วงท่าที่ดุดันรุนแรง แม้จะเป็นวิชาจากสำนักเล็กๆแต่หยงเวยก็ฝึกจนเชี่ยวชานและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความจริงก่อนหน้านี้ตัวหยงเวยมั่นใจในตัวเองมาก แต่พอมาเข้าสำนักเขี้ยวมังกรก็ราวกับสูญเสียความมั่นใจไป วันแรกก็พ่ายแพ้ให้กับอสูรจิ้งจอกที่ตนชิงชัง แถมยังโดนคนที่พลังวิญญาณน้อยกว่าตนเองช่วยเอาไว้อีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ทราบว่าไป๋จูเหวินนั้นเก่งกาจยิ่งกว่าที่ตนจินตนาการได้

ทั้งๆที่เมื่อก่อนหยงเวยเคยมั่นใจแท้ๆว่าคนอย่างมันไม่ใช่คนธรรมดา แม้จะมีพลังระดับหลอมรวมปฐพีแต่มันก็สามารถเอาชนะคนในระดับหลอมรวมนภาได้ บางครั้งหากต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายคู่ต่อสู้ระดับหลอมรวมวิญญาณก็อาจจะสู้มันไม่ได้ เพียงแต่ไป๋จูเหวินไม่ใช่แค่นั้น ในวันที่มันยังอยู่แค่ระดับผลึกวิญญาณมันกลับสามารถเอาชนะศัตรูที่มันยังเอาชนะไม่ได้ แถมในวันนี้ไป๋จูเหวินยังก้าวขึ้นมาสู่ระดับหลอมรวมปฐพีแล้ว ตัวมันยิ่งไม่สามารถสู้ได้

แถมหลินหลินอสูรแมงมุมที่มันทำไม่ได้แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วนให้ก็ยังยอมศิโรราบต่อไป๋จูเหวินอีกต่างหาก บัดนี้มันไม่เหลือความมั่นใจในตัวเองอีกแล้ว

 ย้า… หยงเวยฟาดดาบใส่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างทาง เพียงฟันทีเดียวเท่านั้นต้นไม้ก็ขาดราวกับใช้มีดตัดเต้าหู้ ดาบที่มันพึ่งได้มาเป็นดาบที่พบภายในถ้ำที่หลินหลินขุดขึ้นมา นั่นหมายความว่าดาบเล่นนี้ซ่อนอยู่ในผาหยกมานานมากแล้ว อาจจะหลายร้อยหรือหลายพันปีก็เป็นได้

แม้มันจะมีสีเขียวราวกับมรกต แต่มันกลับแข็งและทนทานอย่างมาก เรียกได้ว่าแม้แต่ฟันของหลินหลินที่เคี้ยวหยกเคี้ยวหินได้ราวกับเคี้ยวขนมยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ สุดท้ายมันก็ไม่ทราบว่าดาบเล่มนี้ทำมาจากอะไรแต่ที่มันขัดใจที่สุดก็หนีไม่พ้น รอยฟัน ของหลินหลินที่ยังค้างอยู่บนดาบ

 ยัยนั่นฟันคมขนาดไหนนะ หยงเวยว่าพลางมองดาบของตน หากไม่มีรอยกัดที่หลินหลินทิ้งเอาไว้มันคงสวยงามไร้ที่ติไปแล้วแท้ๆ

แกร๊ก! หยงเวยลองมองที่รอยกัดของหลินหลินพลางเอานิ้วสัมผัสรอยฟันที่ดาบ แต่ทันทีที่สัมผัสเศษสีเขียวที่อยู่ภายนอกก็กะเทาะออกราวกับแก้วแตก

 นี่มันอะไร หยงเวยขมวดคิ้วพลางแกะเอาเศษสีเขียวเข้มออกช้าๆ ยามนี้มันถึงได้รู้ว่าสีเขียวเข้มราวกับมรกตเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ภายในกลับปรากฏใบดาบสีเขียวใสราวกับแก้ว ดูผ่านๆอาจจะดูบอบบางแต่ความจริงแล้วสิ่งที่หลินหลินกัดไม่เข้ากลับเป็นใบดาบสีเขียวใสด้านในต่างหาก

 เคล็ดวิชา… นอกจากสีของใบดาบด้านในที่แปลกตาไปแล้ว หยงเวยยังพบว่าบนใบดาบมีเคล็ดวิชาบางอย่างสลักเอาไว้ ไม่ใช่กระบวนท่าดาบแต่กลับเป็นเคล็ดวิชาฝึกฝน แม้มันจะไม่ทราบว่าเป็นเคล็ดวิชาใดแต่การที่มันสลักอยู่บนดาบที่ฝังอยู่ในผาหยกมาเนิ่นนานนั้นอาจจะเป็นเคล็ดวิชาที่สุดยอดมากๆก็เป็นได้

กึก…หยงเวยเก็บดาบลงฝักอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครผ่านมาหยงเวยก็กลับไปที่ห้องของมันทันที ก่อนจะเริ่มอ่านเคล็ดวิชาที่เขียนอยู่บนดาบอย่างตั้งใจ

เคล็ดวิชาที่เขียนอยู่บนดาบมรกตนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า มารมรกต โดยแนวทางฝึกฝนไม่ค่อยเหมือนการฝึกฝนพลังวิญญาณเท่าไหร่นัก โดยเคล็ดวิชากล่าวอ้างถึง พลังมาร ที่สามารถนำมาฝึกฝนแทนพลังวิญญาณได้ มีพลังเทียบเท่าพลังเทวะหรือพลังเซียนเลยก็ว่าได้ หากฝึกฝนสำเร็จจะแข็งแกร่งและทรงพลังในเวลาอันสั้น

หลังจากได้ลองอ่านดูแล้วหยงเวยก็รู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ตัวมันเป็นพวกเรียนรู้ไวเพียงอ่านทบทวนไม่กี่ครั้งก็พอจะเข้าใจเคล็ดการฝึกฝน เลยทดลองฝึกฝนดูหากไม่เกิดผลก็คงไม่เสียหายอะไรมาก

วูบ..ราวกับโชคชะตาเป็นใจ เพียงเริ่มฝึกฝนร่างกายของหยงเวยก็สั่นสะท้าน ทั่วร่างรู้สึกเย็นวาบราวกับอากาศหนาวเหน็บขึ้นมาแถมหัวใจยังเต้นแรงจนสัมผัสได้ เพราะวินาทีนั้นในจุดตันเถียนของมันกลับปรากฏพลังบางอย่างที่ไม่ใช่พลังวิญญาณ ไม่ใช่พลังอสูร….

 นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หยงเวยว่าพลางกำหมัดแน่น ทันทีที่พลังดังกล่าวเข้ามาในร้างหยงเวยก็สัมผัสได้ทันทีว่ารอบกายของมันมีพลังดังกล่าวอยู่มากมายราวกับมันมีอยู่ทั่วไปในอากาศเพียงแต่มันไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย

ฟุบ! ร่างของหยงเวยทะยานออกไปนอกหอพักก่อนจะออกจากสำนักไปอย่างง่ายดายเพราะเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ต่างเดินทางไปร่วมงานชุมนุมกันจนหมด ไม่นานตัวมันก็ออกมานอกเมืองเพื่อที่จะตรงไปยังถ้ำหยกที่หลินหลินเคยขุดเอาไว้

 ….. เหตุผล 2 ข้อที่หยงเวยเดินทางมาที่ถ้ำหยกของหลินหลินนั้น 1 คือมันต้องการฝึกฝนอย่างเงียบๆไม่ให้ใครเข้ามายุ่งและ 2 ไม่ทราบทำไมภายในถ้ำหยกถึงมีพลังดังกล่าวที่น่าจะเป็นพลังมารที่เคล็ดวิชาได้กล่าวเอาไว้

แกรก…ทันทีที่หยงเวยเข้าไปในถ้ำ เสียงๆหนึ่งก็ดังออกมาจากภายในถ้ำทำเอาหยงเวยชักเท้าลงทันที

 พี่เวย นั่นท่านเหรอ เสียงภายในถ้ำตอบรับมาด้วยเสียงที่มันจำได้ดี มันคือเสียงของหลินหลินนั่นเอง

 เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หยงเวยถามพลางเดินเข้าไปอย่างโล่งอก ถ้าเป็นหลินหลินก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่นางจะมาอยู่ที่นี่

 พี่ไป๋เอาแหวนมิติให้ข้าใช้ ข้าเลยมาเอาหยกเก็บใส่แหวน หลินหลินว่าพลางใช้มือเก็บก้อนหยกที่ตกอยู่บนพื้น

 ถ้าอย่างนั้นเจ้าเอาหยกในแหวนของข้าไปใส่ด้วยก็แล้วกัน หยงเวยว่าพลางเอาหยกออกมาจากแหวน

 อื้อ หลินหลินตอบรับด้วยรอยยิ้มพลางเก็บหยกที่หยงเวยนำออกมาใส่แหวน แต่ถึงจะเก็บหมดแล้วหลินหลินก็ยังกะเทาะหยกออกแล้วเก็บใส่แหวนต่อทันที

 แหวนวงนั้นจุขนาดไหนกัน หยงเวยถามพลางมองแหวนที่นิ้วของหลินหลิน หยกที่มันนำออกมากินพื้นที่ไป 8 ใน 10 ของแหวนที่มันมีเลย แต่หลินหลินกลับใส่หยกจำนวนนั้นเข้าไปจนหมดแถวยังทำท่าจะขุดต่ออีกต่างหาก

 ใหญ่มากเลยยยยยย ใหญ่อย่างกับภูเขาแนะ หลินหลินว่าพลางหยิบเอาก้อนหยกเข้าแหวนอย่างสบายใจ แต่เดิมแหวนวงนี้เป็นของคนๆหนึ่งที่ครอบครองของวิเศษมากมาย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะมีแหวนที่มีความจุมหาศาลเช่นนี้ได้

 งั้นข้าจะช่วยเจ้าแล้วกัน หยงเวยว่าพลางเอาดาบมรกตออกมาฟันผนังหยกอย่างรวดเร็ว มันอยากได้ถ้ำไว้ฝึกฝน การที่มันช่วยหลินหลินให้เก็บหยกได้ตามที่นางต้องการให้ไวที่สุดถือว่าเป็นประโยชน์กับมันมาก

 แฮกๆ หยงเวยหอบหายใจเบาๆหลังจากวาดท่าดาบมากว่า 2 ชั่วโมง มันฟันผนังถ้ำลึกเข้ามาเป็นกิโลเลย แต่แหวนของไป๋จูเหวินกลับยังไม่เต็มเสียที

 ใกล้เต็มหรือยัง หยงเวยถามพลางหอบหายใจออกมา

 พึ่งจะครึ่งเดียวเอง หลินหลินว่าพลางยิ้มกว้าง ภายในแหวนตอนนี้แม้จะกินพื้นที่เพียงครึ่งเดียวแต่นางก็ได้หยกเป็นจำนวนมากมาแล้ว อย่างน้อยช่วงนี้นางก็ไม่ขาดอาหารแน่นอน

 วันนี้พอเท่านี้เถอะ หยงเวยว่าพลางเก็บดาบลง ใครจะไปคิดว่าแค่ขุดหยกออกมาให้หลินหลินจะเสียแรงขนาดนี้ ทำไมไป๋จูเหวินต้องให้แหวนความจุเยอะขนาดนี้กับหลินหลินด้วย

 อื้ม งั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาอีก หลินหลินว่าพลางยิ้มกว้าง นางบอกลาหยงเวยแล้วเดินกลับออกไปอย่างว่าง่าย ทั้งนี้เพราะไป๋จูเหวินบอกให้นางกลับไปเจอที่ยอดผาหยกนั่นเอง ส่วนทางด้านหยงเวยนั้นก็รีบนั่งลงกับพื้นเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่ที่มันพึ่งได้มาทันที

 ฮ่า… หยงเวยระบายลมหายใจออกมาช้าๆพลางซึมซับพลังมารที่ค่อยๆไหลเข้ามาในร่างกายอย่างช้าๆ แม้มันจะเสียเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมงแต่ก็ไม่ใช่ 2 ชั่งโมงที่สูญเปล่า เพราะถ้ำหยกแห่งนี้มีพลังมารหนาแน่นกว่าข้างนอกมาก ยิ่งขุดเข้ามานานเท่าไหร่พลังมารก็ยิ่งมาก บางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่หลินหลินขุดเข้ามาข้างในตั้งแต่แรกก็เป็นได้

วุบ ร่างของหยงเวยเย็นสะท้านอีกครั้งด้วยพลังมารที่หลั่งไหลเข้ามา แต่คราวนี้มันไม่ได้ตกใจเหมือนครั้งแรกเพราะมันทำใจรับเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่นานความรู้สึกเย็นก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสดชื่น ไม่นานพลังมารก็เข้ามาอยู่ทั่วร่างของมัน

 อัก อยู่ๆหยงเวยก็กระอักเลือดออกมา เพียงแต่ไม่ใช่แค่เลือดเท่านั้นที่มันกระอักออกมา ยามนี้ร่างของมันค่อยๆสูญเสียพลังวิญญาณไปช้าๆราวกับลูกโป่งมีรอยรั่ว ทุกครั้งที่พลังมารเข้ามาแทรกแซงพลังวิญญาณก็โดนขับไล่ออกไป ยิ่งมันได้พลังมารมาเท่าไหร่ระดับพลังวิญญาณของมันก็ค่อยๆลดลงช้าๆพร้อมเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมาจากร่าง

 อากกกก ร่างของหยงเวยล้มลงนอนกับพื้นด้วยความทรมาน ตอนนี้มันพยายามจะหยุดพลังมารไม่ให้ไหลเข้ามาและพยายามจะรักษาพลังวิญญาณของมันเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดพลังทั้งสองเอาไว้ได้เลย พลังมารที่มันปล่อยให้เข้ามายามนี้ราวกับได้พบเจ้าของ มันพากันเข้ามาในร่างโดยไม่ต้องให้หยงเวยต้อนรับเลยแม้แต่น้อย

 อัก ในที่สุดร่างของหยงเวยก็หยุดเกร็ง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดหายไป แต่เพราะสติของมันขาดหายไปแล้วเท่านั้น แต่ดูเหมือนพลังมารจะไม่ปล่อยให้หยงเวยได้หลับอย่างสบายนัก…..

ฟิ้วววว….. อยู่ๆภาพตรงหน้าของหยงเวยก็ปรากฏหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่หาได้ทั่วไปตามชนบท อยู่ท่ามกลางป่าและลำธารดูสงบสุขและร่มรื่น เพียงแต่ในสายตาของหยงเวยนั้นหมู่บ้านแห่งนี้คือสิ่งที่มันไม่อยากเห็นเป็นที่สุด

 ท่านพ่อ…. หยงเวยมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง พ่อของมันที่ควรจะตายไปแล้วกำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวนางนั้นงดงามจนไม่เหมือนหญิงสาวในหมู่บ้านจนๆแห่งนี้ แต่ภาพที่พ่อของหยงเวยกำลังโอบร่างของหญิงสาวคนนั้นกลับทำให้หัวใจของหยงเวยแทบหยุดเต้น

 หยงเวย เจ้าไปเล่นที่ไหนมา แม่เตรียมอาหารเอาไว้ให้เจ้าแล้ว เสียงที่ดูอ่อนนุ่มราวกับเสียงสายลมแผ่วเบาดังมาจากหญิงสาวตรงหน้า นางยื่นถ้วยที่มีเนื้อย่างมาให้หยงเวยด้วยท่าทีเอ็นดู เพียงแต่สีหน้าของหยงเวยยามนี้กลับซีดเผือดราวกับคนตาย

 นังปีศาจ หยงเวยคำรามลั่นก่อนจะปัดจานในมือของหญิงสาว วินาทีนั้นหญิงสาวยิ้มพลางมองมาที่มันด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป

 เข้ารู้แล้วสินะ หญิงสาวคำรามด้วยน้ำเสียงแหลมแสบแก้วหู ก่อนที่ใบหน้าของนางจะยื่นยาวออกมาราวกับเดรัจฉาน

 เจ้ามารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว เสียงแหลมแสบแก้วหูของนางดังกังวานในโสตประสาทของหยงเวย ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นภาพของหมู่บ้านที่โดนอสูรจิ้งจอกทำลายจนย่อยยับ ท่านลุงท่านป้าแม้แต่ท่านพ่อก็ตายจนหมด ไม่มีใครเหลือในหมู่บ้านเลยนอกจากตัวหยงเวยเพียงผู้เดียว ภาพความทรงจำสุดท้ายที่มันจำได้มีเพียงใบหน้าของอสูรจิ้งจอกมีแต่คราบเลือดเต็มร่างเท่านั้น

 แก หยงเวยกัดฟันแน่นพลางควานหาอาวุธ ในที่สุดมันก็คว้าได้ดาบสีเขียวเล่มหนึ่งมาไว้ในมือ พริบตานั้นมันพยายามวิ่งไล่ตามอสูรจิ้งจอกไปอย่างไม่ลดละ แต่มันก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพลางหันมาหัวเราะด้วยท่าทีเยาะเย้ยอีกต่างหาก

 จะฆ่าข้าเหรอ ฝันไปเถอะเจ้าหนู อสูรจิ้งจอกหัวเราะพลางวิ่งนำหน้าหยงเวยไปอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นไอเย็นก็แผ่พุ่งออกมาจากทั่วร่างของหยงเวย ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่อสูรจิ้งจอกอย่างรวดเร็ว

 แก อสูรจิ้งจอกคำรามหลังจากโดนหยงเวยจับตัวได้ พริบตานั้นหยงเวยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นมันแทงดาบมรกตเข้าไปอย่างแรงจนดาบทะลุร่างของอสูรจิ้งจอกไป พริบตานั้นอสูรจิ้งจอกหันมาหัวเราะครั้งหนึ่งก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป

 …… ภาพตรงหน้าหยงเวยยังคงเป็นศพของอสูรจิ้งจอก เพียงแต่มันไม่ใช่อสูรจิ้งจอกตัวที่ทำลายหมู่บ้านของมัน แต่กลับเป็นอาจารย์อสูรที่อยู่ในสำนักเขี้ยวมังกร

 จะ เจ้า.. อาจารย์จิ้งจอกกระอักเลือดออกมาก่อนจะค่อยๆสลายหายไปเหลือไว้แต่แก่นอสูรและเครื่องประดับเท่านั้น

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 73 มาร

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท