บทที่ 98 การพัฒนาอย่างรวดเร็ว
การเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดครั้งที่ 3 นี้ สภาพจิตใจของซูเฉินได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ซูเฉินไม่ได้กลัวอันตรายจากภูเขาอีกต่อไป ในการเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือด ครั้งแรกนั้นเขาพยายามเอารอดชีวิตกลับไปโดยที่หลังของเขาชนติดกำแพง ในการเดินทางครั้งที่ 2 เขาพยายามระมัดระวังตัวและไม่เข้าไปลึกจนเกินไป ทว่าการเดินทางครั้งที่สามนี้ ซูเฉินมีพลังมากพอที่จะดูถูกเทือกเขาได้อย่างแท้จริงแล้ว
ด้วยทักษะต้นกำเนิดทั้ง 7 อย่างและเครื่องมือต้นกำเนิดจำนวนมาก ตลอดจนทรัพยากรและการเตรียมการอีกมากมาย ทำให้ซูเฉินมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เขาย่อมต้องการที่จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อน ๆ
ครั้งนี้ซูเฉินเข้าไปด้วยความตั้งใจที่จะเก็บเกี่ยวรางวัลและผลประโยชน์
เขามุ่งตรงไปยังส่วนลึกของเทือกเขาสีเลือด โดยไม่มีการอ้อมไม่มีการเลี้ยว ไม่มีการถอยหรือหยุดชั่วคราว สิ่งที่ซูเฉินทำคือการมุ่งตรงไปข้างหน้า หากเขาเจอเข้ากับสัตว์อสูรเขาก็จัดการมัน นี่คือทัศนคติในยามนี้ของซูเฉินและกังเหยียน
พวกเขาเดินทางตรงเข้าไปเป็นเวลาสามวัน ก่อนที่จะมาถึงยอดเขาหมื่นเสียงเรียก
ยอดเขาหมื่นเสียงเรียกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาสีเลือด ใช้เวลาเดินทาง 2 วันจากหุบเหวโลหิต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งกว่าหุบขามรกตก่อนหน้านี้เสียอีก
ในสถานที่แห่งนี้ สิ่งที่ซูเฉินได้พบไม่ใช่สัตว์อสูรตัวเดียวอีกต่อไป หากแต่เป็นฝูงของพวกมัน ในบางครั้งสัตว์อสูรระดับกลางก็มีปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน
สัตว์ร้ายระดับกลางเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณขั้นปลาย
สิ่งที่แตกต่างคือผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับสูง ไม่สามารถวัดความแข็งแกร่งจากระดับของพวกเขาเพียงอย่างเดียวได้ แต่ระดับของสัตว์อสูรนั้นถูกกำหนดขึ้นตามความแข็งแกร่งของมันโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับสูงบางคนอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด แต่สัตว์อสูรระดับสูงนั้นแข็งแกร่งในระดับเดียวกับชื่อของพวกมันจริง ๆ
ดังนั้นความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างสัตว์อสูรระดับกลางกับสัตว์อสูรระดับต่ำจึงห่างกันอยู่หลายเท่า ผู้คนจึงไม่ควรมองข้ามหรือประมาทพวกมัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เลยมักจะใช้ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเป็นมาตรฐาน ในการวัดพลังการต่อสู้ของคน ๆ หนึ่ง
ในคืนที่เดินทางมาถึงยอดเขาหมื่นเสียงเรียก ซูเฉินและกังเหยียนก็ได้เผชิญหน้าเข้ากับสัตว์อสูรระดับกลาง
หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ ซูเฉินก็สังหารเป้าหมายของเขาลงได้สำเร็จ
ซูเฉินฆ่าสัตว์อสูรด้วยตนเองโดยไม่มีกังเหยียนเข้ามาช่วย เป็นการยืนยันได้ดีว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาได้มาถึงขั้นปลายสุดของผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว
ในคืนนั้น หลังจากที่ซูเฉินกับกังเหยียนดูดซับจุดแสงต้นกำเนิดของสัตว์อสูรเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็กล่าวว่า เอาที่นี่แหละ
กังเหยียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็หยิบขวดยาขนาดเล็กออกมาแล้ววางลงบนพื้น
ยาล่อสัตว์อสูร
ซูเฉินใช้มันบ่อยขึ้นยิ่งกว่าครั้งก่อน คราวนี้เด็กหนุ่มกล้าใช้ยาล่อสัตว์อสูรมากขึ้น เขาใช้ไปเกือบ 1/3 ของขวดในครั้งเดียว
ผลลัพธ์ของการใช้ยาปริมาณ 1/3 ของขวดสามารถเห็นได้ในทันที
หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ เริ่มมาใกล้พวกเขามากขึ้น
มากันแล้ว พวกมันมีกันอยู่ 6 ตัว ระดับกลาง 2 ตัว ล่างอีก 4 ตัว ซูเฉินยิ้มขึ้น ขณะที่เขามองออกไปไกล ๆ
พวกมันมีกันเยอะมาก กังเหยียนกล่าวด้วยเสียงต่ำ
ไม่มีปัญหา เปิดใช้งานเขตแดนภาพลวงตา ซูเฉินยิ้ม
กังเหยียนหยิบแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาและวางมันลงบนพื้น
แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดอันนี้สามารถสร้างเขตแดนภาพลวงตาระดับต่ำเพื่อดักจับคนเอาไว้ด้านในได้ และช่วยให้ซูเฉินกับกังเหยียนมีโอกาสโจมตีอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามราคาของมันค่อนข้างที่จะแพงและสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น
เช่นเดียวกับในธุรกิจ มีเพียงผู้ที่มีเงินทุนมากพอเท่านั้นที่จะสามารถลงทุนเพิ่มได้มากขึ้นและได้รับกำไรมากขึ้น วันนี้แผนสำรองของซูเฉินไม่ใช่แค่กระโดดลงตาข่ายเชือกใต้หน้าผาอีกต่อไป
การลงทุนที่มากขึ้นจะทำให้เกิดแผนสำรองที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมันจะทำให้ซูเฉินสามารถต้านทานและจัดการกับอันตรายที่ใหญ่กว่าเดิมได้
ฝูงสัตว์อสูรกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันคือฝูงหมาป่าแสงจันทร์ จ่าฝูงหมาป่าพวกนี้คือ 1 ในสัตว์อสูรระดับกลาง
หมาป่าแสงจันทร์เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากในเวลากลางคืน พวกมันออกหากินในเวลากลางคืน เคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับสายลม พวกมันสามารถปลดปล่อยการโจมตีในรูปแบบใบมีดที่สามารถใช้ร่วมกับการพุ่งเข้าจู่โจมได้ การประสานงานของพวกมันจัดได้ว่ายอดเยี่ยม ก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับมาในจังหวะที่พร้อมเพรียง และไม่กลัวความตาย การจัดการ กันหมาป่าแสงจันทร์ 6 ตัวพร้อม ๆ นั้นยากยิ่งกว่าการจัดการสัตว์อสูรระดับกลาง 2-3 ตัวรวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกมันคงไม่มีโอกาสได้แสดงพลังของการประสานงาน …
ภาพลวงตาที่สับสนทำให้ฝูงหมาป่ากระจัดกระจายออก พวกมันส่งเสียงหอนเรียกหากันดังขึ้นไปทั่ว แต่ก็ไม่สามารถหาเพื่อนรวมฝูงเจอ
ซูเฉินกับกังเหยียนเป็นเหมือนมือสังหารในหมอกหนาทึบ เดินผ่านไปมาในสายหมอกอย่างสบายใจ คอยตีกรอบล้อมและล่าสังหารสัตว์อสูรลงทีละตัว
ที่นี่ไม่มีการต่อสู้ที่ยุติธรรมและไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง มีเพียงการสังหารที่โหดเหี้ยม เมื่อทั้งคู่ใช้ความได้เปรียบแบบ 2 ต่อ 1 เพื่อฆ่าคู่ต่อสู้จากนั้นดูดซับจุดแสงพลังต้นกำเนิดของพวกมัน
ฉัวะ!
คมมีดส่องแสงสว่างวาบ
หมาป่าแสงจันทร์ได้หงายล้มลงพร้อมกับเสียงครวญครางโหยหวน
ซูเฉินชี้นิ้วขึ้นไปในอากาศและกังเหยียนก็เลียนแบบการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม พวกเขาเริ่มดูดซับพลังต้นกำเนิดอันล้ำค่าที่ลอยอยู่ในอากาศ
เมื่อจุดแสงพลังต้นกำเนิดหายไป พวกเขาจะตรงไปหาตัวอื่นแล้วทำซ้ำแบบเดิมอีกครั้ง
สู้ ฆ่า ดูดซับ ทำซ้ำแบบเดิมอีกครั้ง
การบ่มเพาะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นในทันที ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วยพลังต้นกำเนิด แม้แต่การต่อสู้ก็ง่ายขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดและยาล่อสัตว์อสูร ทั้งหมดนี้ทำให้ฝูงหมาป่าแสงจันทร์ถูกพวกเขากำจัดได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหมาป่าแสงจันทร์ถูกจัดการไปหมดแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนักสัตว์อสูรอีก 2 ตัวก็ปรากฏขึ้น แล้วโยนตัวเองเข้ามาในกับดัก
ซูเฉินกับกังเหยียนก็ลงมือทำซ้ำแบบเดิมอีก จนกระทั่งผลจากแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดและยาล่อสัตว์อสูรหมดลง ทั้ง 2 ได้ฆ่าสัตว์อสูรไปถึง 11 ตัว เพียงจำนวนแค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้กังเหยียนตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
สัตว์เหล่านี้คือสัตว์อสูร ไม่ใช่หัวผักกาดขาวอันใหญ่แต่อย่างใด !
อย่างไรก็ตามพวกมันเกือบทั้งหมดถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ราวกับผัก พลังต้นกำเนิดทั้งหมดถูกซูเฉินกับกังเหยียนดูดซับไป หนังถูกถลก กระดูกถูกเลาะ เลือดกับเนื้อก็ถูกพวกเขากินไปจนหมด
ในช่วงเวลานั้นกังเหยียนรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดค่อนข้างเกินจินตนาการของเขาไปมาก ราวกับว่าเขากำลังฝันไป
ทว่ารากฐานการบ่มเพาะของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก บอกตัวกังเหยียนเองว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่น่าอัศจรรย์
พลังต้นกำเนิดจากสัตว์อสูรทั้ง 11 ตัวได้ทำให้ความแข็งแกร่งของกังเหยียนเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งดาวเหลือง สำหรับชนเผ่าหินผาแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนและพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะบรรลุได้เช่นนี้
เนื่องจากอัตราการดูดซับของซูเฉินที่เป็นเผ่ามนุษย์นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าหินผา ดังนั้นรากฐานการบ่มเพาะของเขาจึงได้ดาวเหลืองเพิ่มขึ้นมาเต็มดวง
เบื้องหลังของการพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นนี้คือเงินจำนวนมหาศาล
แม้ว่ายาล่อสัตว์อสูรจะมีราคาถูกกว่ายาขับไล่สัตว์อสูร แต่มันก็ยังมีราคาถึง 200 หินพลังต้นกำเนิดต่อขวด ส่วนแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดนั้นแพงเสียยิ่งกว่า สามารถเปิดใช้งานได้เพียง 3 ครั้งและมีราคาถึง 500 หินพลังต้นกำเนิด ซึ่งหมายความว่าในการเปิดใช้งาน 1 ครั้งตกอยู่ที่ราคาประมาณ 160-170 หินพลังต้นกำเนิด
ค่าใช้จ่ายของการฝึกฝนก่อนหน้านี้มีราคาตกอยู่ที่ประมาณ 230 หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ ในขณะที่หนังของสัตว์อสูรระดับต่ำ 10 ชิ้นกับสัตว์อสูรระดับกลาง 1 ชิ้นนั้น มีมูลค่าแค่ไม่เกินหินพลังต้นกำเนิด 15 ก้อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือวิธีการฝึกฝนเมื่อครู่ของพวกเขา เท่ากับการเสียหินพลังต้นกำเนิดคุณภาพต่ำไปมากกว่า 200 ก้อนแล้ว
ดังนั้นหากไม่มีเงินทุนเพียงพอก็ไม่มีทางที่จะฝึกด้วยวิธีแบบนี้ได้เลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่นที่ไม่สามารถมองเห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของจุดแสงพล้งต้นกำเนิด ที่ซูเฉินทำได้ก็เพราะความมั่งคั่งและสายตาคู่ใหม่ที่มีคุณสมบัติพิเศษของเขา
ซูเฉินกับกังเหยียนฝึกฝนด้วยวิธีการนี้เป็นเวลากว่า 10 วันแล้ว ความเร็วของการบ่มเพาะของพวกเขากำลังก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ราวกับได้กลืนยาเม็ดล้ำค่าไปมากมาย
เนื่องจากความเร็วในการเก็บกวาดสัตว์อสูรของพวกเขานั้นเร็วเกินไป บ่อยครั้งซูเฉินกับกังเหยียนจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่ง ไปยังที่ที่มีสัตว์อสูรมากขึ้น
วันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ซูเฉินสามารถจัดการสัตว์อสูรทั้ง 7 ตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยความช่วยเหลือจากยาล่อสัตว์อสูร เขากล่าวว่า ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีอะไรดีอีกแล้ว เตรียมตัวไปที่อื่นกันดีกว่า
เราควรจะเข้าไปลึกกว่านี้อีกดีหรือไม่ นายท่าน? กังเหยียนถาม
ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัว ลืมมันไปเถอะ ความปลอดภัยต้องมาก่อน
เขาไม่ได้วางแผนที่จะหาความเสี่ยงเพิ่ม ดังนั้นซูเฉินจึงตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปทางตะวันตก
ในตอนนั้นเอง ทันใดนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธก็ดังขึ้น ซูเฉิน ในที่สุดข้าก็พบตัวเจ้า!
เมื่อหันกลับไปเผชิญหน้ากับเสียงเรียกดังกล่าว ซูเฉินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เป็นเจ้า?