ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) – ตอนที่ 4 ท่านพ่อ

ตอนที่ 4 ท่านพ่อ

ห้องหนังสือของอวี้เหวินถูกจัดให้อยู่ในเรือนข้างฝั่งทิศตะวันตกของเรือน เป็นห้องใหญ่ขนาดกว้างขวางห้องหนึ่ง ผนังสี่ด้านมีหนังสือกองสุม โต๊ะหนังสือหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างโต๊ะมีอ่างลายครามวางอยู่หลายใบ ในอ่างม้วนภาพวาดสูงๆ ต่ำๆ เสียบอยู่ บนโต๊ะหนังสือมีอ่างปลาหลากสีใบเล็กตั้งอยู่ เลี้ยงปลาทองสีแดงกับสีดำเอาไว้อย่างละตัว

อวี้ถังดันหลังบิดาเข้าไปในห้องหนังสือ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมาทวงหยกแท่งก้อนนั้น นางต้องการหารือกับอวี้เหวินถึงอาการป่วยของมารดา

ก่อนที่บิดาจะกลับมา นางได้ขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชาติก่อนที่ครอบครัวนางต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ดูคล้ายว่ามีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ตามจริงแล้วเป็นเพราะอาการป่วยที่รักษาไม่หายขาดของมารดาต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้น

หากนางต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชาติก่อน จำต้องลงมือจากเรื่องการเจ็บป่วยของมารดา

มีเพียงรักษาอาการป่วยของมารดาให้หายขาด บิดาของนางจะได้เลิกร้อนใจวิ่งเสาะหาหมอไปทั่วสารทิศ เลิกเชื่อคำคนเป็นจริงเป็นจังเพียงเพราะได้ข่าวลือเบาๆ เพียงเสียงลมพัด แล้วพามารดาเดินทางไปรักษาตัวทุกที่ ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติ หากจะหมดก็ให้หมดสิ้นไป รักษาคนไว้ได้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 ท่านพ่อ ท่านมิใช่ไปหาหมอหลวงหยางที่เมืองซูโจวหรือเจ้าคะ?  อวี้ถังจับกระถางไผ่ใบเกล็ดที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือเล่น  ท่านหมอหลวงหยางว่าอย่างไรเจ้าคะ? อาการป่วยของท่านแม่เขารักษาได้หรือไม่? 

อวี้เหวินยังเห็นอวี้ถังเป็นเพียงเด็กน้อย ตอบว่า  นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้ารับผิดชอบอยู่เป็นเพื่อนมารดาของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว อาการป่วยของมารดาเจ้า มีข้าอยู่แล้วนี่ไง! 

อวี้ถังเอื้อมมือไปเด็ดไผ่ใบเกล็ดออกมากิ่งหนึ่ง แล้วแกล้งแหย่ปลาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างเล่น  ท่านพ่อเลิกมองข้าเป็นเด็กเล็กๆ ได้แล้ว เรื่องที่ถนนฉางซิ่งไฟไหม้ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ายังไปดูความวุ่นวายด้วยอยู่เลย และข้าก็ยังช่วยป้าสะใภ้ปิดบังเรื่องนี้จากท่านแม่ จนถึงวันนี้กระทั่งข่าวลือเล็กๆ ก็ไม่มีกระเด็นเข้าหู แม้แต่ป้าสะใภ้ยังเอ่ยชมข้าเลยนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินประหลาดใจยิ่ง มองดูบุตรสาวก่อกวนปลาทองสองตัวในอ่างจนว่ายน้ำวุ่นวายไปหมด เขาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  เจ้าดูสภาพเจ้าสิ แหย่แมวไล่สุนัขไปวันๆ มีตรงไหนเหมือนเด็กสาวที่โตแล้วบ้าง? ข้าจะมองเจ้าว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้อย่างไร? 

ตลอดเจ็ดปีที่อยู่ในสกุลหลี่ช่างขมขื่นนัก หากนางไม่มองหาความสำราญท่ามกลางความทุกข์ระทม เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้

อวี้ถังแกล้งเอ่ยอย่างขุ่นเคือง  แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องโตเป็นผู้ใหญ่หรือเจ้าคะ? ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังตะกละกินขนมแห้วของร้านทิวนอกเขาอยู่มิใช่หรือ 

อวี้เหวินกระแอมเสียงสองทีอย่างเคอะเขิน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา  ช่วงนี้อาการของมารดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? นางชอบปิดบังข้า ข้าไม่เคยรู้ความจริงเสียที! 

อวี้ถังรอประโยคนี้ของบิดาอยู่พอดี นางรีบกล่าว  ท่านไม่บอกความลับของท่าน ข้าก็ไม่อยากบอกความลับของข้าให้ท่านฟังเช่นกัน 

 ไอหยา! เจ้าตัวกลมของเรารู้จักต่อรองเสียแล้วสิ  อวี้เหวินกระเซ้าบุตรสาว เขาช้อนตาขึ้นมองสีหน้าจริงจังของนาง ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาระลอกหนึ่ง คล้ายว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา บุตรสาวของเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เพียงรู้ความ แต่ยังรู้จักห่วงใย ใส่ใจ และเข้าอกเข้าใจผู้เป็นบิดามารดา

สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งทอดถอนใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อื่นล้วนบอกว่าเขาตามใจบุตรสาวเกินพอดี ทว่าบุตรสาวของเขาหาได้ถูกตามใจจนเสียนิสัยสักนิดไม่

ทั้งยิ่งกตัญญูรู้คุณขึ้นทุกวัน

อวี้เหวินจึงเคารพความต้องการของบุตรสาว

ตัดสินใจมอบหยกแท่งที่บุตรสาวปรารถนาก้อนนั้นให้นางไปเล่นเสีย

ทางหนึ่งเขาก็รื้อกล่องหาหยกแท่ง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า  ข้าไม่ได้พบหมอหลวงหยางหรอก ลูกศิษย์ของเขาบอกว่า หมอหลวงหยางนั้นได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นที่มือสองข้างจึงไม่อาจรักษาใครได้อีก ถึงได้ลาออกมาจากสำนักหมอหลวง แล้วข้าจะดึงดันพบเขาให้ได้ได้อย่างไร 

อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย

ชาติก่อน หลังจากหมอหลวงหยางเดินทางกลับบ้านเก่าก็ไม่ได้รักษาโรคอีก นางนึกว่าหมอหลวงหยางชราภาพร่างกายทรุดโทรม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้

นางเอ่ยต่อว่า  ท่านพ่อ อาการป่วยของท่านแม่ ใช่ว่าต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหลวงหยางเท่านั้นหรือ? 

ถ้าท่านพ่อคิดจะพาท่านแม่เดินทางไปเขาผู่ถัว ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องขัดขวางให้จงได้

อวี้เหวินหาหยกแท่งก้อนนั้นเจอในที่สุด ก่อนจะตัดสินใจค้นหากล่องที่เหมาะสมสักใบมาใส่หยกแท่งให้นาง

เขาเริ่มรื้อตู้และคว่ำกล่องอีกครั้ง  ลุงหลู่ของเจ้าเป็นคนแนะนำหมอหลวงหยางให้ข้า บอกว่าหมอหลวงหยางแต่ก่อนอยู่ในวังหลวงก็เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรี ตอนที่พระพันปีตั้งพระครรภ์ฮ่องเต้ก็มีหมอหลวงหยางคอยให้การดูแล โรคเก่าของมารดาเจ้าเหลือทิ้งไว้หลังจากที่คลอดเจ้าออกมา แน่นอนว่าไปหาหมอหลวงหยางย่อมจะดีที่สุด 

ลุงหลู่มีชื่อว่าหลู่ซิ่น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของนาง สองคนคบหาสนิทสนมกัน เขาก็คือคนที่ขายภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ให้กับบิดาของนาง เขายังเคยกล่อมให้บิดานางแต่งตำรากลอนขาย หลอกล่อให้บิดาควักเงินก้อนใหญ่ ผลสุดท้ายได้ตำรากลอนที่กลอนมากกว่าครึ่งเล่มเป็นของเขา ไม่มีผู้ใดจดจำบิดาของนางผู้ซึ่งเป็นคนออกทุนได้ ทว่ากลอนของหลู่ซิ่นกลับค่อยๆ ถูกเผยแพร่ออกไปด้วยเหตุฉะนี้เอง

อวี้ถังถึงได้ไม่ชอบคนผู้นี้ จึงบอกว่า  ไม่ว่าเรื่องใดท่านก็อย่าเชื่อเขาไปเสียหมด ในเมื่อเขารู้ว่าหมอหลวงหยางขอลาออกกลับบ้านเก่า แล้วทำไมไม่สืบต่ออีกสักหน่อยเล่าว่าเขาลาออกด้วยเหตุผลใด? ผลกลับทำให้ท่านพ่อต้องวิ่งวุ่นเหนื่อยเปล่า ซ้ำทำให้ท่านแม่ต้องคอยห่วงกังวลอีก 

ในที่สุดอวี้เหวินก็หากล่องแกะสลักสีแดงใบเล็กที่เหมาะสมเจอ เขานั่งลงบนเก้าอี้เกือกม้าที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ  เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนี้ ลุงหลู่ของเจ้าทำไปเพราะหวังดี ไม่เพียงเดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนข้าด้วยตนเอง ทั้งยังช่วยข้าสืบเรื่องหมอหลวงอีกคนนามว่าหวังไป๋ที่เก็บตัวอยู่บนเขาผู่ถัวอีกด้วย ทว่าหวังไป๋เชี่ยวชาญด้านเด็กเล็ก ไม่รู้จะรักษามารดาเจ้าให้หายได้หรือไม่? 

ที่แท้เรื่องเขาผู่ถัวก็เกี่ยวพันกับหลู่ซิ่นด้วย

อวี้ถังขุ่นเคืองหนัก กล่าวด้วยความโมโห  ท่านพ่อ ลุงหลู่เดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนท่าน เป็นท่านที่ออกเงินให้หรือว่าเป็นเขาที่ออกเงินเองเจ้าคะ? 

อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า  เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมคิดเล็กคิดน้อยนักเล่า? 

นางรู้อยู่แล้วว่าหลู่ซิ่นหลอกใช้บิดานาง

อวี้ถังเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธว่า  ข้ากลับรู้สึกว่า ในเมื่อลุงหลู่รู้จักเหล่าหมอหลวงดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่แนะนำให้ท่านพาท่านแม่ไปหาหมอที่เมืองหลวงเสีย อย่างไรในเมืองหลวงก็มีหมอหลวงเดินอยู่ให้ทั่ว คนนี้ใช้ไม่ได้ก็ยังมีคนโน้น อย่างไรก็ต้องมีคนที่รักษาอาการของท่านแม่ได้แน่เจ้าค่ะ 

อวี้เหวินหลุดหัวเราะ  เจ้าคิดว่าหมอหลวงเป็นตัวอะไร? ถึงจะได้เดินอยู่ทั่ว! ลุงหลู่ของเจ้าเป็นห่วงข้า ถึงได้คอยติดตามข่าวของหมอหลวงให้เป็นพิเศษ เจ้าจะพูดจาถึงลุงหลู่เช่นนี้ไม่ได้ ไม่ถูกมารยาทเลย 

อวี้ถังอย่างไรก็จะเกลี้ยกล่อมให้บิดาพามารดาไปรักษาที่เมืองหลวงให้ได้

ขอเพียงหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายนั้น นางก็จะรักษาครอบครัวไว้ได้ ครอบครัวของนางก็จะอยู่กันพร้อมหน้าและสงบสุข

อวี้เหวินฟังอวี้ถังพูดจนเริ่มเอนเอียง แต่การเดินทางไปเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ หากว่าตัดสินใจแล้ว ย่อมจะมีหลายสิ่งต้องตระเตรียม

เขาลองหยิบหยกแท่งใส่ลงในกล่อง เอ่ยอย่างใจลอยว่า  นี่เป็นหยกแท่งที่เจ้าอยากได้หนักหนา เก็บรักษาให้ดี อย่าได้ทำหายล่ะ ของสิ่งนี้ข้าแย่งมาจากมือลุงหลู่ของเจ้าเชียวนะ! 

อวี้ถังในตอนนี้กระทั่งชื่อก็ไม่อยากจะได้ยินเพิ่มสักคำแล้ว  เช่นนั้นข้าไม่แย่งของรักของผู้อื่นหรอกเจ้าค่ะ ท่านยกแท่นฝนหมึกรูปใบบัวอันนั้นให้ข้าก็แล้วกัน! 

 ให้เจ้าแล้วก็รับไปสิ!  อวี้เหวินยื่นของให้แล้วไม่เก็บกลับมาอีก ก่อนจะแกล้งแหย่อวี้ถังว่า  ข้าจะเก็บแท่นฝนหมึกรูปใบบัวเอาไว้ก่อน เอาไว้ใช้ต่อรองกับเจ้าครั้งหน้าเวลาที่เจ้าดื้อรั้น! หากว่าให้เจ้าไปตอนนี้ ข้ามิใช่ขาดทุนย่อยยับรึ! 

อวี้ถังคิดได้ว่าหยกแท่งชิ้นนี้แท้จริงก็เป็นของดีมีค่า นางไม่ควรเอาความโกรธที่มีต่อหลู่ซิ่นมาพาลลงกับสิ่งของ

หากว่านางรู้สึกเดียดฉันท์ไม่ชอบใจ ถึงเวลานั้นค่อยมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นก็ยังได้

อวี้ถังรับกล่องมาถือ เอ่ยขอบคุณบิดา หลังจากสองคนหารือกันหลายประโยคว่าหยกแท่งก้อนนี้ควรจะแกะเป็นตราประทับอย่างไรดี นางก็เอ่ยเตือนบิดาว่า  ท่านพ่อ หากต้องไปหาหมอที่เมืองหลวง ย่อมจะใช้เงินทองมากมาย ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้น ท่านก็รับมาชื่นชมหลายวันแล้วมิใช่หรือ 

อวี้เหวินแสร้งหัวเราะเหอะๆ

ถ้าอวี้ถังไม่พูดขึ้นมา เขาก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

อวี้เหวินไม่เคยวางแผนเรื่องเงินทอง ทั้งไม่เคยเรียกร้องต้องการ เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า  ข้ากับลุงหลู่ของเจ้าเป็นเพื่อนรู้ใจ จ่ายเงินล่าช้าไปหลายวันหน่อยเขาก็ไม่ว่าอันใดหรอก อีกอย่างต่อให้ครอบครัวเราขัดสนเงินทอง แต่ไม่ขาดเงินค่ายาของมารดาเจ้าแน่ เจ้าไม่ต้องกังวล 

อวี้ถังรู้อยู่แล้วว่าบิดาต้องตอบเช่นนี้

นางเอ่ยต่อว่า  ท่านพ่อแต่ไรมาก็ไม่เคยดูบัญชีของครอบครัวกระมัง? ท่านลองไปถามป้าเฉินดูก็ได้เจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ แต่ไรมาก็ไม่เคยดูแลงานจุกจิกยิบย่อยในเรือน ป้าเฉินเองก็ไม่ทำให้คนสกุลเฉินผิดหวัง ธุระในเรือนที่อยู่ในมือนางล้วนได้รับการจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง

อวี้เหวินถามด้วยสงสัยว่า  ไม่ถึงขึ้นที่ว่า…กระทั่งยาของมารดาเจ้าก็ซื้อไม่ไหวกระมัง? 

อวี้ถังแค้นใจนักที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า และกล่าวอย่างเจ็บแค้น  กินใช้อย่างเดียวไม่หาเข้าอย่างไรก็ต้องหมด ร้านค้าของสกุลถูกไฟไหม้ไปแล้ว คงอีกนานที่จะไม่มีรายรับเข้ามา ยาของท่านแม่ไม่อาจขาดได้แม้แต่วันเดียว ท่านลุงก็คิดจะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ ท่านว่าเงินทองเหล่านี้จะเอามาจากไหนกัน? 

อวี้เหวินรู้ว่าอวี้ถังไม่มีทางพูดจาเกินจริงเพียงเพราะไม่ต้องการให้เขาซื้อภาพวาดนั้นแน่

เมื่องานอดิเรกส่วนตัวกับอาการป่วยของภรรยาสุดที่รักต้องขัดแย้งกัน อวี้เหวินก็ยอมถอยให้กับอาการป่วยของภรรยาโดยไร้ความลังเล

 ข้ารู้แล้ว  เขารับปากด้วยท่าทีละอายเล็กน้อย

อวี้ถังเชื่อว่าบิดาจะไม่ซื้อภาพวาดผืนนั้นแล้ว

นางถอนหายใจโล่งอก แล้วยกเรื่องร้านค้ามาพูดอีกครั้ง  ป้าสะใภ้ใหญ่เกิดในตระกูลพ่อค้า ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ ก็เห็นว่าป้าสะใภ้เก่งกาจ ถึงไปสู่ขอป้าสะใภ้มาให้ท่านลุง อีกอย่างตอนที่ท่านปู่สิ้นใจก็สั่งเสียเอาไว้ ต่อไปเรื่องในร้านค้าห้ามกีดกันป้าสะใภ้เด็ดขาด ความหมายก็คือ ให้ท่านกับท่านลุงฟังความเห็นของป้าสะใภ้ให้มากหน่อย ปัญหาที่เกี่ยวกับร้านค้า ท่านควรปรึกษาป้าสะใภ้สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเห็นว่าหลายวันนี้ท่านลุงกับพี่ชายวิ่งวุ่นจนซูบผอมแล้ว ปกติมีแต่ท่านลุงที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวเรา เวลาลำบากเช่นนี้ ท่านควรจะไปช่วยเหลือลุงใหญ่นะเจ้าคะ 

ก่อนที่ท่านปู่ของนางจะจากไป ได้ฝากฝังเอาไว้เช่นนี้จริงๆ

อวี้เหวินพยักหน้ารับ

อวี้ถังจึงฉีกยิ้มจนตาหยี

เกี่ยวกับปัญหาในครอบครัว นับว่าแก้ไขไปได้เปลาะเล็กๆ เปลาะหนึ่งแล้ว

อวี้เหวินลูบศีรษะอวี้ถังเล่นพลางเอ่ยว่า  เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยรับหน้ามารดาเจ้าหน่อย ข้าได้โอกาสเหมาะก็จะไปหาท่านลุงใหญ่ของเจ้า 

อวี้ถังตอบรับอย่างดีใจ มือก็ถือกล่องแกะสลักสีแดงเดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมกับบิดา

คนสกุลเฉินให้อวี้ถังไปตามครอบครัวของลุงใหญ่มาทานข้าวที่เรือน  ช่วงที่ท่านพ่อเจ้าไม่อยู่บ้านต้องลำบากลุงใหญ่เจ้าไม่น้อย เจ้าไปเชิญลุงใหญ่มาดื่มสุรากับท่านพ่อเจ้าเถอะ จะได้คลายล้าได้บ้าง 

พี่น้องสกุลอวี้แม้จะแยกเรือนกันอยู่ แต่เรือนสองหลังก็อยู่ติดๆ กัน ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมยิ่ง

อวี้ถังพาซวงเถาออกทางประตูหลังแล้วเดินไปที่เรือนของลุงใหญ่

คนสกุลหวังกำลังตรวจนับสินเจ้าสาวเดิมของตนอยู่

อวี้ถังวิ่งพรวดเข้าไปในห้องของคนสกุลหวัง อวดอ้างความชอบของตนที่ข้างหูป้าสะใภ้ว่า  ข้าพูดกับท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกว่า เรื่องของร้านค้าจะมาหารือกับท่าน 

นางหวังให้ป้าสะใภ้เป็นฝ่ายรุกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นบิดาจับคนไหนได้ก็คงไปปรึกษาคนผู้นั้นอย่างไม่คิดมากอีก

ป้าสะใภ้ปลาบปลื้มนัก จะยื่นมือไปหยิกแก้มอวี้ถังเล่น  เด็กดี ยิ่งฉลาดขึ้นทุกวัน มีแววจะดูแลผู้อื่นได้แล้วสิ 

อวี้ถังหมุนศีรษะ เบี่ยงตัวหลบ ‘กรงเล็บ’ ของป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วลากซวงเถาวิ่งหนีไป  ท่านรีบตามมานะเจ้าคะ ท่านแม่กับท่านพ่อข้ารออยู่ที่เรือนแล้วเจ้าค่ะ! 

——————————–

Related

 

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ดราม่า ผลงานใหม่จาก ‘จือจือ’ แนวชิงไหวชิงพริบแวดวงค้าขาย และรักต่างชนชั้นน่าลุ้น! ‘อวี้ถัง’ บุตรสาวคนโตของตระกูลพ่อค้า ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่กิจการครอบครัวถูกไฟไหม้วอดวาย วันนั้น…คือห้วงเวลาก่อนที่ตัวนางต้องแต่งงานเข้าสกุลหลี่เพื่อพยุงกิจการครอบครัว แล้วกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และถึงคราวพบจุดจบแสนอาภัพ เมื่อโชคชะตาไม่ใจร้าย ส่งให้นางย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวก่อนจะสายเกินไป นางจึงต้องทำทุกทาง แม้กระทั่งไปพัวพันกับคนสกุลเผยที่สถานะสูงศักดิ์เหนือผู้ใด เพื่อกอบกู้ฐานะทางการเงิน เพื่อรักษาครอบครัวให้ยังอยู่พร้อมหน้า ทักษะทางการค้า ไหวพริบ เล่ห์กลจึงต้องมี ทว่า ‘เผยเยี่ยน’ นายท่านสามแห่งสกุลเผย ผู้ที่ครั้งก่อนไม่เคยอยู่ในสายตากลับปรากฏตัวให้นางเห็นอยู่ร่ำไป นอกจากชะตาครั้งใหม่ เห็นทีเรื่องหัวใจอาจเป็นฤดูกาลใหม่เช่นกัน ฤดูใหม่นี้… หญิงสาวไร้เดียงสาดั่งบุปผากลีบบาง จะเปลี่ยนเป็นบุปผางามที่แข็งแกร่ง นี่คือ ห้วงเวลาของบุปผาที่กำลังผลิบาน บนย่านการค้าแห่งนี้ที่แข่งกันเร่าร้อนดั่งฟอนไฟ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท