บุรุษชุดเขียวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเถ้าแก่ใหญ่ถง ถึงหมุนกายกลับมา
อวี้ถังจึงได้เห็นดวงหน้าที่งดงามและมีอำนาจกดข่มคนอย่างรุนแรง
นางหยุดหายใจไปในทันที
แต่ก็ถูกสายตาเฉยเมยที่บุรุษผู้นั้นใช้มองมาทิ่มแทงจนบาดเจ็บ
ดวงหน้าอวี้ถังร้อนเป็นไฟ รีบอธิบายไปว่า ข้าไม่ได้เอาของปลอมมาจำนำ บิดาข้าซื้อภาพนี้มาจากสหายผู้หนึ่ง…
บุรุษชุดเขียวไม่เชื่อนางสักนิด มองนางราวกับวัตถุล่องหน เขายกสันกรามขึ้นเล็กน้อยเป็นการพยักหน้าให้เถ้าแก่ใหญ่ถง จากนั้นก็เดินผ่านอวี้ถังไป
เหตุใดเป็นเช่นนี้เล่า?!
อวี้ถังกรีดร้องในใจ นางนิ่งอึ้งอยู่ค่อนวัน แล้วหันไปมองตามอย่างไม่รู้ตัว ตะโกนอย่างขุ่นเคืองว่า ข้าไม่ได้มาต้มตุ๋นผู้อื่นจริงๆ…
บุรุษชุดเขียวหันกลับมามองนางทีหนึ่ง
นัยน์ตาสีนิลนั้นใสกระจ่าง รินระเรื่อยดั่งบึงน้ำลึกในฤดูหนาว เย็นเยียบเข้าลึกถึงกระดูก
อวี้ถังพลันสะท้านสั่นในอก
วาจามากมายที่คิดจะแก้ต่างกลับติดอยู่ในลำคอ
นางยืนนิ่งอยู่ที่เก่า
เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบร้อนเดินตามไปส่งบุรุษชุดเขียวอย่างกระตือรือร้น
อวี้ถังเพิ่งจะสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่า หน้าประตูใหญ่มีรถม้าประดับม่านสีเขียวมาจอดรออยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เถ้าแก่ใหญ่ถงย้ายตั่งวางเท้ามาวางให้ด้วยตนเอง กำลังจะเข้าไปประคองบุรุษผู้นั้นให้ปีนขึ้นรถม้า ทว่ากลับถูกชายร่างผอมในชุดตัวสั้นสีดำ ซึ่งยืนอยู่ข้างรถม้าชิงตัดหน้าถลกม่านขึ้นให้เสียก่อน เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่ได้ถือสา ค้อมหลังถอยออกมาหลายก้าว มองจนรถม้าวิ่ง ‘ตึงๆ’ จากไปไกล จึงค่อยยืดหลังตรงแล้วหมุนกายเดินกลับเข้าโรงจำนำ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า แม่นาง เหตุใดท่านถึงย้อนกลับมาอีกขอรับ? มีเรื่องสำคัญใดอีกหรือไม่?
อวี้ถังอดจะส่งยิ้มสว่างไสวให้กับเถ้าแก่ใหญ่ถงไม่ได้ กล่าวว่า คุณชายเมื่อสักครู่คือใครหรือ?
เถ้าแก่ใหญ่ถงหัวเราะอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามของนางอย่างตรงไปตรงมา ค้อมตัวยื่นมือบอกเป็นนัยว่าให้นางเข้าไปคุยกันด้านใน พร้อมทั้งฉีกยิ้มพูดว่า แม่นางมีเรื่องใดก็เข้าไปสนทนาด้านในเถอะขอรับ
อวี้ถังพลันได้สติขึ้นมา
แม้จะบอกว่าใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ ทว่านางก็ยังไม่เคยพบใครที่งดงามยิ่งไปกว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเลย แต่นางผู้เป็นสตรี กลับไต่ถามผู้อื่นว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร…ยังดีที่เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่ได้แดกดันนางอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาศีรษะมุดดินหนีไปแล้ว
อวี้ถังทำทีว่าลำบากใจ ก่อนจะส่งภาพผืนนั้นให้เถ้าแก่ใหญ่ถง แล้วขอคำชี้แนะอย่างตรงไปตรงมา เถ้าแก่ใหญ่ ท่านบอกว่าภาพนี้เป็นของปลอม ท่านมีหลักฐานอะไรหรือไม่?
เถ้าแก่ใหญ่ถงพลันชะงักนิ่งไป
เถ้าแก่น้อยถงคิดว่านางย้อนกลับมาเพื่อหาเรื่อง จึงรีบก้าวขึ้นมาขวางเถ้าแก่ใหญ่ถงไว้ด้านหลัง เอ่ยว่า แม่นาง โรงจำนำสกุลเผยของพวกเราเป็นร้านเก่าแก่ในเมืองหลินอันมาร้อยกว่าปี ท่านพอเปิดปากก็เรียกชื่อพวกเราถูก คิดว่าคงสืบข่าวมาก่อนแล้ว โรงจำนำของพวกเราไม่เคยทำเรื่องสลับสับเปลี่ยนสินค้ามาก่อน หากว่าท่านไม่เชื่อ สามารถตรวจสอบภาพวาดอย่างละเอียดดูก็ได้ ท่านเดินถือเข้ามาอย่างไร พวกเราก็คืนกลับไปเช่นนั้น แม้จะบอกว่า ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ภาพนี้มีชื่อเสียง แต่โรงจำนำของพวกเราใช่ว่าไม่เคยเห็นของดีมีราคา เพียงเพื่อภาพนั้นของท่านแลกกับชื่อเสียงที่ต้องป่นปี้ พวกเราคงแลกไม่ลงหรอกขอรับ
อวี้ถังอับอายจนหน้าแดงเถือก รีบเอ่ยว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้สงสัยว่าพวกเจ้าสับเปลี่ยนของ ภาพวาดผืนนี้ ผู้อื่นก็ขายต่อให้สกุลข้ามาอีกที ข้าแค่อยากจะรู้ว่าภาพผืนนี้มีปัญหาที่ตรงไหน ถึงเวลานั้นข้าจะได้ไปเอาเรื่องคนถูก!
เถ้าแก่ถงทั้งสองต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
เถ้าแก่น้อยถงพูดอย่างรวดเร็วว่า พวกท่านไม่ควรเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยเลย…พวกเราสกุลเผยเปิดโรงจำนำมาตั้งกี่ปีแล้ว ไม่ว่าจะจำนำเป็นหรือจำนำตาย [1] ล้วนไม่บังคับใจผู้อื่น ถ้าเขาขัดสนเงินทองจริงๆ เหตุใดไม่เอามาจำนำกับร้านของเราเล่า…
เจ้าพูดจากับลูกค้าเช่นนี้ได้ด้วยรึ? เถ้าแก่ใหญ่ถงตวาดใส่เถ้าแก่น้อยถงพร้อมกับตัดบทเขา จากนั้นก็หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า จะบอกว่าภาพนี้เป็นของปลอม ก็ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดขอรับ
อวี้ถังชะงักไป แล้วถามว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร?
เถ้าแก่ใหญ่ถงพูดต่อว่า แม่นางอาจจะไม่รู้ ภาพเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาหลายๆ รุ่น ส่วนใหญ่มักใช้กระดาษเซวียนจื่อวาด กระดาษเซวียนจื่อนี้ มีลักษณะเด่นอยู่สองประการ หนึ่งคือดูดซับหมึกได้ยอดเยี่ยม หรือพูดว่าหมึกสามารถซึมทะลุผ่านหลังกระดาษไปได้ ส่วนลักษณะเด่นอีกประการ มันทำมาจากเยื่อกระดาษที่ซ้อนทับกันหลายชั้นแล้วตากแดดซ้ำๆ จิตรกรชั้นสูงที่ฝีมือถึงขั้น มักจะแยกชั้นกระดาษเซวียนจื่อออกมาเป็นแผ่นๆ ได้ เหตุใดข้าจึงพูดว่าภาพเก่าแก่ผืนนี้ของท่านเป็นงานคัดลอกแต่ไม่ใช่ของปลอมน่ะรึ? เมื่อครู่พวกเราได้ให้คุณชายที่เชี่ยวชาญในการประเมินภาพวาดของร้านเราดูแล้ว ภาพผืนนี้ของท่านเป็นฝีมือของหลี่ถังจริง ทว่ากระดาษชั้นบนสุดถูกผู้อื่นลอกออกไปแล้ว ภาพผืนนี้ เป็นแผ่นที่อยู่ด้านล่างลงมา ดังนั้นท่านว่า…
เขาพูดไปก็คลี่ม้วนกระดาษออก แล้วชี้ให้อวี้ถังดู ตรงนี้ ตรงนี้ เห็นชัดว่ามีการวาดเติมเข้าไปภายหลัง ยังขาดอารมณ์อันยิ่งใหญ่และจับต้องไม่ได้อยู่…
ไม่ใช่เพราะตราประทับหรอกหรือ?
อวี้ถังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เถ้าแก่ใหญ่ถงมองหน้าอ่อนหัดของอวี้ถัง ไม่อาจทนใจแข็งต่อได้ จึงเอ่ยต่อด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า หากแม่นางเดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ คิดจะจำนำภาพผืนนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ทว่าจำนำได้ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น
อวี้ถังฟังจบก็ชี้ไปที่ตราประทับ ‘เหมยหลิน’ ที่อยู่ด้านบน ถามว่า ตราประทับนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่?
เถ้าแก่ใหญ่ถงได้ยินดังนั้น ก็มองนางอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง
ในใจอวี้ถังร้องตะโกนว่าแย่แล้ว
นางถามไปอย่างนั้น เห็นชัดว่าเป็นการปล่อยไก่…ในเมื่อสงสัยว่าตราประทับมีปัญหา รู้อยู่แล้วว่าภาพผืนนี้ไม่ถูกต้อง ยังคิดเอามาจำนำที่ร้านอีก…
อวี้ถังเหลือบมองสีหน้าของเถ้าแก่ใหญ่ถง ซึ่งไม่เหลือไมตรีดังเก่า
นางพยายามอธิบายว่า มิใช่เช่นนั้น ข้าคิดว่าในเมื่อใต้เท้าจั่วเป็นผู้เก็บรักษามัน มันก็ไม่ควรจะมีปัญหาสิ…
เพียงแต่เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่เชื่อใจนางอีกแล้ว สีหน้ามีเพียงความเกรงใจและห่างเหินอย่างที่พ่อค้ามักทำกัน เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า แม่นางกล่าวถูกแล้ว ภาพผืนนี้สุดท้ายตกอยู่ในมือของใต้เท้าจั่ว ทว่าภาพผืนนี้ของแม่นางก็เป็นของคัดลอกมิผิดแน่ ขออภัยที่โรงจำนำของเราไม่อาจรับไว้ได้ หากว่าแม่นางยังมีของดีอย่างอื่น ค่อยกลับมาหาพวกเราใหม่เถอะขอรับ
เถ้าแก่น้อยถงจึงรีบส่งแขกด้วยตนเอง
อวี้ถังโมโหจนวิงเวียนศีรษะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินกลับมาได้อย่างไร หลังกลับมาก็ดื่มชาใบหยาบไปสองถ้วย ถึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้
หลู่ซิ่นช่างไร้ยางอายจริงๆ!
ได้เงินจากสกุลนางไปแล้วคิดจะหนีอย่างนั้นรึ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน?!
อวี้ถังตะโกนเรียกอาเสา แล้วให้เหรียญทองแดงเขาไปสิบกว่าเหรียญ สั่งการว่า เจ้าไปสืบหาที่อยู่ของหลู่ซิ่วไฉมาที อย่าให้ท่านพ่อรู้ล่ะ
อาเสาคอยวิ่งซื้อขนมให้อวี้ถังลับหลังอวี้เหวินและคนสกุลเฉินบ่อยๆ เขารับคำยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ออกไปตามสืบเรื่องของหลู่ซิ่นทันที
กระทั่งตกบ่าย เขาก็กระหืดกระหอบกลับมารายงานอวี้ถังว่า นายท่านหลู่ไม่รู้ไปล่วงเกินใครเข้า? เขาถึงกับเอาเรือนไปจำนำไว้กับผู้อื่น บอกว่าจะไปหาญาติที่เมืองหลวง แต่ต่อให้มีญาติพี่น้องอยู่เมืองหลวง แล้วจะอาศัยอยู่เรือนผู้อื่นไปตลอดชีวิตเลยหรือขอรับ?
ชาติก่อน หลู่ซิ่นไม่เคยกลับมาที่เมืองหลินอันอีก
อวี้ถังหัวเราะเสียงเย็น ถามว่า แล้วตอนนี้เขาออกเดินทางหรือยัง?
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาจากไปแล้ว อาเสาตอบอย่างฉลาดเฉลียว แต่บ่าวสืบมาแน่ชัดแล้ว เขามีคนรักอยู่ที่ตรอกฮวาเอ๋อร์ หลายวันนี้เขาก็กินนอนอยู่ที่ตรอกนั่น เกรงว่าคงตัดใจจากคนรักไปไม่ลงขอรับ
สมองของอวี้ถังหมุนแล่นเร็วจี๋ นางถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วประนมมือไหว้ไปทางทิศตะวันตก จากนั้นก็กวักมือเรียกอาเสา สั่งงานข้างหูเขาพักใหญ่
ตรอกฮวาเอ๋อร์ตั้งอยู่ด้านหลังถนนฉางซิ่ง เป็นตรอกคดเคี้ยวสายหนึ่ง ทิศตะวันออกเชื่อมกับถนนฉางซิ่ง ทิศตะวันตกเชื่อมกับถนนศาลาว่าการ สองข้างทางล้วนปลูกการบูรต้นใหญ่จนคนโอบไม่รอบ พอตกค่ำ โคมแดงจะถูกแขวนสูงเด่น แว่วเสียงสตรีหัวเราะคิกคัก ผู้คนวุ่นวายจอแจ
เพราะถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ ร้านค้าก็โดนเผาวอดวายไม่มีเหลือ ซากปรักหักพังเห็นแล้วไม่น่ามอง จึงมีคนใช้ผ้ากันฝนไปกั้นเส้นทางที่เชื่อมไปสู่ถนนฉางซิ่งเอาไว้ เหลือเพียงเส้นที่เชื่อมกับถนนศาลาว่าการเท่านั้น
ตกค่ำช่วงยามซวี [2] นับเป็นเวลาที่ตรอกฮวาเอ๋อร์คึกคักที่สุด รถม้าหนึ่งคันหยุดลงหน้าร้านของฉู่ต้าเหนียง ฮูหยินเอวหนาร่างใหญ่เจ็ดแปดคนเฮโลกันลงมาจากรถม้า มือกำไม้กระบอง เดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านทันที
ทุกคนต่างเป็นคนเก่าแก่ในตรอกเฟิงเยวี่ย พอเห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าบ้านใหญ่คงมาตามเอาเรื่องเป็นแน่ จึงได้ล้อมวงกันเข้ามาดูอย่างตื่นเต้น รอดูเรื่องขำขันพร้อมปากที่ซุบซิบไม่หยุด
เสียงข้าวของแตกโครมครามดังขึ้นในร้านฉู่ต้าเหนียง ฮูหยินร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกระชากคอเสื้อหลู่ซิ่นลากไปนอกร้าน ทางหนึ่งก้าวเท้าสวบๆ ทางหนึ่งก็พูดเสียงดังลั่นว่า เจ้ามาดื่มกินที่ร้านก็ดื่มกินไป เหตุใดเพื่อเด็กสาวในร้านแล้วถึงกลับเอาเรือนไปจำนำเสียได้? ต่อไปเจ้าจะให้พวกข้าไปอยู่ที่ไหน? เอาอะไรกิน? เอาอะไรดื่ม?
เมืองหลินอันจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ยิ่งหลู่ซิ่นเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว ที่ไหนมีเรื่องล้วนต้องยื่นเท้าเข้าไปสอด คนที่รู้จักเขาจึงมีมาก พอเห็นว่าเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตคนก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น…
มีคนพูดขึ้นว่า มิน่าหลู่ซิ่วไฉวันๆ เห็นเอาแต่กกตัวอยู่ที่ร้าน ที่แท้ฮูหยินในเรือนก็สูงใหญ่บึกบึนเพียงนี้ ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน
จากนั้นก็มีคนตั้งข้อสงสัยต่อว่า มิใช่พูดกันว่าหลังจากฮูหยินของหลู่ซิ่วไฉเสียไปก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ ไม่มีกระทั่งบุตรสาวบุตรชายหรอกรึ? แล้วนี่มีฮูหยินโผล่มาจากไหนได้?
มีคนเดาว่า อาจจะเป็นคนรักเหมือนกันก็ได้ ทว่าคนหนึ่งเลี้ยงไว้ในเรือน คนหนึ่งเลี้ยงไว้นอกเรือน
หลู่ซิ่นเดือดดาลจนปากแทบเบี้ยว ไม่รู้ว่ามีฮูหยินจากไหนโผล่มาก่อเรื่องต่อหน้าเขา เขาคิดจะแก้ต่างให้ตนเองสักคำ ทว่าคอเสื้อก็รัดลำคอแน่น สักประโยคก็พูดออกมาไม่ได้ เขาต้องอยู่ในท่านั้นกระทั่งฮูหยินผู้นี้ลากเขาขึ้นรถม้า ยัดผ้าขี้ริ้วอุดปากเขา แล้วออกรถวิ่งไปจากตรอกฮวาเอ๋อร์
เกรงว่าเรื่องในวันนี้ของเขาจะถูกคนเมืองหลินอันเอาไปนินทากันจนชั่วชีวิต
หลู่ซิ่นเกร็งฟันขบแน่นด้วยความเดือดดาลสุดขีด
ถ้าหากรู้ว่าผู้ใดวางแผนเล่นงานเขาละก็ เขาไม่ทางปล่อยเอาไว้แน่!
รถม้าหยุดลงที่หน้าถนนฉางซิ่ง
หลู่ซิ่นถูกกระชากตัวลงมา
แสงจันทร์สาดกระทบหัวเสาและเศษกระเบื้องบนถนนฉางซิ่ง เห็นเป็นภาพเปลี่ยวร้างได้รางๆ เสียงขับร้องบรรเลงเพลงที่ดังลอยมาจากตรอกฮวาเอ๋อร์ซึ่งอยู่ถัดไปฟังแล้วให้อารมณ์แปร่งหู ทำให้หนังศีรษะเขาชาหนึบ สองขาสั่นระริก
เจ้า พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? หลู่ซิ่นถามออกไปอย่างระแวดระวัง
อวี้ถังใช้ผ้าโพกศีรษะไว้ แล้วเดินออกมาจากเงามืดหลังกำแพงรกร้าง
หลู่ซิ่นจำนางได้ในแวบแรกที่เห็น
เขากระโดดตัวโยนราวกับโดนเหยียบหาง ชี้หน้าด่าทอนางว่า เหตุใดเป็นเจ้า? เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าจะให้บิดาเจ้าเป็นคนตัดสินเรื่องนี้!
อวี้ถังตอบกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จะให้บิดาข้าตัดสินทำไม! เจ้ากับข้าไปให้ศาลาว่าการตัดสินให้ดีกว่า!
หลู่ซิ่นตกตะลึง
อวี้ถังโยนภาพผืนนั้นลงที่ข้างเท้าของหลู่ซิ่น เจ้ามิใช่บอกว่านี่เป็นภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนรึ? เถ้าแก่ถงที่โรงจำนำสกุลเผยเป็นเพื่อนกับสกุลข้าพอดี ข้าถือภาพผืนนี้ไปให้เถ้าแก่ตรวจสอบแล้ว เถ้าแก่ถงพูดเองกับปากว่า นี่เป็นภาพคัดลอก อย่างมากก็ขายได้สามตำลึงห้าตำลึงเท่านั้น เลือกมาสิ ข้ากับเจ้าจะไปที่ศาลาว่าการสักครั้ง หรือเจ้าจะคืนเงินที่หลอกเอาจากบิดาข้าไป!
หลู่ซิ่นแทบเต้นเร่าๆ เจ้ามันเด็กเลี้ยงแกะ คิดห่มหนังเสือมาพูดจาใหญ่โต หวังจะใช้สกุลเผยมาข่มข้าอย่างนั้นรึ?! สกุลเจ้ามีพื้นเพอย่างไรคิดหรือว่าข้าไม่รู้? เจ้าพูดว่าเป็นภาพคัดลอกก็เป็นภาพคัดลอกจริงๆ ได้หรือ ข้าว่าเจ้าแอบสับเปลี่ยนของเองมากกว่า อยากได้ภาพแต่ไม่คิดจ่ายเงินล่ะสิ ถึงปรักปรำข้าว่าขายของปลอมให้สกุลของเจ้า
ฮูหยินผู้นั้นออกแรงเพิ่ม กดหลู่ซิ่นลงบนพื้นอีกครั้งหนึ่ง
อวี้ถังเอ่ยอย่างดูแคลนว่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ยอมรับ และไม่หวังให้เจ้ายอมรับผิดด้วย พรุ่งนี้ตอนฟ้าสางพวกเราก็ไปที่ศาลาว่าการ ข้าเชิญเถ้าแก่ถงมาเป็นพยานให้แล้ว ของจริงไม่อาจปลอม ของปลอมไม่อาจจริง ถึงเวลานั้นเจ้าก็รอรับโทษอย่างคนพ่ายแพ้ไปแล้วกัน!
————————————————————-
[1] จำนำตาย หมายถึง การขายขาดสิ่งของชิ้นนั้นให้กับโรงจำนำ ทิ้งสิทธิ์ในการไถ่ของคืน การจำนำประเภทนี้จะได้เงินค่อนข้างสูง ซึ่งจะตรงข้ามกับจำนำเป็นที่ได้เงินตอบแทนน้อยกว่า แต่ยังสามารถกลับมาไถ่ของคืนได้
[2] ยามซวี คือเวลาประมาณ 19:00 – 20:59 น.
Related