ตอนนั้นเองอวี้ถังเพิ่งรู้สึกตัวว่านายท่านสามสกุลเผยก็อยู่ที่นี่ด้วย
นางมองไปทางเผยเยี่ยน
เขาอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมสีฟ้าอ่อน นอกจากปิ่นไม้ไผ่บนศีรษะแล้ว ทั่วร่างก็ไม่มีของประดับชิ้นอื่นอีก สีหน้าเขาวางเฉย สายตาหม่นแสง ดูอารมณ์คุกรุ่นยิ่งกว่าหลายครั้งที่เจอก่อนหน้านี้เสียอีก
อวี้ถังตะลึงไป
เขามิใช่ผู้ชนะในการแก่งแย่งของสกุลเผยหรือ? เหตุใดไม่มีท่าทียินดีสักนิดเล่า?
อวี้ถังเพราะความสงสัย รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ รับรู้ถึงความอบอุ่น มือเท้าที่ชาหนึบตอนที่เห็นหลี่ตวนค่อยๆ กลับมาขยับเคลื่อนไหวได้
เรื่องบางเรื่อง นางนึกว่าตัวเองปล่อยวางได้แล้วเสียอีก
แต่ความจริงกลับไม่ใช่เลย!
พอได้เจอหลี่ตวน นางยังคงเดือดดาล ยังคงโกรธแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรม
นางข่มใจอดกลั้นถึงไม่ได้หลุดปากด่าทออย่างหยาบคายออกไป
ทว่าหลี่ตวนในตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจอวี้ถังแล้ว
วันนี้เขาตั้งใจพาหลี่จวิ้นมาให้ทุกคนรู้จัก นี่ก็เพิ่งจะได้พบพวกเผยเยี่ยน ยังไม่ทันได้คุยกันสักประโยค เผยเยี่ยนก็จะจากไปแล้ว…เขามิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้!
หลี่ตวนเร่งสาวเท้าไปด้านหน้า เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า ท่านอา ท่านโจวยากนักจะได้มาเยือนสักหน ข้านำชาเหมาเจียนชั้นเลิศติดมาด้วย อาจารย์ทางนั้นยังมีชุดน้ำชาหรูเหยาสีฟ้าอยู่ชุดหนึ่ง ต้นดอกกุ้ยฮวาร้อยปีที่ลานด้านหลังสำนักศึกษาก็ใกล้จะบานแล้ว หากจะรีบร้อนกลับไป มิสู้ไปดื่มชาที่ลานด้านหลังก่อน อาศัยครึ่งวันที่ยังว่าง ไปสูดกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาด้วยขอรับ
อาจารย์ของเผยเยี่ยนคืออดีตเจ้ากรมขุนนางนามว่าจางอิง ทั้งเจ้ากรมโยธาซึ่งควบตำแหน่งมหาบัณฑิตหอตงเก๋อนามว่าเจียงฮวาและรองเจ้ากรมขุนนางอย่างเฟ่ยจื้อเหวินก็ล้วนเป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกับเขา ว่ากันตามเหตุผล ไม่ว่าหลี่อี้ บิดาของสองพี่น้องสกุลหลี่คิดจะก้าวหน้า หรือว่าหลี่ตวนอยากจะราบรื่นในเส้นทางขุนนาง การแบกหน้าเข้าหาผู้อื่นมีหรือจะสู้เข้าทางเผยเยี่ยนผู้อยู่เมืองเดียวกันได้
แต่เผยเยี่ยนกลับมีนิสัยแปลกประหลาด เขามึนตึงกับบ้านใหญ่ไม่พอ ทั้งกับบ้านรองก็ไม่ไปมาหาสู่
หลี่อี้แม้จะรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองสกุลเผย หลังจากที่เผยเซวียนกลับมาหลี่ตวนก็ไปขอคำชี้แนะจากเขาอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้สนทนากับเผยเยี่ยนสักหน
หลี่ตวนอับจนหนทาง จึงได้เข้าทางท่านอาจารย์เฉินซ่านเหยียนแทน
เฉินซ่านเหยียนฝากความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้กับลูกศิษย์คนนี้ ถึงได้ถือโอกาสตอนที่เผยเยี่ยนมาเยี่ยมเขาเป็นเพื่อนโจวจื่อจิน ตั้งใจเรียกหลี่ตวนมาหา คิดใช้จังหวะนี้ให้เขากับเผยเยี่ยนได้ผูกสัมพันธ์กัน
เวลานี้เขาย่อมช่วยพูดแทนหลี่ตวน สยากวง จื่อฉุนพูดถูก ยากนักที่เจ้าจะมาสำนักศึกษาสักครั้ง ไม่สู้อยู่ดื่มชาก่อนแล้วค่อยกลับ
หลี่ตวนมีชื่อว่าจื่อฉุน
เผยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร สีหน้าไร้อารมณ์มองไปทางหลี่ตวนทีหนึ่ง แล้วมองไปทางอวี้ถังอีกทีหนึ่ง
คนทั้งหมดพากันตกตะลึง
หลี่ตวนคิดถึงท่าทีเสียมารยาทเมื่อครู่ของตนได้ ดวงหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วพึมพำแก้ต่างกับเผยเยี่ยนว่า แม่นางอวี้ เกือบจะได้หมั้นหมายกับสกุลของข้าขอรับ!
ดวงตาของอวี้ถังเบิกโต
หลี่ตวนหมายความว่าอย่างไร?
อะไรคือเกือบจะได้หมั้นหมายกับสกุลของเขา?
อวี้ถังเดือดดาลจนปอดแทบระเบิด
เผยเยี่ยนกลับไม่ใส่ใจ ส่งเสียง ‘อ้อ’ อย่างขอไปที
อวี้ถังมึนงงไปหมด
พักหนึ่งสายตาของโจวจื่อจินก็หันไปมองอวี้ถัง พักหนึ่งก็หันไปจ้องหลี่ตวน
อวี้ถังพลันคิดออก เข้าใจทุกอย่างในทันที
เผยเยี่ยนคงไม่ได้สงสัยว่านางกับหลี่ตวน…
จะเป็นไปได้อย่างไร?
เผยเยี่ยนเหตุใดถึงเข้าใจเช่นนั้น?
แต่พอนางคิดว่ามีความเป็นไปได้ เลือดร้อนก็พุ่งขึ้นหน้าทันที
อวี้ถังส่งเสียงเรียก นายท่านสาม ไปทีหนึ่ง
เผยเยี่ยนทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาพลันหันไปพูดกับเฉินซ่านเหยียนว่า เช่นนั้นก็ไปดื่มชาที่ลานด้านหลังก่อน
เฉินซ่านเหยียนลอบยินดี ด้วยกลัวว่าเผยเยี่ยนจะเปลี่ยนใจจึงลากเขามุ่งไปทางลานด้านหลัง ความจริงข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ตั้งแต่ที่เจ้าขึ้นเป็นผู้นำสกุลเผย ข้าก็ยังไม่ได้คุยกับเจ้าจริงๆ จังๆ สักครั้ง ตอนที่ท่านผู้เฒ่าเผยยังอยู่ก็คอยช่วยเหลือสำนักศึกษาของเราไว้มาก บัดนี้เขาจากไปแล้ว เด็กๆ ที่เคยได้รับการดูแลก็ล้วนแต่กังวลใจ หากว่าเจ้าไม่มา อีกไม่กี่วันข้าก็เตรียมตัวจะไปหาเจ้าอยู่เหมือนกัน…
สองคนค่อยๆ เดินห่างออกไป
อวี้ถังโมโหจนทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดังไล่หลังว่า นายท่านสาม ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน!
เรื่องบางอย่างนางต้องพูดกับเขาให้ชัดเจนจึงจะถูก
สองครั้งแรกเป็นนางที่ทำผิด แต่ว่าครั้งนี้ เป็นเขาที่กล่าวหานาง
ทุกคนหันหน้ากลับมามอง
เผยเยี่ยนราวกับว่าไม่ได้ยินเสียง เขายังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
เฉินซ่านเหยียนมองอวี้ถังทีหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เดินตามเผยเยี่ยนไป
โจวจื่อจินกลับรู้สึกสนใจยิ่งนัก
เขากระตุกยิ้มมุมปาก แล้วสะบัดพัดกางออกดัง ‘พรึบ’ เพียงแต่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ก็ถูกคนที่มีดวงตาติดอยู่ด้านหลังอย่างเผยเยี่ยนหันกลับมาหิ้วคอเสื้อไปเสียก่อน แล้วลากเขาเดินไปข้างหน้า เอ่ยว่า เจ้าไม่ดื่มชารึ? ถ้าไม่ดื่มชาก็กลับเมืองหลวงไปเสีย!
โจวจื่อจินรีบหุบปากฉับ
หลี่ตวนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมึนงง ลากแขนหลี่จวิ้นแล้วเดินตามเผยเยี่ยนไป
หลี่จวิ้นไม่กล้าเปิดปาก ได้แต่มองอวี้ถังอยู่อย่างนั้น
อวี้ถังโมโหจนแทบตาย ข้างหูพลันได้ยินเสียงตีฆ้องดัง ‘เหง่ง เหง่ง เหง่ง’
สำนักศึกษาถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว
นักเรียนรุ่นเยาว์สองสามคนทะยอยกันเดินออกมา
อวี้ถังกระทืบเท้าลงพื้น แล้วโยนหลี่ตวนก็ดี หลี่จวิ้นก็ช่างทิ้งไว้เบื้องหลัง กลับเรือนไปด้วยความหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เพราะกลัวว่ามารดาจะมองออก จึงกำชับอาเสาไม่ให้พูดเรื่องในวันนี้ออกไป
อาเสาพยักหน้าหงึกหงัก
นั่นเป็นนายท่านสามสกุลเผยเชียวนะ!
เขามีหรือจะกล้าพูดเหลวไหล
อวี้เหวินกลับมาจากหังโจวแล้ว
สิ่งที่กลับมาพร้อมกัน ยังมีโลงศพของหลู่ซิ่น
ครั้งนี้จ่ายไปก้อนใหญ่เลย อวี้เหวินยิ้มขื่น โลงศพไม่ต้องพูดถึง แค่ผู้อื่นได้ยินว่าข้าจะย้ายโลงศพกลับบ้าน ต่างไม่มีใครยอมมาส่งสักคน ข้าจึงต้องจ้างเรือไว้เลยหนึ่งลำ แล้วส่งโลงศพเขาไปที่วัด ที่นั่นก็เก็บเงินค่าทำบุญไปเยอะเหมือนกัน เขารู้สึกผิดต่อภรรยามากจึงได้รับปากกับคนสกุลเฉินและอวี้ถังว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่มีเช่นนี้อีก
คนสกุลเฉินเป็นคนใจกว้าง คิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปมีแต่จะทำลายน้ำใจของอีกฝ่าย จึงไม่เพียงไม่กล่าวโทษเขา ซ้ำยังเอ่ยปลอบเขาว่า เป็นคนขอเพียงใจสงบ พวกเราอย่างไรก็นับว่าไม่ผิดต่อนายท่านหลู่ก็พอแล้ว
อวี้เหวินถอนหายใจ เจ้าไม่รู้อะไร พวกเรายังคงต้องหาทางติดต่อกับสกุลหลู่ด้วย ไม่อย่างนั้นยังต้องช่วยเขาจัดการเรื่องสุสาน ต่อไปยังต้องหาคนมาเซ่นไหว้เขาอีก
คนสกุลเฉินพูดว่า ก็มิใช่ว่าไร้หนทางหรอก พรุ่งนี้ข้าจะให้ป้าเฉินเตรียมของว่างและน้ำชาเอาไว้ ท่านก็ไปเรือนสกุลหลู่สักครั้ง ผู้ตายนับว่าเป็นใหญ่ ข้าเชื่อว่าสกุลหลู่คงไม่ไร้เหตุผลถึงเพียงนั้น
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ
—
อวี้เหวินเดินทางไปเรือนสกุลหลู่ด้วยความวิตกกังวล
คนสกุลหลู่เห็นว่าอวี้เหวินช่วยไปจัดการเรื่องศพหลู่ซิ่น ทั้งยังขนโลงศพกลับมา จึงได้ยอมถอยก้าวหนึ่ง ตอบตกลงให้ฝังหลู่ซิ่นไว้ในสุสานบรรพชน
อวี้เหวินถอนหายใจโล่งอก วันถัดมาจึงเดินทางไปวัด เตรียมเชิญพระในวัดสวดส่งวิญญาณให้เขาเป็นเวลาสามวันจากนั้นค่อยเลือกวันดีในการฝังศพ
สกุลอวี้ถูกขโมยขึ้นเรือนอีกครั้ง
ครั้งนี้หัวขโมยถูกพบตอนที่กำลังรื้อห้องหนังสือของอวี้เหวิน และเสี่ยวหวงเป็นผู้พบเห็น
เสี่ยวหวงอย่างไรก็ยังเล็กอยู่ มันกระโจนใส่หัวขโมยแล้วเห่า ‘โฮ่งๆ!’ ทั้งมันยังงับขากางเกงของหัวขโมยจนถูกถีบไปทีหนึ่ง เจ็บตัวจนครางหงิงๆ
อาเสาแม้จะไปถึงทันเวลา แต่ก็ไม่กล้าประมือตรงๆ กับหัวขโมย ได้แต่ไล่คนกับตื่นตกใจจนหัวขโมยหลบหนีไปได้
อวี้ถังกอดเสี่ยวหวงเบาๆ แล้วลูบขนมันไปมาอย่างปวดใจ
คนสกุลเฉินรู้สึกหวาดกลัวมาก หยิบเงินห้าตำลึงส่งให้อาเสา แล้วสั่งให้เขาไปหาอวี้เหวิน เงินนี้ให้คนของศาลาว่าการไปดื่มเหล้า ต่อให้จับหัวขโมยไม่ได้ก็ขอให้พวกเขามาเดินตรวจหน้าเรือนเราหลายๆ รอบหน่อย จะได้ขู่หัวขโมยให้มันกลัวเสียบ้าง
อาเสาตอบรับคำ
อวี้ถังคิดว่าหลายวันนี้อวี้เหวินก็วิ่งวุ่นไปมา จึงได้ไปเก็บกวาดห้องหนังสือให้เขา ทั้งช่วยบิดาตรวจนับสิ่งของไปพร้อมกันด้วย ดูว่ามีอะไรหายไปบ้างหรือไม่
ในห้องยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่รู้ว่าหัวขโมยคนนั้นยังไม่ทันได้ลงมือหรือเพราะลงมืออย่างระมัดระวังกันแน่ ถึงได้เบาไม้เบามือจนคนแทบสังเกตไม่ออก
อวี้ถังค่อยๆ จัดของให้บิดาอย่างไม่รีบร้อน หัวขโมยนั้นขโมยกระดาษเซวียนจื่อของบิดาไปครึ่งพับ พวกแท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษถูกรื้อออกมาแต่กลับไม่ได้หยิบเอาไปด้วย
เพราะหัวขโมยผู้นั้นมีตาแต่ไม่มีแววหรือ?
อวี้ถังมองข้างแท่นฝนหมึกที่แกะสลักเป็นรูปนกกางเขนเสมือนจริงกับรูปดอกเหมยที่คล้ายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง
หากคิดขโมยเงินทอง ก็น่าจะไปที่ห้องด้านในของบิดามารดาไม่ใช่หรือ? หากต้องการขโมยของในห้องหนังสือ ก็ย่อมต้องรู้จักของดี ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดมีค่าสิ่งใดไม่มีค่า?
ป้าเฉินโมโหใหญ่โตกำลังตะโกนด่าคนอยู่กลางลาน พวกมันรังแกพวกเราเพราะเห็นว่านายท่านไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะกล้าเข้ามาขโมยของครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร!
—————————–
Related