ถ้าผมบอกว่าผมแค่เดา คุณจะเชื่อไหม?
ฉินเฟิงนั่งลงแล้วเงยหน้ามองหลิวหลิน
เป็นไปไม่ได้
หลิวหลินปฏิเสธทันควัน ตอนแรกเธอก็คิดว่าเดาเอาจึงไม่ยอมรับตั้งแต่แรก แต่เมื่อฉินเฟิงเรียกเป็นครั้งที่สอง เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว
ตอนนี้คือหน้าร้อน คุณใส่หมวกออกจากบ้านสามารถบอกได้ว่าไว้บังแดด แต่ในร้านกาแฟไม่มีแดด อีกทั้งยังมีแอร์ ทำไมคุณยังใส่หมวกอยู่อีก วิเคราะห์ได้2แบบ หนึ่งคือคุณชอบใส่หมวกเลยใส่ไว้ตลอด หรือคุณอาจลืมถอด สองคุณต้องการหลบหน้าคน คุณไม่อยากให้คนในร้านกาแฟนี้เห็นหน้าคุณ
แต่พิรุธหนึ่งเดียวของคุณคือ คุณนั่งหลังคุณมู่หรงพอดี พอผมนั่งลงก็เป็นเส้นตรง และสามารถบังคุณได้พอดิบพอดี ผมมองไม่เห็นคุณ แต่คุณได้ยินผม นี่เป็นที่นั่งที่ดีที่สุด แต่คุณก็ยังคงใส่หมวก ประกันสองชั้นถือว่าปลอดภัย แต่มันไม่ยิ่งเด่นเข้าไปอีกเหรอ
ผมไม่ได้จะกินพวกคุณสักหน่อย ใช่ไหมคุณตำรวจหลิว
ฉินเฟิงยิ้มๆ อธิบายให้เธอฟัง ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้คงกลุ้มไปหลายวัน เมื่อถึงตอนนั้นหาทางออกไม่ได้ แล้วตามมาฆ่าเขาถึงบ้านจะแย่เอา
แต่คุณรู้ได้ไงว่าเป็นฉัน?
นอกจากคุณ ใครมันจะว่างเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ผมขนาดนี้
……
หลิวหลินโกรธจนหายใจอกกระเพื่อม แต่สุดท้ายก็จนปัญญา เธอแพ้อีกแล้ว การปลอมตัวที่วางแผนอย่างดีคราวก่อนถูกจับได้ เธอก็ยังไม่พอใจอยู่ ครั้งนี้ยังถูกจับได้อีก
คิดไม่ถึงจริงๆว่าครั้งนี้จะล้มเหลว
ที่สำคัญคือเหตุผลที่ล้มเหลวครั้งก่อน เพราะเธอประเมินฉินเฟิงต่ำไป แต่ครั้งนี้เธอให้ความสำคัญฉินเฟิง จึงระมัดระวังเกินไป ระวังจนกลับกลายเป็นความผิดพลาด
เธอรู้สึกเรียนในโรงเรียนตำรวจมาหลายปีนั้นเปล่าประโยชน์
ตอนเธอเรียนในโรงเรียนตำรวจ ล้วนเก่งทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัว ต่อสู้ หรือซุ่มยิง เธอล้วนเป็นที่หนึ่ง แต่การปลอมตัวตอนนี้กลับถูกฉินเฟิงจับมัดห้อยและเฆี่ยนตี
ใช่
จับมัดห้อยและเฆี่ยนตี
เธอแทบจะไม่เหลือความมั่นใจแล้ว
เป็นตำรวจมาหลายปี ไม่คิดว่าจะมาแพ้ให้กับลูกเขยที่เกาะผู้หญิงกิน แต่ต่อให้ไม่ใช่ลูกเขยที่เกาะผู้หญิงกิน งั้นก็เป็นลูกคนรวย คิดไม่ถึงว่าจะแพ้ให้กับลูกคนรวยที่ตนเกลียดที่สุด
ความโมโหในใจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
แต่เธอก็อดทนไว้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน เรื่องเกี่ยวกับฟางเย้นครั้งก่อนนั้นหลักฐานแน่นหนา ว่าฟางเย้นกับพวกเป็นฝ่ายลักพาตัวอิ่นซิน
แม้ได้ตัวฉินเฟิงได้แล้วก็ต้องรักษาความเหมาะสม จึงปล่อยตัวไปก่อน เธอเลยไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ฉินเฟิง
ครั้งหน้า
หลิวหลินสาบานในใจ สาบานต่อเมืองเจียงเฉิง ต่อสถานแห่งนี้ครั้งหน้าเธอจะจับฉินเฟิงเจ้าลูกเศรษฐีพิเรนทร์คนนี้ให้ได้ หลิวหลินไม่ปล่อยให้คุณทำชั่วแน่นอน
เหอะ ฉันไม่กังวลหรอกว่าคุณจะทำอะไรพี่สาวฉัน ยังไงพี่สาวฉันก็สาวขนาดนั้น
ภรรยาผมก็สวย
จิ้
สุดท้ายก็โมโห หลิวหลินทำหน้ามุ่ยแล้วหันหน้าไปทางอื่น
ทว่าขณะนั้นเอง ผู้หญิงสวยๆด้านข้างพูดขึ้น: ขอโทษนะคะคุณฉิน น้องสาวฉันนิสัยดื้อรั้น ฉันบอกว่าออกมาเจรจาสัญญา เธอก็ตามมาด้วย แต่ฉันสงสัยมากเลยว่าคุณจำฉันได้ยังไง
บนสัญญามี
บนโต๊ะมีหนังสือสัญญาอยู่
มู่หรงเจียงเสว่ชะงัก ไม่คิดว่าช่องโหว่จะอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้จิตใจเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว พูดขึ้น: ง็นฉันจะแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ฉันชื่อมู่หรงเจียงเสว่ เป็นผู้กำกับละคร ฉันมาพบคุณครั้งนี้เพื่อให้แต่งเพลงเปียโน คราวก่อนฉันได้ฟังเสียงเปียโนของคุณในวิดีโอ ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลยว่าเสียงเปียโนของคุณเหมาะกับภาพยนตร์ของฉันพอดี ฉันยินดีจ่ายราคาสูงเพื่อปรับแต่งเพลง
มู่หรงเจียงเสว่สีหน้าจริงจัง
มู่หรงเจียงเสว่?ภาพยนตร์ชื่อเรื่องว่าอะไร?
Moods of Love
เป็นคุณนี่เอง
ก็ว่าอยู่ว่าฉินเฟิงเคยได้ยินชื่อมู่หรงเจียงเสว่นี้จากไหน แล้วเมื่อบวกกับMoods of Love เขาก็นึกออกทันที
มู่หรงเจียงเสว่ผู้กำกับมากฝีมือ สร้างผลงาน4-5ชิ้นติดต่อกันและดังเป็นพลุแตกทุกผลงาน มีค่าตัวมากกว่าพันล้าน เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับการต้อนรับมากที่สุด ตอนนี้กำลังวางแผนงานทำผลงานชิ้นต่อไป คือMoods of Love
นี่เป็นข้อมูลที่ได้มา ตอนฉินเฟิงกับอิ่นหนิงหยู่ไปสมัครงานที่บริษัทศิลปะปลอมๆอันห่างไกล
เขารู้จักพี่ คดีที่ฉันทำครั้งก่อน คนที่สวมรอยในนามทีมงานกองถ่ายของพวกพี่ แล้วไปทำร้ายผู้หญิงก็คือเจ้าหมอนี่นี่แหละ หลิวหลินพูดเตือนข้างๆ
พูดก็พูดเถอะ แม้เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนดีอะไร แต่ครั้งก่อนเป็นผลงานของฉินเฟิงจริงๆ
จริงเหรอ?
มู่หรงเจียงเสว่อึ้ง จากนั้นพูดออกมาด้วยความตกใจ: งั้นขอบคุณมากนะคะ คนพวกนั้นทำร้ายผู้หญิงโดยใช้นามของเรามาไม่น้อย ฉันอยากจับพวกเขาให้ได้มานานแล้ว แต่ฉันก็จนปัญญา
ไม่เป็นไรครับ ฉินเฟิงพูด
เรากลับมาเรื่องหลักดีกว่า เราวางแผนที่จะใช้เงิน2ล้านในการร่างเพลงนี้ ได้ไหมคะ? มู่หรงเจียงเสว่ถามลองเชิง
2ล้านต่อเพลงถือว่าเป็นราคาสูงที่สุดในตลาดแล้ว นอกจากมู่หรงเจียงเสว่แล้ว คงไม่มีใครให้ราคาสูงขนาดนี้แล้ว เพราะยังไงก็แค่เพลงเดียว
เพียงแต่ว่าฉินเฟิงไม่ได้ขัดสนเงิน2ล้านนี้
ขอโทษนะครับ ผมขอปฏิเสธ ฉินเฟิงพูด
คุณรู้สึกไม่พอใจตรงไหนหรือเปล่าคะ ถ้าไม่พอใจพวกเราปรึกษากันได้ ด้านราคาก็สามารถพูดคุยกันได้
มู่หรงเจียงเสว่พยายามอีกครั้ง เธอไม่ล้มเลิกเด็ดขาด
วันนั้นหลังจากที่เธอได้ยินเพลงเปียโนที่ฉินเฟิงเล่น ใจก็เต้นรัวและตัดสินใจในทันทีว่าต้องเชิญมาให้ได้ จึงไปหาหลิวหลินเพื่อสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จนสืบได้ว่าเป็นฉินเฟิง
หลิวลานเมิ่งไม่โอเค ไม่ได้หมายความว่าหลิวหลินก็ไม่โอเค เพราะหลิวหลินเป็นคนทำงานนี้
พี่ พี่หยุดใช้เงินฟาดเขาเถอะ มันเปล่าประโยชน์ หมอนี่น่ะเป็นลูกเศรษฐี มีเงินใช้อาทิตย์ละเป็นพันล้าน ไม่ขัดสนเงิน ทรัพย์สินทั้งหมดของพี่ยังน้อยกว่าเขาเลย
……
ทันทีที่หลิวหลินพูดออกมา มู่หรงเจียงเสว่มีท่าทีคับแค้นใจเล็กน้อย ระหว่างทางหลิวหลินบอกเธอแล้ว แต่นอกจากเงินเธอก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
จะใช้มารยาหญิงก็ไม่ได้
เธอยังไม่ได้แต่งงานเลย
เอางี้ ที่บ้านผมยังมีสาวน้อยคนหนึ่งชื่ออิ่นหนิงหยู่ เป็นน้องสาวของภรรยา ตอนนี้เรียนอยู่ปี3และกำลังหาที่ฝึกงานพอดี คุณจัดให้เธอไปเล่นบทงิ้วในเรื่องMoods of Loveของคุณสิ ไม่ต้องให้เล่นบทสำคัญ ผมกลัวเด็กนั่นจะได้ใจ
ตกลง
มู่หรงเจียงเสว่ตอบตกลงทันที
จริงสิ จะตั้งราคาแบบนี้ไม่ได้ นี่เป็นเพลงที่สืบต่อมาจากแม่ของผม หลังจากจบแล้ว กำไร20%ของภาพยนตร์ผมจะบริจาคให้กับโครงการสงเคราะห์เด็ก
ตกลง
สุดท้ายทั้งคู่ก็ทำสัญญากัน แต่ราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
นี่เป็นเพลงที่สืบต่อมาจากแม่ของฉินเฟิง ฉินเฟิงไม่ยอมให้เปื้อนฝุ่นหรอก แต่ก็ไม่ยอมขายออกไปด้วยราคาที่ต่ำขนาดนั้น แค่2ล้านไม่คู่ควรจริงๆ
ยินดีที่ได้ร่วมมือกันค่ะ
มู่หรงเจียงเสว่กัดฟันตอบ
20%ก็20% เพราะหลังจากเธอได้ยินเพลงนั้น ก็ไม่อยากหาเพลงของใครอีกแล้ว นี่เป็นผลงานอันภาคภูมิใจของเธอ แน่นอนว่าต้องมีเพลงที่ดีที่สุด
อีกอย่างก็ให้โครงการสงเคราะห์เด็ก ถือว่าทำความดี