“ศาสตร์หลอมอสูรนี้มันคงอยู่ถึงขั้นสานเทวะแล้วใช่หรือไม่?”
“อับอายจริง ๆ! เทพสวรรค์ผู้นี้ก็บ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรมานับล้านปีแต่กลับไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้ถึงขั้นสานเทวะ!”
“สมชื่อว่าเป็นรองมหาปราชญ์จริง ๆ เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดา!”
…
กลุ่มเทพสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ร้องร่ำออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม เพราะดูท่าพวกเขาทั้งหลายคงตื่นตะลึงกับศาสตร์หลอมอสูรนี้ของเย่หยวนมาก
เวลานี้ดวงตาของซินหลัวมันมีทั้งความตกตะลึงและความมึนงง
พลังของศาสตร์หลอมอสูรนั้นมันจะส่งผลต่อคุณภาพของโอสถที่ได้ออกมาอย่างมาก
เพราะฉะนั้นเผ่าอสูรจึงได้มองว่าศาสตร์หลอมอสูรนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อคิดหลอมโอสถ
แต่ทว่าคนที่จะบ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรได้ถึงระดับของเย่หยวนนี้ ตัวซินหลัวยังไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
ศาสตร์หลอมอสูรเองนั้นมันก็แบ่งได้เป็นขั้นต้น กลาง ปลาย สุด สี่ระดับ
เพียงแค่ว่านอกเหนือไปจากระดับทั้งสี่นี้แล้วมันยังจะมีระดับขั้นที่เหนือล้ำไปกว่านั้นก็คือขั้นล้ำจำนง ขั้นสานเทวะและขั้นเต๋าจุติ
ศาสตร์หลอมอสูรนั้นมันคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในวิชาโอสถเผ่าอสูรอย่างไม่ต้องอธิบายใด ๆ
ขั้นทั้งสี่ขั้นแรกนั้นมันคือสิ่งที่ผู้คนสามารถก้าวขึ้นถึงได้ด้วยความพยายาม
แต่สามขั้นหลังนั้นมันเป็นสิ่งที่วัดระดับความเข้าใจในเต๋า มิใช่สิ่งที่การบ่มเพาะฝึกฝนจะช่วยเหลือได้
เหล่ายอดนักบวชทั้งหลายในที่นี้ล้วนต่างเป็นยอดคนในเผ่าอสูร เป็นถึงนักบวชเจ็ดดาว แน่นอนว่าส่วนมากพวกเขาจะก้าวขึ้นมาถึงขั้นล้ำจำนงได้
เพียงแค่ว่าในหมู่คนทั้งหลายนี้มันไม่มีใครก้าวขึ้นไปถึงขั้นสานเทวะได้แม้สักคน!
แต่ตอนนี้มันกลับมีมนุษย์ที่ฝึกฝนบ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรไปได้จนถึงขั้นสานเทวะ! มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้สึกอับอาย?
เพราะแท้จริงแล้วสำหรับเย่หยวนนั้นศาสตร์หลอมอสูรมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเย็นใด ๆ แท้จริงมันก็แค่การควบคุมปราณอสูรเทวะ
และหากพูดถึงเรื่องความแม่นยำในการควบคุมปราณเทวะแล้ว มันจะมีสักกี่คนที่เก่งกาจไปกว่าเย่หยวนได้?
เมื่อผสานเข้ากับความเข้าใจอันลึกล้ำในเต๋าโอสถของเขาแล้ว การจะก้าวขึ้นถึงขั้นสานเทวะมันย่อมมิใช่เรื่องแปลกตาแปลกใจใด ๆ
เพียงแค่ว่าเมื่อมันปรากฏสู่สายตาของเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง พวกเขาย่อมจะตื่นตะลึงอย่างมาก
กงหยางเลี่ยขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที “อะไร? เจ้าจะบอกว่าศาสตร์หลอมอสูรของมันนั้นเก่งกาจมาก?”
ซินหลัวยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “มากเสียกว่าคำว่าเก่ง! ต่อให้เป็นนักบวชแปดดาวก็ตามพวกเขาเองก็คงไม่มีศาสตร์หลอมอสูรที่เก่งกาจไปกว่าเขาผู้นี้แน่! ส่วนตัวข้านั้น…ช่างอับอายในความอ่อนแอของตนนัก!”
นั่นทำให้หงยางเลี่ยต้องเบิกตากว้างขึ้นทันที เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียสุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรียนวิชาโอสถใด ๆ อย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้ช่วยเตรียมการหลอมให้มหานักบวชขนแดง
และมันก็เป็นทางมหานักบวชขนแดงที่ช่วยดึงตัวเขาขึ้นมาถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ด้วยพลังของโอสถ
ความสามารถของซินหลัวนั้น เขาย่อมจะรู้และเข้าใจดี ซินหลัวนั้นเป็นหนึ่งในเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลาย
ตอนนี้แม้แต่ตัวเขากลับยังบอกว่าตนนั้นอ่อนแอกว่า มันย่อมจะแสดงได้อย่างชัดเจนว่าเย่หยวนนั้นมีศาสตร์หลอมอสูรที่เก่งกาจล้ำปานใด!
“เช่นนั้นศึกนี้…มู่เฉินจะพ่าย?” กงหยางเลี่ยถามขึ้น
เพราะตอนนี้เขาเริ่มจะไม่มั่นใจเสียแล้ว
ซินหลัวที่ได้ยินก็ส่ายหัวออกมา “ขั้นตอนการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันซับซ้อน ศาสตร์หลอมอสูรนั้นมันแค่หนึ่งในความซับซ้อนทั้งหลาย ท่านกงหยางโปรดวางใจ มู่เฉินนั้นมีอาณาจักรและพื้นฐานที่ลึกล้ำ มิใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มอายุพันกว่าปีจะมาเทียบเคียงได้แน่ การประลองนี้ย่อมจะไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นไปได้!”
หลังได้ยินเช่นนั้นจิตใจของกงหยางเลี่ยก็เริ่มสงบลงอีกครั้ง
แต่ทว่าเรื่องราวมันกลับไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดหมาย
การประลองของคนทั้งสองนั้นมันเป็นการประลองวิชาโอสถอย่างแท้จริง ไม่มีการใช้คลื่นพลังจากการหลอมเข้าปะทะกับใด ๆ เป็นการวัดฝีมือหลอมโดยแท้ เพียงแค่ว่าการหลอมโอสถของเย่หยวนนั้นมันราวกับเป็นร่างจุติแห่งธรรมชาติ โอบล้อมโลกทั้งใบไว้ในมือ
เทียบกันแล้วทางมู่เฉินที่แม้จะมีวิชาการหลอมที่เหนือล้ำ แต่มันก็ยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป
เหล่าคนทั้งหลายในที่นี้ต่างเป็นยอดคนในการโอสถ มีหรือที่พวกเขาจะไม่สามารถมองออกได้ว่าใครเหนือกว่า?
เพียงแค่ว่าความต่างชั้นนี้ต่อให้มู่เฉินจะใช้เวลาอีกทั้งชีวิตมันก็คงไม่อาจก้าวผ่านข้ามไปได้
ซินหลัวที่ยิ่งได้เห็นยิ่งต้องแสดงสีหน้าหนักใจออกมา ตอนนี้ความมึนงงในจิตใจของเขามันพุ่งทะยานสูงล้ำจนไม่อาจอธิบายออกมาได้
เขานั้นไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่านักบวชหนุ่มเช่นนี้ เหตุใดกลับสามารถหลอมโอสถได้อย่างไร้ความผิดพลาดเช่นนี้
ไม่มีช่องว่างให้ตำหนิได้!
นั่นมันคือความรู้สึกเมื่อซินหลัวได้เห็นการหลอมโอสถของเย่หยวน!
“หลอม! ฮ่า ๆ การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เก้าวังครั้งนี้เทพสวรรค์ผู้นี้ทำได้ดีทีเดียว! ไม่ว่ารองมหาปราชญ์จะหลอมเก่งกาจปานใดเขาก็เป็นแค่นักบวชหกดาว ถามจริง ๆ ว่าจะรู้วิธีหลอมโอสถหรือยังเถอะ!”
เมื่อมู่เฉินหลอมโอสถขึ้นมาได้เขาก็ร้องกล่าวหัวเราะขึ้นเพราะพอใจกับผลงานที่ตนทำได้มาก
เพียงแค่ว่าเมื่อเขากลับมาตั้งสติได้ มันกลับรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ
เหตุใดมันไม่มีใครขานตอบใด ๆ กลับมา!
เมื่อหันไปมองดูเขาก็ได้เห็นว่าทุกผู้คนต่างมองดูเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
“พ-พวกเจ้าทั้งหลายเป็นอะไรไป? เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้นกันเล่า?” มู่เฉินร้องถามขึ้น
ซินหลัวนั้นจึงได้โยนขวดใบน้อยให้แก่เขาและบอก “เจ้าดูเองเถอะ”
มู่เฉินส่งจิตลงไปดูภายในและต้องแข็งทื่อไปทั้งกายทั้งที
มู่เฉินพ่ายแพ้ลง!
หลังจากนั้นเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายก็ได้เข้าท้าทายเย่หยวนตาม ๆ กันด้วยโอสถที่พวกเขาคิดว่าตนเองถนัดที่สุด
เพียงแค่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน พวกเขาก็ยังพ่ายแพ้ราบคาบ
กงหยางเลี่ยนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
นักบวชหกดาวนี้กลับเอาชนะยอดนักบวชเจ็ดดาวอาณาจักรวิญญาณประจิมได้สิ้น?
เรื่องราวเช่นนี้มันเป็นดั่งเรื่องเล่าในนิทาน
จนสุดท้ายยอดคนเต๋าโอสถอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรวิญญาณประจิม ซินหลัวก็ได้เข้าไปท้าทายเย่หยวนและพ่ายแพ้กลับไป!
เย่หยวนมองดูซินหลัวพร้อมส่ายหัวออกมา “อาณาจักรวิญญาณประจิมนั้นกลับไม่มีอาณาจักรบรรพกาลแม้สักคน ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงว่าวิชาโอสถของเผ่าอสูรมันด้อยกว่าเผ่ามนุษย์!”
เพราะที่แห่งนี้มันได้รวบรวมยอดนักบวชเจ็ดดาวจากทั้งอาณาจักรวิญญาณประจิมมาสิ้น แต่ทว่าในหมู่คนทั้งหลายนี้มันกลับไม่มีใครขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลสักคน
เดิมทีเย่หยวนนั้นคิดว่าซินหลัวนี้อาจจะเป็นอาณาจักรบรรพกาลและทำให้เขารู้สึกท้าทายขึ้นได้หน่อย
เพียงแค่ว่าน่าเสียดายที่ซินหลัวสุดท้ายก็เป็นแค่อาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าว ยังไม่อาจขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้อย่างแท้จริง
เมื่อผู้คนทั้งหลายได้ยินคำของเย่หยวน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าละอายใจออกมา
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วความตื่นตะลึงมันก็ยังมีมากกว่า!
ยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาล!
รองมหาปราชญ์คนนี้กลับเป็นถึงอาณาจักรบรรพกาล!
อาณาจักรบรรพกาลด้วยอายุแค่พันกว่าปี เรื่องนี้มันคือนิทานหลอกเด็กชัด ๆ!
ซินหลัวได้แต่ถอนหายใจยาวและก้มลงคารวะ “รองมหาปราชญ์นั้นช่างเก่งกาจ ซินหลัวยอมรับนับถือแล้ว!”
แต่ในเวลานั้นเองมันกลับมีเสียงหัวเราะเย้ยหนึ่งดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของคนผู้หนึ่ง
“หึ! รองมหาปราชญ์ผายลมสุนัขสิ วางท่าเป็นลึกล้ำมาก! พวกเจ้าทั้งหลายเองมันก็เป็นได้แค่ขยะ! ทำอาณาจักรวิญญาณประจิมเราเสียหน้าย่อยยับสิ้น!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็ได้แต่แสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมา
“ขอคารวะท่านนักบวชฉือเซียว!”
เมื่อได้เห็นผู้มาใหม่นี้เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็ต้องก้มหัวลงพร้อม ๆ กันทันที
ชายหนุ่มในชุดฝ้ายค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาถึงบนแท่นสูง เขาหันหน้าไปก้มหัวให้ทางกงหยางเลี่ยเล็กน้อยพร้อมกล่าวทักทาย “ขอคารวะท่านลุงกงหยาง”
เมื่อกงหยางเลี่ยได้เห็นเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันทีอย่างตื่นเต้นดีใจ “หึ ๆ ดี ๆ! เมื่อฉือเซียวมาจักรพรรดิผู้นี้ก็วางใจ!”
ฉือเซียวหันหน้าไปมองเย่หยวนด้วยท่าทางหาเรื่อง “เจ้าอย่าคิดว่าแค่ก้าวขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลก็จะเก่งกาจนัก หากคิดอยากก้าวขึ้นอยู่ระดับเดียวกับท่านอาจารย์แล้ว อย่างเจ้ามันยังเร็วไปล้านปี!”
เย่หยวนแสดงสีหน้าเย็นเยือกออกมาทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ฉือเซียวหัวเราะขึ้นพร้อมกล่าว “ข้าบอกว่าอย่างเจ้ามันยังเร็วไปล้านปี! หูหนวกหรือ?”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “คำพูดก่อนหน้านั้น!”
ฉือเซียวผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขึ้นมา “ข้าบอกว่ารองมหาปราชญ์ผายลมสุนัขสิ วางท่าเป็นลึกล้ำมาก! ทำไมเล่า? หรือว่าข้ากล่าวผิดใด?”
กงหยางเลี่ยที่ได้ยินก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่ได้การแล้ว
แน่นอนว่าเย่หยวนจึงได้ตะโกนลั่นออกมาด้วยเสียงสนั่น “เจ้าคนโอหังนี้มันโผล่หัวออกมาจากที่ใด? กงหยางเลี่ย มหานักบวชขนแดงสั่งสอนศิษย์เช่นนี้หรือ? สั่งสอนให้มันกล้าลบหลู่อาจารย์ปู่ตัวเองเช่นนี้?”
นั่นทำให้ฉือเซียวถึงกับหน้าลั่นสะท้าน ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าตนเองกล่าวผิดไป
ชื่อของรองมหาปราชญ์นั้นมันเป็นสิ่งที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแต่งตั้งขึ้น แต่เขานั้นกลับไปว่ารองมหาปราชญ์ผายลมสุนัข มันจะไม่เท่ากับบอกว่าคำพูดของอาจารย์ปู่เป็นผายลมสุนัขหรือ?
เมื่อสักครู่นี้เขาได้เห็นเย่หยวนเอาชนะยอดคนอาณาจักรวิญญาณประจิมจนสิ้นจึงกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ไม่ทันคิด เมื่อไม่ทันได้คิดใด ๆ แล้วพูดออกไป เขากลับถูกเย่หยวนนำคำพูดไม่ทันคิดนั้นมาใช้มันตัวชี้ความผิด
…………………………