หลังจากวังจ่างหลินกล่าวจบ เห็นได้ชัดเจนว่ามีความภาคภูมิใจ
ต้องรู้ว่าตอนนี้ตระกูลหลี่กำลังเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก การที่สามารถแย่งเขตอิทธิพลของพวกเขามาได้นั้นมันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการ
ยังไม่พอ
เฉินอีไม่ได้กล่าวยกย่องอีกฝ่ายและโบกมือ ผมจะให้เงินคุณอีกหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน คุณไปจัดการซื้อกิจการทั้งหมดของตระกูลหลี่ภายในสามวัน คุณทำได้ไหม?
เรื่องนี่!
ถึงแม้ว่าวังจ่างหลินจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เขาก็รู้สึกตกตะลึง
ก่อนหน้านั้นเขาคาดเดาว่า เฉินอีน่าจะจัดสรรเงินทุนเพื่อช่วยเหลือตนเอง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน
ต้องรู้ว่าธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหลี่รวมกันแล้ว มีมูลค่าอย่างมากสุดอยู่ที่แปดพันล้าน ทรัพย์สินพวกนี้ยังมีมูลค่า
เงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันล้านเพียงพอที่จะซื้อหลี่ซือกรุ๊ปได้สามบริษัทแล้ว
คุณเฉิน เงินมันมากเกินไปหรือเปล่า?
วังจ่างหลินกล่าวด้วยความตกใจ
การรับเงินจำนวนนี้มานั้นแสนง่าย แต่เมื่อรับมาแล้วมันจะกลายเป็นปัญหาที่รับมือยาก บางทีเมื่อเฉินอีเปลี่ยนใจ ตนเองไม่มีปัญญาหาเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันล้านมาคืนได้หรอก
ฮ่า ๆ ๆ อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าที่สุด คุณวางใจในการนำมันไปใช้เถอะ ถ้าคุณซื้อกิจการทั้งหมดของหลี่ซือกรุ๊ปแล้ว วังซื่อกรุ๊ปของคุณก็จะเฟื่องฟูขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว
เฉินอียิ้มอย่างแผ่วเบา
เขาไม่แยแสเงินหนึ่งหมื่นห้าพันล้านนี้
บางทีสำหรับวังจ่างหลินและจิ่งหลิงแล้ว หรือแม้แต่เศรษฐีของเมืองฉือแล้ว ตัวเลขนี้ถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง แต่เฉินอีรู้ดีว่าสำหรับสำนักมังกรลับ และสำหรับเศรษฐีชาวตะวันตกแล้ว เงินหนึ่งหมื่นห้าพันล้านเป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น
บางทีการประมูลของลึกลับสักชิ้นหนึ่งก็มีมูลค่าหลายหมื่นล้านหรือหลายแสนล้านแล้ว นั่นถึงจะเป็นเศรษฐีที่มีเงินมหาศาลอย่างแท้จริง
เฉินอีไม่พูดออกมาแน่นอน เพราะสำหรับนักธุรกิจในประเทศที่ร่ำรวยธรรมดาทั่วไปอย่างวังจ่างหลินแล้ว ตระกูลที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านหรือหลายแสนล้านก็คือตระกูลที่ร่ำรวยอยู่ระดับสูงสุดแล้ว หารู้ไม่ว่าบางตระกูลมีประวัติอันยาวนาน ความมั่งคั่งที่สะสมมาหลายร้อยปีหรือหลายพันปีก็เพียงพอที่จะสามารถเทียบความมั่งคั่งของทั้งประเทศได้
ตั้งใจทำงานให้ดี และจำไว้อีกอย่างว่าเป้าหมายของคุณไม่ใช่การเป็นเศรษฐีในเมืองฉือ หรือแม้กระทั่งไม่ได้จำกัดไว้ที่เมืองชิงชวนเท่านั้น
หลังจากเฉินอีกล่าวจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป สีหน้าของวังจ่างหลินและจิ่งหลิงนั้นเต็มไปด้วยเฉื่อยชา
คุณวัง คุณคิดว่าเจ้าพ่อเฉินมีเงินเท่าไหร่? ตอนแรกหนึ่งหมื่นล้าน และตอนนี้อีกหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน ดูเหมือนว่าเงินของเขาจะเยอะจนใช้ไม่หมด
จิ่งหลิงกลืนน้ำลายอย่างกะทันหันและถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
วังจ่างหลินยิ้มอย่างขมขื่น คุณถามผม แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร?
แต่เศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับทั้งสิบคนในประเทศ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างมากที่สุดก็ไม่กี่แสนล้าน เจ้าพ่อเฉินคงจะไม่รวยไปกว่าเศรษฐีทั้งสิบคนนั้นมั้ง
น่าจะเป็นไปไม่ได้?
วังจ่างหลินส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า ผมรู้ความหมายคร่าว ๆ ของเถ้าแก่ ถ้าใครมีเรื่องกับคุณฉิน และไม่เคารพคุณฉิน เถ้าแก่จะพยายามโจมตีเขาทุกวิถีทาง ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรเถ้าแก่ก็ไม่สนใจ
จิ่งหลิงตกตะลึงอยู่นานก่อนที่จะกล่าวประโยคหนึ่งออกมาว่า สมัยโบราณนั้นกษัตริย์โยวหวางจุดสัญญาณไฟหยอกล้อเจ้าแห่งรัฐ และตอนนี้เจ้าพ่อเฉินใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อภรรยา
ความจริงเงินจำนวนนี้สำหรับคนที่มีเงินนับหมื่นล้านแล้ว เป็นเหมือนละอองน้ำเท่านั้น ซึ่งมันทำให้จิ่งหลิงรู้สึกอิจฉาฉินปิงหลันขึ้นมา
มีสามีที่หล่อ แล้วยังเล่นเปียโนเก่งอีก และมีความสง่างามขนาดนั้น แล้วยังเป็นคนที่มีน้ำใจไมตรีและรักศีลธรรม เขาเป็นคนที่ทำให้ผู้หญิงยอมสิโรราบจริง ๆ
อย่าว่าแต่ผู้หญิงอย่าพวกคุณเลย ผมยังเกลียดที่ตนเองแก่แล้ว และไม่ใช่ผู้หญิง มิเช่นนั้นถึงผมจะขาดทุนก็ยอม
วังจ่างหลินนั้นพูดล้อเล่น แต่ไม่รู้ว่าจิ่งหลิงเกิดความหวั่นไหวจริง ๆ แล้ว
เธอไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินปิงหลัน
เฉินอีไม่รู้ความคิดของจิ่งหลิง เขาเดินขึ้นไปชั้นบน ฉินปิงหลันยืนอยู่ที่หน้าต่าง และเมื่อเธอเห็นเฉินอีกลับมา เธอก็กล่าวอย่างเร่งรีบว่า เฉินอี เมื่อสักครู่เหมือนฉันจะเห็นประธานวังและประธานจิ่ง ตอนที่คุณอยู่ข้างล่าง คุณเห็นพวกเขาหรือเปล่า?
โอ้?
เฉินอีแกล้งทำเป็นประหลาดใจและกล่าวว่า ผมไม่เห็น
แต่คิดอยู่ในใจว่าคราวนี้ตนเองชะล่าใจไปแล้ว
คราวหน้าตนเองจะไม่นัดพวกวังจ่างหลินมาพบใกล้ ๆ ฉินปิงหลัน มิเช่นนั้นถ้าภรรยาพบเจอพวกเขาขึ้นมาก็จะต้องซักไซ้ไล่เลียงอย่างแน่นอน แม้ว่าเฉินอีจะเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้าน แต่เขาก็ไม่สามารถตอบคำถาม สามคำถามติดต่อกันของฉินปิงหลันที่คุกคามถึงชีวิตได้
ฉินปิงหลันมองเขา จากนั้นเธอก็มองออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่เธอไม่เห็นวังจ่างหลินกับจิ่งหลิงแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงล้มเลิกเท่านั้น
ฉันจะไปทำอาหาร
เธอไม่อยากจะอยู่ฟรีกินฟรี อย่างน้อยก็ต้องทำประโยชน์อะไรบ้าง ถึงแม้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายจะพัฒนาไปมาก แต่ก็จำกัดอยู่แค่นี้ ก่อนจะเป็นสามีภรรยาที่แท้จริง เธอไม่ต้องการเอาเปรียบเฉินอี
ไม่ต้อง วันนี้พวกเราออกไปทานข้าวข้างนอกกันเถอะ
เฉินอีดึงตัวฉินปิงหลันเอาไว้ และกล่าวกับโต๋วโต๋วและโนว่โน่วว่า พวกลูกสองคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่ซื้อเพิ่งมาก่อนหน้านั้น แล้วพวกเราหาอาหารอร่อยทานกันข้างนอก
โอเค พ่อดีที่สุดแล้ว
พ่อค่ะ หนูอยากกินเคเอฟซี!
โต๋วโต๋วมุ่ยปากและพูดเสียงหวาน
ฉินปิงหลันตะโกนทันทีว่า ไม่ได้!
เคเอฟซีเป็นอาหารขยะ อย่าแม้แต่จะคิด!
ฮือ ๆ ๆ แม่เป็นคนไม่เลว!
โต๋วโต๋วมุ่ยปากมากขึ้นไปอีก
เฉินอียิ้มและลูบศีรษะของโต๋วโต๋ว
โต๋วโต๋ว ฟังคำสั่งของแม่น่ะ พ่อจะพาพวกลูกและแม่ไปทานของอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าเคเอฟซีดีไหม?
โอเค พ่อดีที่สุดเลย!
โต๋วโต๋วกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ในขณะที่ฉินปิงหลันรู้สึกโกรธเคือง
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี้เรียนรู้มาจากใคร?
เธออดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เฉินอี เฉินอีคุณเป็นสอนโต๋วโต๋วใช่ไหม?
ไม่ใช่ผม ผมไม่เคยสอน
เฉินอีตอบครอบจักรวาลอีกครั้ง
ฉินปิงหลันมุ่ยปาก แต่ก็ไม่สามารถระบายความโกรธของเธอได้ เธอทำได้เพียงระบายความโกรธของเธอตามแบบฉบับของผู้หญิง——
เปลี่ยนเสื้อผ้า
การเปลี่ยนเสื้อผ้าคราวนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
เฉินอีรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
แม้ว่าคราวที่แล้วตนเองซื้อเสื้อผ้าให้ฉินปิงหลันสิบชุด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลองจนถึงตอนนี้ใช่ไหม?
แต่ทันทีที่เขาคิดจบ ดวงตาของเฉินอีก็เบิกกว้าง และอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและจ้องมองตรงไปข้างหน้าในระยะที่ไม่ไกล
ตอนนี้ฉินปิงหลันไม่ได้ใส่ชุดสูทอีกต่อไป แต่เดินออกไปอย่างช้า ๆในชุดเดรสสีฟ้า และสวมรองเท้าส้นสูงสีเงิน ซึ่งทำให้บุคลิกของเธอเปลี่ยนแปลงไปมาก
ถ้าบอกว่าก่อนหน้านั้นเธอเป็นสาวสวยนักทำงาน
เช่นนั้นตอนนี้ฉินปิงหลันก็เป็นสาวสวยที่สูงศักดิ์อย่างแท้จริง แค่ปรากฏตัวก็โดดเด่นจนกลบรัศมีคนอื่น
คุณภรรยา คุณสวยมาก
เฉินอีอดไม่ได้ที่จะพูด
ฉินปิงหลันหน้าแดงขึ้นมาทันทีและกล่าวว่า คุณหุบปาก!
ได้ครับ คุณภรรยา
เมื่อเห็นท่าทางที่ว่านอนสอนง่ายของเฉินอีแล้ว โต๋วโต๋วและโนว่โน่วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ฉินปิงหลัน กระทืบเท้าด้วยความโกรธอีกครั้ง และเฉินอีรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อพยุงเธอ
คุณภรรยา อย่ากระทืบเท้าอีกเลย
อย่าเรียกฉันว่าคุณภรรยา
ได้ครับ คุณภรรยา
ฉัน! ช่างเถอะ แล้วแต่คุณ
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่เธอบอกว่าเฉินอีเป็นสามีของตนเอง ใบหน้าของฉินปิงหลันก็แดงขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเธอพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างไร มันช่างน่าอายจริง ๆ