ในตอนที่เซียวเฟิงออนไลน์กลับเข้าไปในเกม การประมูลที่ส่วนกลางของร้านค้ามหาสมบัติได้จบลงไปแล้ว เขาพลาดความสนุกในบรรยากาศเหล่านี้ไปเสียหมดเลย เรื่องเดียวที่เหลือให้เขาต้องทำในตอนนี้มีเพียงติดต่อเฉียนโตวโตวไปทางช่องทางส่วนตัวเท่านั้น
“การเจรจากับวอร์สปิริตไม่สำเร็จเหรอ? ทำไมโทเคนกิลด์ถึงไปโผล่ในงานประมูลได้?” เซียวเฟิงถามด้วยความสงสัยขณะที่ตัวเขากำลังรีบเร่งไปที่นครศักดิ์สิทธิ์
เฉียนโตวโตวเองก็รีบตอบแทบจะทันทีเช่นกัน “โอ้ เจรจาสำเร็จนะคะ ฉันก็ทำตามที่พี่เซียวแนะนำฉันมาทุกอย่างอยู่แล้ว” เธอตอบ “ฉันแค่ใช้งานประมูลนี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของร้านค้ามหาสมบัติเฉย ๆ ไม่ว่าพี่เซียวจะชอบหรือไม่ชอบ แต่วิธีนี้น่ะได้ผลเสมอนะคะ ส่วนเรื่องราคา เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกับผู้ซื้อทีหลัง เอาที่สบายใจกันเองก็ได้”
นี่เป็นความจริงอันดำมืดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการประมูล ตามปกติแล้วเธอไม่สามารถพูดมันให้คนอื่นฟังได้ แต่เพราะนี่เป็นเซียวเฟิง เธอจึงไม่สามารถซ่อนอะไรจากเขาได้เลย
และเพราะตามปกติแล้วโทเคนกิลด์นั้นจะมาจากเซียวเฟิงอยู่แล้ว ดังนั้นจะขายออกไปในราคาเท่าไหร่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
“พี่เซียว หัวหน้าทีมฮิลเลอร์ของกิลด์วอร์สปิริตถูกตาต้องใจพี่เหรอ?” เฉียนโตวโตวถามขณะบุ้ยปาก “พี่ดูเอาใจใส่เธอคนนั้นจังเลย รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าพี่ดูหลงเธอขนาดไหนน่ะ? ขนาดฉันเองยังรู้สึกอิจฉาในรูปร่างของฮิลเลอร์สาวคนนั้น ฉันเดาได้เลยว่าเธอคงตรงสเปกพี่มากเลยล่ะสิ!”
“เลิกเดามั่วซะ” เซียวเฟิงตอบทันควัน “มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะพูด ฉันอยากให้เธอช่วยจับตามองไอเทมบางอย่างให้ฉันหน่อย”
“ไอเทมอะไรเหรอ?” เฉียนโตวโตวเปลี่ยนประเด็นตามอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะมันไม่บ่อยนักหรอกที่เซียวเฟิงจะขอให้เธอช่วยทำอะไรให้
เซียวเฟิงหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด “ไอเทมที่ใช้คลายการล่องหนหรือจะเป็นอุปกรณ์ก็ได้” เขาพูดต่อ “ยาเพิ่มพลังที่ทำให้มองพวกสกิลล่องหนออกก็ด้วย” สิ่งที่อยู่ในหัวเขาตอนนี้ คือการจัดการกับผู้พิทักษ์ซ่อนเร้นตนนั้นให้ได้
เด็กสาวฟังและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อุปกรณ์คลายการล่องหนสินะ? ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะคอยโฆษณาตามหาสิ่งเหล่านี้ให้เดี๋ยวนี้เลย” จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอีกนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ตนเองต้องทำ
ชายหนุ่มใช้เวลาที่เหลือเข้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์และอยู่กับเสี่ยวไป๋ ก่อนจะกลับก็ซื้อเอาบรรจุภันฑ์สำหรับบรรจุน้ำแห่งชีวิตและน้ำแห่งการชำระล้าง แล้วส่งมันเข้าไปยังกระเป๋าของเฉียนโตวโตวอีกทีหนึ่ง
นอกจากสาขาหลักของร้านค้ามหาสมบัติแล้ว เฉียนโตวโตวตั้งใจจะสร้างสาขาย่อยของหอการค้าแห่งนี้เพิ่มด้วย ซึ่งรู้ตัวอีกที ตัวอาคารก็อยู่ในช่วงดำเนินการสร้างเสียแล้ว ความคิดที่ทำให้เกิดการสร้างสาขาย่อยนั่นก็คือความต้องการที่จะประชาสัมพันธ์ให้กับสาขาหลัก ซึ่งการประมูลขนาดใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นก็ไม่ต่างกับการป่าวประกาศให้กับผู้เล่นทั้งหมดให้รับรู้ว่า ‘ฉันเนี่ยแหละ เจ้าของร้านค้ามหาสมบัติแห่งนี้!’
การประมูลแต่ละครั้ง แม้ว่าของชิ้นใหญ่จะแตกต่างกันออกไป แต่มันจะต้องมียาระดับสูง 2 อย่างที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีกรวมอยู่ด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ทุกการประมูลไม่เคยมีคำว่าขาดทุน และเพราะแบบนี้เซียวเฟิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากช่วยเติมยาเหล่านี้ให้เฉียนโตวโตวอยู่เรื่อย ๆ
ยาทั้งสองชนิดนี้กลายเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก นั่นเพราะตัวมันสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับยาที่ดีที่สุดในตลาด ณ ตอนนี้ จริง ๆ ตลาดยาระดับสูงเองก็ประสบปัญหาอุปสงค์ล้นตลาดอยู่เหมือนกัน นั่นเพราะยาระดับสูงเหล่านี้ไม่ว่าจะสต็อกของไว้เท่าไหร่ มันก็ถูกขายหมดทันทีที่ปล่อยออกมาเสมอ เพราะงั้นแล้ว ด้วยตัวยาสุดพิเศษที่เซียวเฟิงมีนั้น จึงไม่สามารถมีใครหายาตัวอื่นมาทดแทนได้เลย และเพราะแบบนี้ ยาตัวนี้จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะมาช่วยโปรโมตการเปิดสาขาย่อยของร้านค้ามหาสมบัติให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่วันแรก
ครั้งหนึ่ง เฉียนโตวโตวก็เคยเอาปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาปรึกษากับเซียวเฟิงเช่นกัน เธอได้รับการติดต่อมาจากตัวแทนของกิลด์ขนาดใหญ่มากมายเป็นการส่วนตัวและหลายครั้งหลายครา เพื่อจะขอซื้อยาระดับสูงหายากเหล่านี้เป็นจำนวนมากด้วยราคาที่สูงลิ่ว พวกเขาต้องการยานี้เพื่อพิชิตดันเจี้ยนหรือแม้แต่กระทั่งนำไปใช้สู้กับบอสระดับสูง ทุกกิลด์ที่ติดต่อเข้ามาต่างก็ให้ข้อเสนอที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาอยากจะเสริมกำลังของกิลด์ตนเองให้สูงส่งมากขึ้นไปให้ได้ มันจึงทำให้เฉียนโตวโตวตระหนักได้ว่าตนต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่หนักใจจนยากที่จะตัดสินใจเสียแล้ว
หลังจากรับฟังและครุ่นคิดไปแล้ว เซียวเฟิงก็เห็นว่าการทำข้อตกลงกับกิลด์ขนาดใหญ่เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายซะทีเดียว ประการแรกเลย มันจะช่วยทำให้ร้านค้ามหาสมบัติได้สร้างความสัมพันธ์กับกิลด์ใหญ่ ๆ อีกมากมาย กิลด์ทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นหนี้บุญคุณร้านค้ามหาสมบัติ ส่วนประการที่สองนั้นก็เพื่อกันไม่ให้กิลด์เหล่านี้กลายเป็นศัตรูของร้านค้ามหาสมบัติ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา ทั้งนี้แม้ว่าเซียวเฟิงจะตอบตกลง หากแต่เขาก็จำกัดปริมาณการซื้อในแต่ละกิลด์เอาไว้ด้วยเหตุผล 2 ข้อ
ข้อแรก คือการไม่ให้มูลค่าของสินค้ามันลดลงหากสินค้ามีปริมาณมากพอจะตอบสนองต่ออุปสงค์ได้ ด้วยมันเป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากสินค้าชิ้นหนึ่ง ๆ มีอุปสงค์และอุปทานเท่ากัน ส่วนข้อสอง นั่นคือเซียวเฟิงขี้เกียจที่จะมาจัดการบรรจุน้ำลงขวดแล้วจัดส่งให้แต่ละออเดอร์
ด้วยการวางแผนอย่างดิบดีนี้ มันทำให้ความต้องการในตัวยามีเพิ่มมากยิ่งขึ้น และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เซียวเฟิงจะต้องแบกยากลับไปจนเต็มกระเป๋าหลังจากมาเยี่ยมหาเสี่ยวไป๋ในแต่ละวันด้วย
เวลากลางคืนก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว และมันหมายถึงเซียวเฟิงใกล้จะต้องออฟไลน์แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับภารกิจยาก ๆ มา และเลือกที่จะไปเก็บเลเวลอยู่ที่ภูเขากระดูกแทน
ตอนนี้เซียวเฟิงเลเวล 19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเขาได้เลเวลเพิ่มอีก 1 เลเวล เขาก็จะสามารถเรียนสกิลใหม่ได้ ซึ่งสกิลนี้จะถือเป็นการพัฒนาที่สำคัญต่อเขามาก ๆ อันที่จริงเซียวเฟิงก็วางแผนไว้แล้วว่าถ้าเขาเลเวล 20 เขาจะต้องเรียนสกิลอะไร นั่นก็คือ สกิลรักษา! สำหรับเขาแล้วสกิลรักษานั้นถือว่าดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นมุมของการฟื้นฟู HP ให้เพื่อนหรือใช้มันเป็นสกิลโจมตีบอสธาตุมืดหรืออันเดด
ระหว่างที่เซียวเฟิงกำลังเก็บเลเวลอยู่เงียบ ๆ นั้นเอง อีเวนท์ขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นในเขตฮัวเซีย ชื่อของมันคือ ‘ปกป้องฐานที่ตั้งของกิลด์ไดนัสตี้’
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจ เมื่อเขาได้เห็นจำนวนผู้เล่นที่สนใจเข้าร่วมกับอีเวนท์นี้ ซึ่งมันมีมากกว่า 30 ล้านคนเสียอีก!? จำนวนระดับนี้มันมากกว่าจำนวนของมอนสเตอร์ที่จะปรากฏขึ้นในแต่เวฟ*[1] หลายเท่าเลย! เพราะงั้นมันเลยทำให้ทั้งเมืองลามไปถึงนอกเมืองมีแต่ผู้เล่นมากมายเต็มไปหมด เป็นจำนวนที่เห็นแล้วยังต้องแอบกลัวแม้จะไม่ได้เป็นศัตรูก็ตาม
ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นการแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกิลด์ไดนัสตี้ได้เป็นอย่างดีในฐานะกิลด์อันดับหนึ่งแห่งเขตฮัวเซีย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกิลด์ไดนัสตี้ได้อีกด้วย มีกิลด์มากมายกว่า 10 กิลด์ที่ตัดสินใจที่จะช่วยพวกเขาในสงครามป้องกันฐานครั้งนี้ เพราะแบบนี้มันจึงทำให้บริเวณโดยรอบฐานที่ตั้งของกิลด์ไดนัสตี้ มีผู้เล่นมากมายพร้อมด้วยอาวุธครบมือกำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าความสำเร็จของสงครามป้องกันฐานที่ตั้งจะสำเร็จได้ง่ายหรือยากก็ขึ้นอยู่จำนวนผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในสงครามครั้งนั้น ๆ นั่นแหละ แต่ครั้งนี้มันต่างจากครั้งอื่นมาก ๆ ด้วยผู้เล่นจำนวนมากขนาดนี้ มอนสเตอร์จะได้เข้าใกล้บริเวณรอบนอกได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
บางคนได้กล่าวเอาไว้ว่าแม้แต่บอสที่นำทัพมอนสเตอร์ออกมาก็ยังไม่คณามือคนเหล่านี้เลย ซึ่งตามปกติแล้วเวฟหลัง ๆ จะมีบอสเลเวล 30 เข้ามาร่วมกับมอนสเตอร์ด้วย ทว่าบอสเหล่านี้ไม่สามารถออกมาได้แม้จะเป็นจุดเกิดของตนเองเสียด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่มันเกิด เหล่าผู้เล่นมากมายจะรุมล้อมแล้วระดมโจมตีจากทั่วทิศทาง ไม่มีจุดไหนเลยที่เป็นรูโหว่ให้บอสสามารถทะลวงแนวตั้งรับได้ พวกมันทำได้เพียงยืนรอเวลากลายเป็นศพ หลังจากที่เวลาปลดปล่อยเวฟในแต่ละรอบหมดลงเท่านั้น นั่นหมายถึง ทันทีที่เริ่มเวฟใหม่ ทั้งบอสและมอนสเตอร์ประจำเวฟนั้นก็แทบจะตายลงไปในทันทีเลย
ด้วยเหตุนี้เอง กิลด์ไดนัสตี้จึงกลายเป็นกิลด์แรกในเขตฮัวเซียที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันฐานที่ตั้งของตนไว้ได้ ผู้เล่นมากมายที่เข้าร่วมจึงพลอยได้รับค่าประสบการณ์อันมหาศาลหลังจากสิ้นศึกครั้งนี้ด้วย ภายในพริบตา กิลด์มากมายก็ถูกก่อตั้งขึ้น ทั้ง ๆ ที่เมื่อเช้านี้มีโทเคนกิลด์ถูกขายผ่านการประมูลที่ร้านค้ามหาสมบัติเพียงแค่ 2 ชิ้นแท้ ๆ แต่ตกเย็นมา พื้นที่ในอันดับกิลด์ประจำเขตฮัวเซียก็เต็มไปด้วยกิลด์ที่เปิดใหม่มากมายเสียแล้ว
ท่ามกลางกิลด์เหล่านี้ มีชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นแล้วทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงกันไปหมด นั่นก็คือ การกลับมาอีกครั้งของกิลด์มิดซัมเมอร์ที่เคยทำภารกิจตั้งฐานที่มั่นล้มเหลวไปแล้ว มันเป็นการกลับมาที่เกินคาดมาก ๆ ข่าวนี้กระทบกับทุกกิลด์รวมไปถึงกิลด์ใหญ่ ๆ เองก็ตาม เหล่าผู้เล่นที่ประสงค์ร้ายถึงกับพากันตั้งกระทู้ในฟอรั่มเพื่อ ‘อัญเชิญ’ เจ้าแห่งฮีลเลอร์ให้มาดูสิ่งนี้
เซียวเฟิงฟังเรื่องทั้งหมดจากเฉียนโตวโตวมาก่อนแล้ว และแน่นอนยังไงเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงทุ่มเวลาและความใส่ใจทั้งหมดให้กับการเก็บเลเวลเพียงคนเดียวไปแทน
คืนนั้น เฉียนโตวโตวมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ของเซียวเฟิง ตามปกติแล้วเธอจะเป็นคนดำเนินการประมูลที่จะเกิดขึ้นในแต่ละสัปดาห์ เพราะอย่างนี้เมื่อการประมูลของสัปดาห์นี้จบลง เธอจึงตัดสินใจให้เวลาหยุดงานแก่ตนเองเสียบ้าง โดยเลือกที่จะมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ในคืนนี้
“เซียวหลิง วันนี้เธอก็สวยไม่สร่างเหมือนเดิมเลยนะ แล้วพี่เซียวล่ะ? ยังออนไลน์อยู่เหรอ?”
เฉียนโตวโตวไม่ได้มาตัวเปล่า เธอเตรียมของติดไม้ติดมือมาด้วย และของส่วนใหญ่ที่ติดมือมาก็คืออาหารที่ดูน่าอร่อยทั้งนั้น ทันทีที่เธอเข้ามา เธอก็กล่าวทักทายเซียวหลิงก่อนอย่างไม่รีรอเลย
“ฮึ่ม! อย่างน้อย ๆ ก็ดูเหมือนเธอจะหัวดีพอที่จะรู้จักส่งเครื่องบรรณาการให้ฉันสินะ ดี และในเมื่อฉันเป็นองค์หญิงหลิงของเธอแล้ว ฉันจะขอกล่าวชมและอนุญาตให้เธอเจอหน้าทาสส่วนตัวของฉันได้”
เซียวหลิงกำลังเล่นเกมอยู่ขณะที่เฉียนโตวโตวเข้ามาถึง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้พกถุงอาหารฟาสฟู้ดถุงใหญ่มาด้วย แววตาของเธอก็เปล่งประกายราวกับจะพุ่งไปฉกขโมยของในมืออีกฝ่ายทันที เซียวหลิงมองซ้ายมองขวาจนมั่นใจแล้วว่าเซียวเฟิงและหนิงเคอเค่อจะไม่เห็นการกระทำของเธอแน่ ๆ มือเล็กก็รีบหยิบขนมทั้งหลายไปซ่อนไว้ในที่ของตน ไม่ว่าจะเป็นใต้โซฟา ในกล่องเครื่องเกม อันที่จริงทุกที่ที่สามารถยกหรือขยับได้เธอก็เอาไปซ่อนหมดนั่นแหละ
หลังจากที่ซ่อนขนมเสร็จหมดแล้ว เซียวหลิงก็แสดงท่าทีพึงพอใจต่อหน้าเฉียนโตวโตวพร้อมกับพูดออกมาด้วยความชื่นชม ทำตัวเหมือนคนแก่ที่ภาคภูมิใจเวลาไม่โดนลูกหลานทอดทิ้งเสียอย่างนั้น ส่วนเฉียนโตวโตวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำชื่นชมของอีกฝ่ายที่ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วเซียวหลิงชมเธอหรือขนมกันแน่
“ขอบคุณมากเลยนะ เซียวหลิง!”
เธอยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปที่ด้านหลังของเซียวหลิงก่อนจะช่วยนวดไหล่เล็ก ๆ นั้นอย่างประจบสอพลอ ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เซียวหลิงรู้สึกพึงพอใจในตัวเธอมากขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก เซียวเฟิงถึงได้เดินออกมาจากห้องของตน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเห็นหนิงเคอเค่อเดินออกมาจากห้องครัวเพื่อที่จะเสิร์ฟอาหารเย็นด้วย ทว่าคราวนี้เขากลับต้องตกใจ นั่นเพราะหนิงเคอเค่อในตอนนี้กำลังสวมชุดเมดแม่บ้านยอดฮิตอยู่
“อ๊าาาาา พี่เซียว! พี่มัน…ฮึ่ม! พวกเราไม่ได้เจอกันแค่วันเดียวเองนะ! วันนี้พี่พาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้านแล้วเหรอ!? แถมยังเป็นเมดโลลิอีก! คุก! คุกนะพี่เซียว!!” เฉียนโตวโตวที่เผอิญเดินมาเห็นเหมือนกันก็อุทานออกมาแล้วชี้นิ้วไปยังหนิงเคอเค่อราวกับเจอผี
ท่าทีโอเวอร์ของเฉียนโตวโตวทำให้ความมั่นใจของหนิงเคอเค่อหายวูบไปอย่างมาก เธอรีบก้มหน้าลงด้วยความกลัวทันที
เซียวเฟิงได้ยินแบบนั้นก็ดุขึ้นมา “เฮ้ย ๆ เลิกเดามั่วซั่วน่า” พูดไปอย่างนั้นแล้วเขาก็หันไปมองหนิงเคอเค่อด้วยความประหลาดใจ “เคอเค่อ? เธอไปเอาชุดนั้นมาจากไหนน่ะ?”
ชุดเมดของหนิงเคอเค่อนั้นน่ารักมาก ๆ เนื้อผ้าสีขาวสะอาดประดุจหิมะที่ถูกฉลุลายดอกไม้ไว้อย่างสวยงามที่ชายผ้า ควบคู่มากับที่คาดหัวฉลุลายเดียวกันตัดกับเนื้อผ้าสีดำ ที่คอยกระชับโครงชุดให้เข้ารูปกับเรือนร่างอันน่าทะนุถนอมของหนิงเคอเค่อ
ถึงแม้ว่าไซส์ของมันจะเหมาะเจาะสำหรับตัวเธอ แต่ความแน่นนั้นไม่พอดีเอาเสียเลย เนื้อผ้าบริเวณทรวงอกโตของเด็กสาวมันแทบจะปริแตกออกมาได้ทุกเมื่อจนเผยให้เห็นผิวเนินอกขาว ๆ นั้นอยู่อย่างรำไร ดูเหมือนเธอจะ ‘โต’ เกินเด็กอายุ 14 ไปจริง ๆ นั่นแหละ
“ฉะ…ฉัน…ได้มาจากองค์หญิงหลิง…” หนิงเคอเค่อพูดด้วยความหวาดหวั่นและลุกลี้ลุกลน แววตาที่กำลังสั่นคลอนเหลือบมองเซียวเฟิงผ่านผมหน้าม้าที่ปรกหน้าตนเอาไว้ขณะก้มหน้าอยู่เช่นนั้น
เขาพยักหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเซียวหลิงเองก็มีชุดพวกนี้เยอะอยู่เหมือนกัน บางทีชุดนี้เองก็อาจจะแขวนรวมอยู่กับพวกชุดเดรสเจ้าหญิงของเธอก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นเซียวหลิงหยิบชุดแบบนี้มาใส่เลย
เซียวหลิงที่ตามมาทีหลังสุดเปล่งเสียงตะโกนแสบแก้วหูทันที เมื่อจากมุมมองของเธอนั้น เธอเห็นว่าสายตาของเซียวเฟิงกำลังจับจ้องอยู่กับหน้าอกของหนิงเคอเค่อขณะพยักหน้า
“ทำไมไม่รีบเงยหน้าซักทียะ! นายมันงี่เง่า! ลามก! เป็นเจ้าทาสไม่ได้เรื่อง!” เด็กสาวดูจะเกรี้ยวกราดมาก ๆ ซึ่งในขณะเดียวกันดวงตาของเธอก็แสดงให้เห็นว่าตนกำลังอิจฉาหน้าอกของหนิงเคอเค่ออยู่ด้วย
ไม่เพียงแต่เซียวเฟิงที่โดน เพราะเซียวหลิงยังหันไปหาหนิงเคอเค่อต่อทันที “นี่ ยัยหนิงนมใหญ่! ใครอนุญาตให้เธอเอาหน้าอกลามกนั่นของเธอมาล่อลวงเจ้าทาสไม่ได้เรื่องของฉันกันน่ะ หา! เพราะงั้นถอดมันออกเดี๋ยวนี้เลย!!”
จากนั้นเซียวหลิงก็กระโจนเข้าไปหมายจะฉีกชุดของหนิงเคอเค่อให้ขาดออกจากเจ้าตัว ซึ่งมันทำให้หนิงเคอเค่อหวาดกลัวมาก ๆ จนเริ่มจะมีน้ำตาไหลออกมา
เซียวเฟิงที่เพิ่งตระหนักได้ว่าตนนั้นเผลอจ้องหน้าอกของหนิงเคอเค่อไปเสียแล้ว เพราะงั้นเขาจึงรีบละสายตาออกมาและกระแอมไอก่อนจะเดินไปหยุดเซียวหลิงเอาไว้ “เลิกป่วนไปทั่วได้แล้ว ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วนะ”
ด้วยความฉลาดของหนิงเคอเค่อ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะทำอาหารให้กลายเป็นของไหว้ราหูไป แต่เธอก็ใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการเรียนรู้ที่จะทำข้าวต้มเอาไว้ ดังนั้นมื้อเย็นฝีมือเธอครั้งนี้ จึงกลายเป็นข้าวต้มหม้อใหญ่ที่ขาวสะอาดประดุจชุดเมดที่เธอสวมใส่อยู่นั่นแหละ
ในเมื่อคืนนี้มีเฉียนโตวโตวร่วมโต๊ะอาหารด้วย เซียวเฟิงจึงเป็นฝ่ายเข้าไปทำอาหารเพิ่มอีก 2 อย่างด้วยตนเอง ซึ่งระหว่างที่เขากำลังทำอาหาร หนิงเคอเค่อก็เข้ามายืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มราวกับกำลังเรียนรู้และช่วยหยิบจับของบางอย่างเพื่อให้ตนเองเกิดการจดจำไปด้วย จนกระทั่งเซียวเฟิงทำอาหารเหล่านั้นเสร็จ หนิงเคอเค่อก็พลอยเหนื่อยแทนไปด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้เห็นและได้ทำเมื่อครู่นั้นมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอมาก
“เจ้านาย…เก่งจังเลยค่ะ…” หนิงเคอเค่อพูดด้วยเสียงเบา ตอนนี้เธอไม่ได้หวาดกลัวเซียวเฟิงเหมือนเมื่อตอนกลางวันเสียแล้ว แววตาของเธอเปล่งประกายราวกับมีกลุ่มดาวมากมายกำลังเรียงรายอยู่ในแววตานั้น
เซียวเฟิงมือกระตุกจนแทบจะทำจานในมือร่วงลงพื้น “ใครบอกให้เธอเรียกฉันแบบนั้นน่ะ?” เขาถามออกมาด้วยสีหน้าเหวอ
คำถามของเซียวเฟิงมันทำให้หนิงเคอเค่อกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง “มะ…มะ…มันไม่ดีเหรอคะ?” เธอถามขณะที่มองเซียวเฟิงด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าเธอจะเผลอทำเรื่องไม่ดีออกมาอีกครั้ง
“เปล่าหรอก มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวฉันเองสักเท่าไหร่น่ะ แปปหนึ่งนะ ขอฉันคิดก่อน…” เซียวเฟิงยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ๊ะ คิดออกละ ทำไมเธอไม่เรียกฉันว่า ‘นายท่าน’ แทนล่ะ? นายท่าน แบบนี้เป็นไง?”
“นะ…นายท่าน?” หนิงเคอเค่ออยากจะบอกกับเขาเหลือเกินว่า ‘นายท่าน’ นั้นดูจะแก่เกินไปสำหรับเขามาก ๆ แต่เธอก็ไม่กล้าจะพูดแบบนั้นออกไปต่อหน้าเซียวเฟิง
ชายหนุ่มพยักหน้า “อืม เอาตามนั้นก็แล้วกัน” แต่ในใจก็ยังแอบคิด ‘แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเป็นพวกเจ้าขุนนางเก่า ๆ แก่ ๆ จังเลยแฮะ?’ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังชื่นชอบที่จะถูกเรียกว่า ‘นายท่าน’ อยู่ดี
การที่มีหนิงเคอเค่ออยู่ที่นี่ด้วย มันทำให้เซียวเฟิงไม่ต้องกังวลเรื่องงานบ้านงานเรือนอีกต่อไป เพราะฉะนั้นหลังจากที่กินข้าวเย็นกับสาว ๆ เสร็จแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบปลีกตัวขึ้นมาออนไลน์ต่ออย่างไม่รอช้าทันที นั่นเพราะเซียวเฟิงยังไม่ได้ทำภารกิจดันเจี้ยนสักอย่างเลยในวันนี้
และภารกิจพวกนี้จะรีเฟรชใหม่ทุกเที่ยงคืนด้วย ดังนั้นแล้วเขาไม่สามารถปล่อยโอกาสให้เสียเปล่าไปได้ ภารกิจดันเจี้ยนถือเป็นแหล่งขุดหาขุมทรัพยท์ชั้นดีเลย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ระดับสูงรวมไปถึงหนังสือสกิลทั้งหลาย
[1]เวฟ (Wave) คือ กลุ่มมอนสเตอร์ที่จะโถมเข้ามาสู่เป้าหมายในสงครามปกป้องฐานที่ตั้ง จะถูกแบ่งเป็นรอบ ๆ เรียกแทนแต่ละรอบด้วย เวฟ เช่น เวฟที่ 1, เวฟที่ 2 เป็นต้น ตามปกติแล้วยิ่งเวฟสูงขึ้นความแข็งแกร่งโดยรวมของมอนสเตอร์ภายในเวฟนั้น ๆ ก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย