บทที่ 361 โฮมรัน
บทที่ 361 โฮมรัน
หลังจากผ่านเหล้าไปสองแก้ว ดวงตาที่มีเสน่ห์ของจืออี้ก็เย้ายวนและสะดุดตามากขึ้น ราวกับว่าพวกมันกำลังจะทำให้คนอื่นมึนเมา หญิงสาวจ้องไปที่เซียวเฟิงตรง ๆ ใบหน้าที่งดงามและเย้ายวนถูกย้อมด้วยสีแดงเล็กน้อย
“ท่านเซียว คุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทใจง่ายหรือเปล่า?” จืออี้ถามเซียวเฟิง สีหน้าของเธอเศร้าเล็กน้อย คำด่าของเจียงโจวนั้นมันแย่เกินไป แต่สำหรับจืออี้ หญิงสาวคุ้นเคยกับความอับอายนี้แล้ว
“ไม่!” เซียวเฟิงตอบโดยไม่เงยหน้า กลืนสเต็กในมือของเขา
“ทำไมล่ะ?” ดวงตาสีม่วงที่สวยงามของจืออี้เปล่งประกายอย่างเจิดจ้า ยังคงจ้องมองที่เซียวเฟิง
“เพราะเธอยังบริสุทธิ์อยู่” เซียวเฟิงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ เขาไม่ได้ตาบอด
“คุณ…” แม้ว่าจืออี้จะมีเสน่ห์ แต่เธอก็อายและเผยความเขินอายในขณะนี้ จากนั้นเธอก็กลอกตาใส่เซียวเฟิงอย่างอาย ๆ
หญิงสาวดื่มเหล้าจากแก้วในมือของเธอ บางทีอาจเพราะรีบเกินไป แอลกอฮอล์จาง ๆ จึงไหลลงมาจากริมฝีปากสวยของเธอจนถึงคอเรียว และแววตาของจืออี้เริ่มดูเหงา
“ท่านเซียว คุณรู้ไหมว่าตระกูลซางกวนและตระกูลซีเหมินคิดจะจัดการแต่งงานระหว่างฉันกับซีเหมินชุยเสวีย” จืออี้ฝืนยิ้มเศร้าเล็กน้อย
“ซีเหมินชุยเสวียงั้นเหรอ?” ในที่สุดเซียวเฟิงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมความประหลาดใจในสายตาของเขา
“ใช่ เขาเป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลซีเหมิน เป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากที่สุดในบรรดาตระกูลใหญ่ ตระกูลซางกวนสนับสนุนการแต่งงานระหว่างเราอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าจะถูกตระกูลอื่นขโมยโอกาสไป พวกเขาทั้งหมดเพิกเฉยต่อความรู้สึกของฉัน ยิ่งไปกว่านั้น ฉันถูกส่งตัวไปให้ตระกูลซีเหมินตั้งแต่อายุแค่ 13 ปี”
จืออี้เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นและต่อต้านตัวเองซึ่งหาได้ยาก “เพราะฉันเกิดมาพร้อมกับร่างทรงเสน่ห์”
“เกิดมาพร้อมกับร่างทรงเสน่ห์!” เซียวเฟิงตกใจพร้อมมองไปที่จืออี้ เขาไม่ได้ขัดจังหวะ แต่ฟังเธอต่อ
“ซีเหมินชุยเสวียเป็นอัจฉริยะด้านเคนโด้ แต่เขาไม่แยแสอย่างยิ่ง ราวกับว่าทุกอย่างยกเว้นเคนโด้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเขา นั่นรวมถึงฉันด้วย ฉันเกลียดเขา เบื่อหน้าเขา”
“ในช่วงครึ่งปีแรกตั้งแต่ฉันไปอยู่กับตระกูลซีเหมิน ฉันไม่เคยเห็นเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเมินฉันอย่างไม่ไยดี แต่หลังจากที่รู้ว่าฉันมีร่างทรงเสน่ห์เกินเด็ก อีกทั้งยังสวยงาม เขาก็ปรากฏตัวขึ้น ความตั้งใจของเขานั้นก็ง่าย ๆ นั่นคือจะครอบครองฉัน! ทั้งที่ตอนนั้นฉันอายุแค่ 13 ปีเอง!”
เมื่อพูดเช่นนี้ อารมณ์ของจืออี้ก็ผันผวนด้วยความเศร้าและความทุกข์ยากในสายตาของเธอ
เซียวเฟิงเงียบและไม่พูดอะไร เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องร่างทรงเสน่ห์ของตระกูลโบราณที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์โบราณ ร่างทรงเสน่ห์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งอื่นใดนอกจากสมบัติ!
ร่างทรงเสน่ห์จะปรากฏในผู้หญิงเท่านั้น ในการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง ผู้ชายมักจะสูญเสียในขณะที่ผู้หญิงได้รับการหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ร่างทรงเสน่ห์จะสามารถหล่อเลี้ยงฝ่ายชายได้ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เรียนรู้เวทมนตร์โบราณอย่างยิ่ง
เดิมทีก็มีความสัมพันธ์การแต่งงานระหว่างกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ซีเหมินชุยเสวียจะได้รับจืออี้ผู้มีร่างทรงเสน่ห์ไปในที่สุด แต่เมื่อนับเวลาดี ๆ แล้ว ในตอนนั้นซีเหมินชุยเสวียก็ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ แต่เขาต้องการครอบครองจืออี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงนิสัยของซีเหมินชุยเสวียได้อย่างเห็นได้ชัด บางทีเขาอาจจะไร้กฎเกณฑ์เกินไปด้วยรัศมีของความเป็นอัจฉริยะ หรือตามที่จืออี้พูด ทุกอย่างสำหรับเทพดาบคนนี้แล้ว เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น!
“ฉันไม่ต้องการที่จะยอมรับชะตากรรมที่โหดร้ายที่ถูกจัดไว้ให้นี้ ดังนั้นฉันจึงขัดขืน ฉันแทงซีเหมินชุยเสวียและหลบหนีออกจากตระกูลซีเหมิน”
“แต่ทั้งตระกูลซางกวนก็โกรธจัดและตำหนิฉันที่เป็นแกะดำของตระกูลซางกวน พวกเขาขับไล่ฉันออกจากตระกูลซางกวน”
“ฉันไร้ที่ไป แต่โชคดีที่ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ซางกวน อาโอเชินแอบช่วยไม่ให้ฉันต้องไปเร่ร่อนตามท้องถนนและสามารถหาที่อยู่ได้”
“แต่ซีเหมินชุยเสวียก็ไม่ปล่อยฉันไป เขาไล่ตามฉัน ลูกพี่ลูกน้องของฉันขัดขวางเขาและเข้าต่อสู้กัน แต่ลูกพี่ลูกน้องของฉันก็พ่ายแพ้ สุดท้ายเขาก็เยาะเย้ยลูกพี่ลูกน้องของฉันและตระกูลซางกวนอย่างดูถูก”
“ทว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพื่อปกป้องฉันและเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูลซางกวน”
“ในที่สุดซีเหมินชุยเสวียก็ยอมถอย เขามีความรอบคอบและไม่กล้าทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะไม่ว่าจะเป็นการบังคับฉันหรือดูถูกตระกูลซางกวนต่อสาธารณะมันก็ไม่ดีสำหรับเขาถ้าเรื่องกระจายออกไป”
“แต่เขายังทิ้งคำพูดไว้ เมื่อวันแต่งงานมาถึง หรืออีกนัยหนึ่งคือ วันแต่งงานที่มั่นหมายไว้ เขาก็จะยังมาพาฉันไป นี่คือการตัดสินใจของทั้งสองตระกูล ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความปรารถนาของเรา ลูกพี่ลูกน้องของฉันรู้เรื่องนี้ ฉันเองก็เช่นกัน”
“ดังนั้น ฉันที่ไม่เต็มใจที่จะมีชะตากรรมที่โหดร้ายก็เลยเริ่มแสดงพฤติกรรมที่โจ่งแจ้ง เพิกเฉยต่อสายตาและการดูถูกจากผู้อื่น ทั้งหมดนี่ มันก็ชัดแล้ว ว่าฉันคือตัวซวย …ใช่ไหมล่ะ?”
จืออี้ยิ้มอย่างน่าสงสาร เธอหยิบขวดขึ้นมาและดื่มโดยตรง แอลกอฮอล์ไหลหกลงมามาก ไหลลงมาจากมุมปากของเธอไปถึงต้นคอ แล้วราดลงบนหน้าอกที่มีแต่บิกินี่ปกปิด
“เธอกำลังเมา” เซียวเฟิงเอื้อมมือออกไปและคว้าขวดออกมา หยุดเธอไว้
“ฉันไม่ได้เมา เอาคืนมานะ!”
จืออี้พุ่งใส่เซียวเฟิงเพื่อคว้าไวน์ ทว่าเธอจะทำสำเร็จได้อย่างไร? สุดท้าย เธอก็ทำได้แค่พิงเซียวเฟิงและจับเขาไว้ราวกับว่าเธอยอมแพ้แล้ว
“ท่านเซียวรู้ไหม? ฉันคิดเสมอว่าฉันไม่สามารถหนีโชคชะตาได้ เพราะซีเหมินชุยเสวียนั้นทรงพลังเกินไป รัศมีแห่งความอัจฉริยะปกคลุมตัวเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในกลุ่มลูกหลานของตระกูลโบราณหรือในโลกของเกม เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเสมอ”
“ทว่าตัวตนของคุณทำลายรัศมีความไร้เทียมทานของเขา และทำให้ฉันรู้ว่าเขาก็แพ้ได้เช่นกัน ซึ่งแสดงให้ฉันเห็นรุ่งอรุณของการหลุดพ้นจากชะตากรรมนี้”
“ครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณต่อสู้กับเขา คือช่วงกิจกรรมล่าสมบัติ คุณสวนเขากลับได้ และบีบให้เขาต้องรีบกลับเข้าเขตปลอดภัย มันช่างตลกและไร้สาระจริง ๆ”
“ฉันยังเห็นครั้งที่สองที่คุณต่อสู้กับเขา ในอารีน่าของเมืองหลวง คุณฆ่าเขาอย่างซึ่ง ๆ หน้า แม้จะไม่มีของสวมใส่ช่วย เขาก็ไม่สามารถเอาชนะคุณได้ รัศมีความอัจฉริยะของเขาหายไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ”
“ครั้งที่สามคือตอนที่กิลด์แอนติควิตี้โจมตีกิลด์วอร์สปิริตฮอลล์ เดาว่าคุณก็น่าจะรู้ที่มาของกิลด์แอนติควิตี้ด้วย ทีมที่นำโดยซีเหมินชุยเสวีย คนรุ่นใหม่ของตระกูลโบราณ สร้างกองกำลังที่หยุดไม่ได้และพวกเขาก็ทำลายการป้องกันของกิลด์วอร์สปิริตฮอลล์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะมาถึงฐานที่ตั้งกิลด์ คุณก็ปรากฎตัวมาราวกับพระเจ้า และจัดการเหล่าผู้เล่นชั้นยอดที่หยิ่งผยองในชั่วพริบตา…”
“ฉันเคยอยู่ใต้เงาของพรสวรรค์และพลังของซีเหมินชุยเสวียมาโดยตลอด เป็นคุณเองที่ทำลายเงานี้ และทำให้ฉันรู้ว่าซีเหมินชุยเสวียนั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน ดังนั้นฉันจึงสามารถมองเห็นรุ่งอรุณได้อีกครั้ง”
ดวงตาของจืออี้นั้นอ่อนโยนราวกับน้ำหรือไวน์ที่ทำให้มึนเมาและหลงเสน่ห์ ปากและจมูกของเธอยังพ่นลมหายใจผสมกับกลิ่นหอมของไวน์อีกด้วย คางที่สวยของเธอซบบนไหล่ของเซียวเฟิง ขณะที่เรือนร่างที่ร้อนแรงของเธอซึ่งถูกปกคลุมเพียงบิกินี่บาง ๆ เท่านั้นก็พิงเซียวเฟิงอย่างแนนสนิท
“เธอดื่มมากเกินไปแล้ว” เซียวเฟิงไม่คิดว่าจืออี้จะมีอดีตแบบนี้ แต่ในขณะนี้ จืออี้กำลังเมาอย่างเห็นได้ชัด มิฉะนั้นเธอจะไม่เปิดเผยอะไรมากนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อม
“ท่านเซียวคิดว่าฉันบอกคุณเพราะฉันเมาจริง ๆ เหรอ?” อย่างไรก็ตาม จืออี้เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและมองไปที่เซียวเฟิงอย่างตลบตะแลง ถ้าเธอไม่แสร้งทำเป็นเมา เธอจะมีโอกาสดี ๆ ที่จะแนบชิดกับเซียวเฟิงได้อย่างไร?
“…” เซียวเฟิงได้แต่เงียบ ในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเธอเมาหรือไม่
“ฉันไม่มีเสน่ห์เท่าโรสงั้นเหรอ? ท่านเซียวดูเหมือนไม่สนใจฉันเลย”
จากนั้นจืออี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง และร่างกายที่บอบบางซึ่งแนบติดอยู่กับเซียวเฟิงก็บิดเบี้ยวและแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
“ไม่ เธอมีเสน่ห์”
เซียวเฟิงตอบ คราวนี้เขาพูดความจริง จืออี้เกิดมาพร้อมกับร่างทรงเสน่ห์ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจที่ร้ายแรงสำหรับผู้ชาย นั่นคือเหตุผลที่เขานั่งนิ่งและไม่กล้ามองจืออี้
“จริงนะ?”
“จริงสิ”
“ท่านเซียวอยากสัมผัสรสชาติของร่างทรงเสน่ห์ไหม?” ทันใดนั้นจืออี้ยกร่างกายส่วนบนของเธอ ริมฝีปากสีแดงของเธอเข้าใกล้หูของเซียวเฟิง และพูดข้างหูของเซียวเฟิงด้วยน้ำเสียงเย้ายวนใจ
“ฮะ?”
เซียวเฟิงถึงกับตัวแข็งและมองจืออี้ด้วยความตกใจ
“ฉันบอกว่า คุณอยากสัมผัสรสชาติของร่างทรงเสน่ห์ไหม?”
จืออี้พูดซ้ำอีกครั้ง แต่ใบหน้าที่งดงามของเธอได้เปลี่ยนเป็นสีแดงที่บริเวณหูแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้กล้าเหมือนที่เธอแสดงออกมา
“แบบนี้ไม่ดีแน่” เซียวเฟิงไม่คิดว่าจืออี้จะพูดเรื่องนี้ จากนั้นก็คิดแล้วตอบ
“ฉันไม่ดีเท่าโรสงั้นเหรอ?” จืออี้ใกล้เข้ามาอีกครั้ง ริมฝีปากสีแดงเกือบจะติดหูของเซียวเฟิงขณะที่เธอกระซิบ ลมหายใจร้อนเป่าเข้าหูของเซียวเฟิง
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะร่างกายของฉันแข็งแกร่งเกินไป เธอรับฉันไม่ได้หรอก และนี่เป็นครั้งแรกของเธอ” เซียวเฟิงส่ายหัว และเพื่อเป็นการพิสูจน์ เขาหยิบส้อมข้าง ๆ มาแล้วนวดให้เป็นแผ่นอย่างง่ายดาย
“ไม่เป็นไร ฉันมีร่างทรงเสน่ห์ ฉันคิดว่าฉันสามารถลองดูได้” มีความประหลาดใจในดวงตาที่สวยงามของจืออี้ แต่โชคดีที่เธอได้รับการเตรียมใจมาแล้วหลังจากได้เห็นฉากที่เซียวเฟิงจับกระสุนปืนในอากาศ ดังนั้นเธอจึงพูดต่อไป
“เอ่อ…” เซียวเฟิงยังคงลังเล พูดตามตรง เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับร่างทรงเสน่ห์มามากมาย มันมีประโยชน์อย่างมากในทุกด้าน ถ้าเขาบอกว่าไม่ต้องการ นั่นคงจะเป็นการโกหกอย่างแน่นอน
แต่อย่างที่เซียวเฟิงบอก ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเปลี่ยนไปมากกว่าคนทั่วไป และด้านนั้นเองก็เช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงธรรมดาจะรับชายหนุ่มได้
นี่คือเหตุผลที่เขามักจะอดกลั้นไว้เสมอเมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเฉียงเหว่ยและสาวคนอื่น ๆ เขาไม่ต้องการจะทำร้ายพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอมีร่างทรงเสน่ห์ บางทีเธออาจจะทนได้มากกว่าคนทั่วไปใช่ไหม?
เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะคิด อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เซียวเฟิงจะคิดมากกว่านี้ จืออี้ก็เริ่มผลักเซียวเฟิงไปที่เตียงและร่างกายที่มีสัดส่วนสมบูรณ์ก็กอดรัดเขาไว้ราวกับงู
ในสถานการณ์เช่นนี้เซียวเฟิงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เหตุผลหลักคือ ถ้าเขาปฏิเสธอีกครั้ง นั่นจะทำให้จืออี้เสียหายมากกว่า ดังนั้นเซียวเฟิงจึงถอนหายใจแล้วหันไปเริ่มกดจืออี้ที่อยู่ใต้ตัวเขาแทน