บทที่ 362 จางเซียวเฟิง
บทที่ 362 จางเซียวเฟิง
นี่คือการสื่อสารของร่างกายต่อร่างกายแบบดั้งเดิมที่สุด ซึ่งเต็มไปด้วยความกำกวม แต่น่าเสียดายที่หลังจากสามชั่วโมงของการต่อสู้บนเตียงอันดุเดือดผ่านไป ตอนจบก็ไม่น่าพอใจนัก
ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ภายใต้ผืนผ้าห่มบาง ๆ ร่างที่บอบบางของจืออี้แทบมีสภาพเป็นอัมพาตเหมือนโคลน หยาดเหงื่อซึมผ้าปูที่นอน และลมหายใจของเธอก็อ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอ่อนแอถึงขีดสุด
ร่างกายส่วนบนที่เปลือยเปล่าและมีสัดส่วนที่ดีของเซียวเฟิงพิงกับหัวเตียง เขาไม่เพียงแต่รู้สึกสดชื่นแค่น้อยนิด ทั้งยังรู้สึกหดหู่และอึดอัดอย่างไม่อาจทนได้ เซียวเฟิงกำลังนึกอยากจะสูบบุหรี่แรง ๆ สักมวนถ้าเขามี
เมื่อเข้าไปใต้ผ้าห่มและบีบหน้าอกของจืออี้ ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมก็ทำให้เซียวเฟิงแทบจะไม่สามารถหยุดตัวเองออกจากมันได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีแต่ต้องทำมัน
“อ่า ไม่ ฉันทำไม่ไหวแล้ว” จืออี้ที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาของเธออย่างรวดเร็ว ตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก
“เธอเป็นคนที่อยากทำ กลายเป็นเธอเองที่ทำไม่ได้เนี่ยนะ” เซียวเฟิงดึงมือของเขาออก หมดคำจะพูดโดยสิ้นเชิง
“คุณ… คุณไม่ถึงจุดสุดยอดมาสามชั่วโมงแล้ว! คุณเป็นคนเหล็กหรือเปล่าเนี่ย?”
น้ำเสียงของจืออี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ต้องขอบคุณร่างทรงเสน่ห์ของเธอที่ทำให้ตัวเองสามารถทนได้นานขนาดนี้ หากเปลี่ยนเธอไปเป็นผู้หญิงธรรมดาคนอื่น ๆ หลังจากสามชั่วโมงต่อเนื่องกัน บวกกับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นต้องทนทุกข์ทรมานมากและมีความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิต
เซียวเฟิงพูดไม่ออกและไม่อยากพูด เขาเคยเตือนเธอมาก่อนแล้ว แต่เธอก็ไม่เชื่อ
“คุณ… ทรมานมากไหม?” เมื่อเห็นเซียวเฟิงหดหู่ จืออี้ก็ถามอย่างระมัดระวัง
“เธอคิดว่าไงล่ะ?” เซียวเฟิงถามอย่างโกรธเคือง
“ขอฉันพักก่อนแล้วเราค่อยทำต่อ โอเคไหม?” จืออี้รู้สึกผิด
“ช่างมันเถอะ ถ้าเธอทำอีกครั้ง เธอจะตกอยู่ในอันตรายแน่ ๆ” เซียวเฟิงส่ายหัว ก้มลงหยิบเสื้อยืดที่ถูกโยนลงใต้เตียงและเตรียมจะใส่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียวเฟิงก้มลง จืออี้ก็เห็นรอยแผลเป็นที่น่าตกใจสามรอยบนหลังของเซียวเฟิงในทันที แววตาที่ตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาคู่งามของเธอ
“คุณ… แผลที่หลังของคุณมาจากไหน?” จืออี้อดไม่ได้ที่จะเหยียดแขนที่อ่อนพอ ๆ กับลำเทียนออกมาจากใต้ผ้าปูที่นอน และมือเนียนราวกับหยกก็สัมผัสแผ่นหลังของเซียวเฟิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
แผลเป็นทั้งสามนี้น่ากลัวเกินไปจริง ๆ เป็นรอยฉีกมาจากไหล่จนถึงเอวและแทบจะแยกทั้งร่างออกจากกัน
“มันไม่เป็นอะไรแล้ว มันก็แค่แผลนกข่วนน่ะ” เซียวเฟิงสวมเสื้อผ้าและตอบอย่างสบาย ๆ
“เซียวเฟิง!”
ทว่าจืออี้กลับลุกขึ้นจากเตียงและปล่อยให้ผ้าห่มที่คลุมร่างกายหลุดออกไป เผยให้เห็นร่างกายที่อ่อนโยนและเย้ายวน หญิงสาวมองเซียวเฟิงอย่างขุ่นเคืองเพราะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางสบาย ๆ ของเซียวเฟิง
“ฉันรู้ว่าตัวตนของคุณนั้นพิเศษ แต่คุณไม่สามารถเชื่อใจฉันได้เลยงั้นเหรอ?”
จืออี้กัดริมฝีปากของเธอเบา ๆ ดวงตาที่มีเสน่ห์ของเธอกำลังคร่ำครวญราวกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งหลังจากถูกเล่นด้วย
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แม้ว่าตัวตนของฉันจะเป็นความลับอยู่นิดหน่อย แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดมัน” เซียวเฟิงส่ายหัวแล้วนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง ห่อผ้าห่มให้จืออี้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ
เพราะถ้านับตามจริงแล้ว จืออี้เป็นผู้หญิงของเซียวเฟิงคนแรกในประเทศของฮัวเซีย และยังเป็นคนแรกในฐานะ ‘มนุษย์’ อีกด้วย
“ฉันชื่อเซียวเฟิง แต่นามสกุลของฉันคือจาง” เซียวเฟิงกล่าว
“จางเซียวเฟิง?” จืออี้แข็งตัวและทันใดนั้นเธอก็ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ “เดี๋ยวก่อน! จางเสี่ยวหยู! จางเซียวเฟิง! คุณมาจากตระกูลจางงั้นเหรอ? ลูกชายนอกรีตของตระกูลจางที่ฝ่าฝืนกฎของตระกูลจาง แยกตัวออกจากตระกูล และในที่สุดก็สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ในการแข่งขันระดับโลก ในชื่อออลเรเลียน่ะนะ!”
ดวงตาที่สวยงามของจืออี้ตกตะลึง เธอไม่เคยคิดว่าเซียวเฟิงจะเป็นสมาชิกของตระกูลจาง! ไม่น่าแปลกใจที่เขามีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขารู้เรื่องตระกูลโบราณอย่างชัดเจน!
“แต่ไม่ใช่ว่าจางเซียวเฟิงถูกลอบสังหารโดยประเทศที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเสียหายหลังจากที่เขาชนะการแข่งขันระดับโลกเมื่อห้าปีที่แล้วหรอกเหรอ? ไม่ใช่ว่าเขาตายในต่างประเทศไปแล้วหรอกเหรอ?”
จืออี้อุทาน เหตุการณ์ในปีนั้นดังมากในหมู่ตระกูลโบราณหลายตระกูล เธอก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน
“จริงเหรอ? สรุปว่าข่าวที่ส่งถึงประเทศบ้านเกิดเป็นแบบนี้สินะ ในปีนั้น ตอนที่ฉันถูกฆ่า ปฏิกิริยาของตระกูลจางเป็นยังไงบ้าง?”เซียวเฟิงพยักหน้าและถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“คนสายเลือดตรงเสียชีวิตก็ต้องทำให้ตระกูลจางโกรธอยู่แล้ว ว่ากันว่าในตอนนั้นพวกเขาเกือบจะล้างแค้นกับประเทศนั้นเลย แต่แล้วพวกเขาก็ถูกห้ามไว้ด้วยเหตุผลบางอย่างและจบลงโดยไม่มีอะไรแน่ชัด” จืออี้ครุ่นคิดก่อนตอบ
“จบลงโดยไม่มีอะไรแน่ชัด?” เซียวเฟิงยิ้มอย่างเฉยเมย ส่ายหัวและพูดต่อ “มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในปีนั้น ฉันถูกฆ่าตายในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนว่าฆาตกรจะมาจากประเทศบ้านเกิดนี่แหละ”
“ประเทศบ้านเกิด? มันเป็นไปได้ยังไงกัน! อย่าว่าแต่ผลงานใหญ่ที่คุณทำเพื่อประเทศของเราเลย แม้ว่าคนทั่วไปจะไม่รู้จักตัวตนของคุณ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในประเทศบ้านเกิดก็ต้องรู้จักคุณแน่นอน มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
จืออี้หยุดกะทันหัน เนื่องจากสันนิษฐานบางอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ มิฉะนั้น พวกเขาจะเปิดเผยเรื่องราวภายในที่จะทำโลกสั่นสะเทือน
“ฉันเกือบตายในต่างประเทศและถูกองค์กรนักฆ่าพาตัวไป พวกเขาช่วยชีวิตฉันและเปลี่ยนร่างของฉันให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ฉันหายตัวไปในครั้งนี้ก็เพื่อกลับไปที่ฐานองค์กรนักฆ่านี้”
เซียวเฟิงอธิบายสั้น ๆ แต่เพียงอธิบายพูดถึงเพียงองค์กรนักฆ่าเฮล และปกปิดเฮฟเว่นที่ลึกลับยิ่งกว่า
“รอยแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการที่คุณกลับไปยังองค์กรนักฆ่าในครั้งนี้งั้นเหรอ?”
จืออี้ตอนนี้เงียบลง เธอวางมือที่ราวกับหยกของเธอลงบนเสื้อยืดของเซียวเฟิงและลูบรอยแผลเป็นบนหลังของเซียวเฟิงเบา ๆ แม้ว่าเซียวเฟิงพูดด้วยท่าทีปกติและสบาย ๆ แต่จากรอยแผลเป็นเธอรู้ว่าเซียวเฟิงต้องหลบหนีมาได้อย่างหวุดหวิดในช่วงเวลาที่เขากลับไปนี้!
ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะทิ้งอุปกรณ์และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดไว้ก่อนที่จะจากไป บางทีเขาอาจจะเตรียมจากไปแบบไม่กลับแล้วก็ได้!
“ไม่เป็นไรแล้ว หลังฉันกลับไปครั้งนี้ ฉันก็พบว่าองค์กรนักฆ่าถูกทำลายและฉันก็เป็นอิสระแล้ว” เซียวเฟิงหัวเราะอย่างสบายใจ
“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นท่านเซียวของเรากลับมาแล้วใช่ไหม?” จืออี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะเบา ๆ
“แน่นอน เป้าหมายของฉันคือการครองโลกเกม” เซียวเฟิงดูดุดันมากขึ้น
“ถ้าคุณต้องการครองโลกเกม คุณต้องเก็บเลเวลให้ทัน คุณจะใช้หมวกเกมของฉันเข้าสู่ระบบก็ได้ ฉันต้องพักผ่อนก่อน” จืออี้หมดแรงแล้ว เธอไม่สามารถแม้แต่ควบคุมเปลือกตาของตัวเองได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นปฏิกิริยาจากการทำงานหนักเกินไป ด้วยเหตุนี้เธอจึงฝังตัวลงในหมอนของเธอทันที
เซียวเฟิงห่มผ้าให้จืออี้ เขายิ้มให้จนกระทั่งจืออี้หลับไป แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งเครียด
ชายหนุ่มลืมเบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายที่บงการอยู่เบื้องหลังไปแล้ว แต่คำพูดของจืออี้ได้ปลุกเขาขึ้นมาทันที และทำให้นึกถึงบางสิ่ง
แม้ว่าเขาจะละเมิดกฎของตระกูลจางและถูกตัดออกจากชื่อสกุลของเขา แต่ยังไง เลือดของตระกูลจางก็ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกาย การหายตัวไปของเขาในเวลานั้นทำให้ตระกูลจางตกใจ อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงก็ได้รู้จากจืออี้ว่าตระกูลจางที่กำลังจะก่อเรื่องใหญ่ถูกยับยั้งไว้!
เซียวเฟิง ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจาง ย่อมรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตระกูลจาง ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ที่เหนือกว่ากองกำลังธรรมดา!
อย่างไรก็ตาม มันถูกยับยั้งไว้แม้ว่าผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจะถูกฆ่าตายในต่างประเทศ!
ในฮัวเซีย ใครจะสามารถทำเช่นนั้นได้?
ในตอนนั้น เซี่ยกวงเหวยถูกเซียวเฟิงบังคับให้กระโจนไปสู่ความตาย เขาทำเช่นนั้นเพียงเพราะเขาเพิกเฉยต่อเรื่องนั้นและไม่สามารถทนต่อการทรมานของเซียวเฟิงได้? หรือเขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา เพราะเมื่อมันรั่วไหลไปแล้ว ผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่าการเสียชีวิตของเขาหรือ?
เซียวเฟิงไม่มีเบาะแส ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดา
หลังจากเงียบไปนาน เซียวเฟิงก็เอื้อมมือออกไปและหยิบหมวกเกมสีขาวของจืออี้จากข้างเตียงมาสวม จากนั้นก็กลับสู่โลกของเกมหลังจากห่างหายไปนาน
“ยินดีต้อนรับสู่โลก มิธ!”
[ติ๊ง! คุณได้พบเมืองฟูซูแล้ว! ค่าชื่อเสียง +1000!]
หลังจากตาเบิกกว้างเพราะแจ้งเตือนของระบบแล้ว สภาพแวดล้อมที่เขาเห็นก็ไม่ใช่โรงแรมของเมืองเทียนหลงตอนที่เขาออกจากระบบ แต่เป็นทุ่ง
เซียวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาทิ้งร่างตัวละครของตัวเองไว้ในโรงแรมตอนที่เขาออกจากระบบ แล้วเขามาที่นี่ได้อย่างไร?
เซียวเฟิงส่ายหัวอย่างสับสน แล้วจึงปิดช่องเก็บของและค้นหาม้วนคัมภีร์เทเลพอร์ตของเมืองแห่งความโศกเศร้า พร้อมที่จะกลับไปที่นั่นก่อน
[ติ๊ง! การเทเลพอร์ตล้มเหลว คัมภีร์เทเลพอร์ตของเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่พร้อมใช้งาน]
ทว่าเมื่อแสงสีขาวหายไป เซียวเฟิงก็ยังคงอยู่ที่เดิม และเสียงระบบแจ้งเตือนว่าเทเลพอร์ตล้มเหลวก็ดังขึ้น
“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” เซียวเฟิงหยุดนิ่งอีกครั้ง เขาไม่เคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
หลังจากคิดถึงดูแล้ว เซียวเฟิงก็เปิดรายชื่อเพื่อน แต่พบว่าแถบรายชื่อนั้นเป็นสีดำสนิท ซึ่งทั้งหมดไม่สามารถติดต่อได้
เซียวเฟิงตกตะลึงอีกครั้ง หลังจากคำนวณเวลาแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงทานอาหาร ทำไมหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ถึงไม่เข้าสู่ระบบ?
เซียวเฟิงส่ายหัวและเมินเรื่องนี้ไป เนื่องจากเขาไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย และชายหนุ่มก็ไม่รู้เบอร์โทรของหลิวเฉียงเหว่ยหรืออื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้
เป็นผลให้เขาต้องยอมแพ้และมองไปรอบ ๆ ที่ที่เขาอยู่
แผนที่ระบบแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เซียวเฟิงตั้งอยู่ในสุสานของเมืองหลักที่เรียกว่าเมืองฟูซู แต่เขาไม่พบเมืองหลักรอบ ๆ เลยมีเพียงทุ่งโล่งเท่านั้น เขาสามารถเก็บเลเวลด้วยโกเลมหินในบริเวณนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นที่กระจัดกระจายบางคนได้เลี่ยงพื้นที่ของโกเลมหินอย่างต่อเนื่องและรีบมุ่งไปที่ป่าหินด้านหลัง
“เร็วเข้า! จักรวรรดิกาลาดู กำลังรับสมัครสมาชิกลงดันเจี้ยน! นี่จะเป็นการเปิดภารกิจดันเจี้ยนเลเวล 35!”
“เร็วเข้า! ตอนนี้เรากำลังแข่งความเร็วกับเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด หากเราตามจักรวรรดิกาลาดูไปแล้วผ่านได้เป็นคนแรก มันจะไม่เพียงแค่เป็นเกียรติของเขตเราเท่านั้น แต่ยังเป็นเกียรติส่วนตัวของเราด้วย!”
ผู้เล่นกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งผ่านเซียวเฟิงและวิ่งไปที่ป่าหิน พวกเขาทุกคนมีของสวมใส่พร้อมและดูรีบร้อน
คำพูดของพวกเขาดึงดูดความสนใจของเซียวเฟิงในทันที ดันเจี้ยนเลเวล 35? เพิ่งถูกค้นพบงั้นเหรอ?
เซียวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วติดตามผู้เล่นเหล่านี้ไปติด ๆ ดันเจี้ยนเลเวล 35 ให้ค่าประสบการณ์มากมาย ซึ่งเหมาะให้เซียวเฟิงที่จะเก็บเลเวล
ในตอนนี้ ของสวมใส่ที่ดร็อปได้ทั้งหมดก็ถึงเลเวล 35 ซึ่งพอดีกับเซียวเฟิงที่ตอนนี้มีเลเวล 36 ท้ายที่สุดเซียวเฟิงไม่มีของสวมใส่ในตัวเขาเลย
ที่สำคัญที่สุดคือนี่คือโอกาส! ยังไงเซียวเฟิงก็ต้องอยากมีส่วนร่วม แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อกิลด์จักรวรรดิกาลาดูมาก่อน แต่ตราบใดที่เขตฮัวเซียชนะการผ่านครั้งแรก ทุกอย่างก็โอเค
“ตอนนี้ไม่เอานักรบแล้ว! นักธนูและนักเวทก็มีพอแล้ว! มีนักบวชไหม? เราเข้าดันเจี้ยนได้เลยถ้ามีนักบวช! เร็วเข้า!”
ในไม่ช้า เซียวเฟิงก็เดินตามผู้เล่นกลุ่มใหญ่ไปที่ทางเข้าสโตนเฮนจ์ ซึ่งมีปาร์ตี้ผู้เล่นรออยู่แล้ว ผู้เล่นสาวสวยที่อยู่ข้างหน้าตะโกนใส่ผู้เล่นที่ไร้สังกัด
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาขาดแต่นักบวช ผู้เล่นไร้สังกัดที่รีบเร่งทุกคนก็ตกตะลึงและมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นอาชีพสายสร้างความเสียหายต่อวินาทีทั้งหมด
“เร็วเข้า! มีนักบวชไหม! ยังต้องการตำแหน่งฮีลเลอร์อยู่! เรารีบจะชิงการผ่านกลุ่มแรกของเซิร์ฟเวอร์อยู่นะ! หากมีนักบวช โปรดสมัครเข้าร่วมปาร์ตี้มาด้วย!” ผู้เล่นสาวสวยตะโกนอีกครั้งเมื่อไม่มีใครตอบ
“ฉันเป็นนักบวช” เซียวเฟิงมาถึงในจังหวะที่ว่า และหลังจากได้ยินประโยคนี้ เขาก็รีบตะโกนและก้าวออกมา