The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 14 หลอกลวง

ตอนที่ 14 หลอกลวง

ท้องฟ้าไม่ทันสิ้นแสง ไกลออกไปเมฆาทมิฬบินลัดข้ามขอบฟ้ามา

 ฝนกรดมาแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ  เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่ยี่หระ หญิงผู้นั้นยังคงร้องห่มร้องไห้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจไยดี

ชายผู้นี้ดูไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นบาดแผลจากรอยมีดก็เดาออกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าชายผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในโรงงาน แต่ถูกฆ่าตายจากการต่อสู้ต่างหาก

พอกลับมาถึงกระท่อมของพวกเขาแล้ว ห่าฝนก็เทลงมาอย่างรวดเร็ว

เหยียนลิ่วหยวนนั่งบนม้วนที่นอนแล้วพูดออกมาทันทีว่า  พี่อยากได้คำขอบคุณจากผู้อื่นไม่ใช่เหรอ เป็นหมอก็น่าจะได้รับคำขอบคุณง่ายมากเหมือนกันนะ เมื่อก่อนตอนหมอชรายังอยู่ ทุกคนต่างสำนึกซาบซึ้งใจเขาทั้งนั้น แต่ผมไม่แนะนำให้พี่ไปเป็นหมอหรอกนะ หนึ่งเลย บ่อยครั้งที่การเป็นหมอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สอง พี่ไม่มีทักษะทางการแพทย์แม้แต่กระผีกเดียว 

เริ่นเสี่ยวซู่หันมามองเหยียนลิ่วหยวนด้วยใบหน้าว่างเปล่า  แล้วจะมาพล่ามทำเพื่อ! 

เดี๋ยวก่อนนะ!

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกเหมือนว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป ถึงเขาไม่มีทักษะทางแพทย์ก็จริง แต่เขาเรียนได้นี่หน่า!

คัมภีร์เรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐานอีกสองม้วนที่ได้รับมาจากพระราชวังในห้วงจิตเขายังใช้ได้อยู่ เอาไปใช้สักม้วน เขาก็น่าจะสามารถเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากผู้อื่นได้สินะ?

พอถึงตอนนั้น เขาก็เริ่มรักษาคนไข้ หรืออย่างน้อยก็สามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของตนเองกับเหยียนลิ่วหยวน หรือแม้แต่เอาไว้ใช้เผื่อเกิดอุบัติเหตุก็ได้

ตอนที่หมอชรายังอยู่ เขามักจะออกไปเก็บสมุนไพร ตอนนั้นหมอชรายิ้มกล่าวกับผู้คนว่า  ต่อให้ยุคสมัยนี้พวกสัตว์จะร้ายกาจมากยิ่งขึ้น แต่พวกสมุนไพรนั้นก็มีฤทธิ์ดีขึ้นเช่นกัน 

ด้วยเหตุนี้หมอชราจึงใช้ทักษะในการคัดแยกสมุนไพรและทักษะการรักษาอันยอดเยี่ยมของตนไปรักษาผู้คน นอกจากนี้ยังขายสมุนไพรที่เก็บด้วยราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินด้วย

แต่แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เป็นคนดีแบบหมอชราคนนั้น เขาเพียงรู้สึกว่าถ้าตนเองมีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยมแล้ว ก็คงสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินในอนาคตได้ง่ายขึ้น แถมที่สำคัญสุดคือไว้หาเงิน!

ปกติแล้วเหยียนลิ่วหยวนจะมีอาการเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน เพราะผลจากการอธิษฐานขอพร ต่อให้เขาไม่อยากให้เหยียนลิ่วหยวนต้องใช้พลังแล้วเจอผลเสียพวกนี้ แต่ถ้าพวกเขาถูกบังคับให้ต้องทำขึ้นมาล่ะ?

 ฉันจะเป็นหมอ!  เรี่นเสี่ยวซู่พูด ดวงตาสว่างโรจน์ด้วยความเด็ดเดี่ยว

 พี่เอาจริงใช่ไหมเนี่ย  เหยียนลิ่วหยวนตะลึงไปเลย  ใช่ว่าพี่จะมีทักษะทางการแพทย์เสียหน่อย อย่าหาเรื่องไปทำคนตายเลยน่า ถึงพวกเราจะช่วยคนอื่นไม่เป็น ก็ไม่ควรไปทำร้ายพวกเขานะ… 

เริ่นเสี่ยวซู่โบกหัวเหยียนลิ่วหยวนไปทีหนึ่ง  พูดมากตลอด ฉันเคยคิดจะไปทำร้ายคนอื่นด้วยเหรอ 

เริ่นเสี่ยวซู่วางแผนไว้แล้ว ถ้าเขากลายเป็นหมอ กิจการทำกำไร รายรับมั่นคง!

คนในเมืองมักบาดเจ็บกันอยู่ตลอด จำเป็นต้องไปหาหมอรักษา

เขาคิดแล้วทำเลย วันต่อมาเริ่นเสี่ยวซู่ตื่นแล้วแต่ไม่ได้ไปโรงเรียนทันที หลังจากกัดขนมปังได้สองคำ ก็ไปนั่งยองๆ รออยู่หน้าคลินิก

ทว่าคลินิกกลับเปิดทำการสาย เริ่นเสี่ยวซู่รอมาถึงตอนบ่าย ประตูคลินิกก็ยังคงปิดสนิทอยู่

หลังช่วงบ่าย ยามนาฬิกาในป้อมปราการร้องดังบอกเวลาบ่ายสอง หมอหนุ่มค่อยเปิดประตูคลินิกออกอย่างไม่รีบร้อน บิดขี้เกียจเอาร่างอาบแสงอาทิตย์ แต่ก่อนที่เขาจะยืดบิดขี้เกียจจนสุดตัวก็ต้องสะดุ้งเฮือกหลังจากเห็นเริ่นเสี่ยวซู่นั่งยองๆ อยู่ที่หน้าทางเข้า

 มาหาหมอเหรอ เอาเงินมาหรือเปล่า  หมอหนุ่มถาม

หมอหนุ่มไม่คิดจะถามเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ป่วยเป็นอะไรมา เขาถามแต่เรื่องเงิน

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด  ไม่ได้มาหาหมอ นายอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ 

หมอหนุ่มนิ่งงัน เอ็งไม่ได้มาหาหมอ แล้วมานั่งยองๆ หน้าประตูฉันทำไมวะ

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานที่อยู่ในพระราชวัง

เขาเห็นตัวคัมภีร์หนังถูกเผาไหม้และสลายหายไปในฉับพลัน

[สุ่มเรียนรู้หนึ่งในทักษะของเป้าหมาย]

[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะขี้โม้โอ้อวดจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]

เริ่นเสี่ยวซู่ยืนตะลึงอยู่กับที่ ฉันจะเรียนทักษะขี้โม้โอ้อวดไปทำไม!

เขาเกือบลืมไปแล้วว่าคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานจะสุ่มทักษะมาให้เขาเรียน ซึ่งเขาควบคุมอะไรไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ…ทำไมเอ็งมีทักษะขี้โม้โอ้อวดด้วยวะ ของแบบนี้เรียกว่าเป็นทักษะด้วยเหรอ! ไอ้คนบัดซบ!

เริ่นเสี่ยวซู่มองเจ้าหมอหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยาม คนผู้นี้น่ารังเกียจเสียจริง ในเมื่อตัวเองมาแย่งชามข้าวผู้อื่น แต่แย่งเสร็จแล้วตีซ้ำ ก็คงดูไม่ดีเท่าไร

หมอหนุ่มโดนจ้องจนรู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อยๆ ขณะกำลังจะพูดอะไร ก็นึกได้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นใคร!

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยมารักษากับเขาที่คลินิก แต่ทั้งสองต่างได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างของกันและกัน หนึ่งเป็นหมอคนเดียวในเมือง หนึ่งเป็นคนใจเหี้ยมชื่อดัง พวกเขาย่อมรู้จักกันเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น หมอหนุ่มจึงรู้สึกขวัญผวาขึ้นมา…

 นายคิดจะทำอะไร  เจ้าหมอถามเสียงหวาดๆ

 พอไม่มีอะไรทำก็พูดโม้โอ้อวดเล่นงั้นเหรอ  เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่สบอารมณ์

หมอหนุ่มงุนงง  พูดถึงอะไรเนี่ย 

เริ่นเสี่ยวซู่คร้านจะคุยด้วยแล้ว เขาต้องไม่อยากได้ทักษะที่เรียนรู้ไปก็ไร้ค่าแบบนี้แน่นอน เลยได้แต่ต้องยอมเสียคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

จากนั้นเขาก็ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานม้วนที่สอง

[สุ่มเรียนรู้หนึ่งในทักษะของเป้าหมาย]

[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะหลอกลวงจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]

เรียนรู้ไข่สุนัขสิ! นี่มันเชี่ยอะไรวะ!

เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหมอหนุ่มน่าตายด้วยสายตาขมึงทึง  อายุแค่นี้ทักษะมั่วซั่วไปหมดเลยนะ 

เจ้าหมอหนุ่มแทบน้ำตาไหลพราก  พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย 

 ไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันพูดอะไร แต่ดูเหมือนนายจะชอบหลอกคนอื่นเป็นว่าเล่นเลยนี่  เริ่นเสี่ยวซู่ถาม  นายไปหลอกใครมาบ้าง ไม่คิดจะเล่าให้ฉันฟังบ้างเหรอ 

 พูดอะไรไร้สาระ ฉันเคยไปหลอกคนเสียที่ไหน… 

เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนมีเหตุผล หลังจากเสียหายไปหนักขนาดนี้ เขาวิเคราะห์สถานการณ์ตนเอง เขาต้องการทักษะทางการแพทย์ เขามั่นใจมากว่าในอนาคตเดี๋ยวก็มีโอกาสที่พระราชวังนั่นจะให้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานอีกม้วน แต่เขาไม่รู้ว่าภารกิจจะมาตอนไหน

ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงอยากรู้ว่าทักษะการแพทย์ของฝ่ายตรงข้ามดีขนาดไหนก่อน และคุ้มค่ากับที่ตัวเองจะลงทุนลงแรงเรียนไหม

เขาเอ่ยถามในใจ ‘ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าหมอนี่อยู่ระดับไหน’

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถทราบข้อมูลได้]

[เป้าหมายไม่มีทักษะทางการแพทย์]

ไอ้@[email protected]#[email protected]!

แม่เอ็งสิ!

เริ่นเสี่ยวซู่อยากเอาหม้อใหญ่ที่เขาพกไปไหนต่อไหนฟาดใส่สักที จะว่าไปตอนที่ออกจากบ้านเมื่อเช้า เขาพกมาด้วยพอดี

ถึงว่าทำไมแม่*หลอกคนเก่งฉิบ นี่เอ็งแม่*ไม่มีทักษะทางการแพทย์สักกระผีก ทำแต่หลอกคนไปทั่วมาตลอดสินะ?

ทำไมหมอชราถึงมีลูกชายไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ!

คนผู้นี้ใช้เพียงชื่อเสียงจากหมอชราเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ในเมืองไม่มีหมอคนอื่นอีก จึงสามารถหลอกลวงผู้อื่นได้อย่างไร้ข้อกังวล หากคนไข้รอด ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่รอด คนอื่นก็ว่าถึงคราวตายอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียขนาดหมอชราก็ยังไม่อาจรักษาให้หายได้ทุกคนเลย

แถมที่สำคัญสุด ก่อนที่หมอชราจะจากไป เขาทิ้งยาสมุนไพรไม่น้อยไว้ให้ลูกชาย แถมยังแจกแจงไว้ด้วยว่าอาการยังไงรักษาอย่างไร ที่ต้องทำก็แค่เขียนใบจ่ายยาไปตามอาการก็เท่านั้น

วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รับบทเรียนแล้ว ถ้าเขาเจอคนที่ไม่สามารถคัดลอกทักษะได้แต่ครั้งแรก เช่นนั้นเขาก็ควรมั่นใจเสียก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามมีทักษะที่เขาต้องการแต่แรกจริงๆ…

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท