The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 46 ตายอย่างลึกลับ

ตอนที่ 46 ตายอย่างลึกลับ

ก่อนหน้าเพราะว่าพวกเขาอคติกับเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว เลยยังไม่เชื่อกันอยู่เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นหมอคนเดียวในเมือง ก็ตอนเจอหน้ากันครั้งแรก เขายังอาศัยอยู่ในกระท่อมอยู่เลย ไปๆ มาๆ ไม่กี่วันกลายเป็นหมอไปได้อย่างไร

ถ้ามีวิชาจริงก็ต้องทำอาชีพรักษาอยู่แล้วไหม

แต่ดูตอนนี้สิ ขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นไร้ไม้ตอกแบบนี้ มีวลีโบราณหนึ่งเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้มาก ‘ป่วยจนวิกฤตก็เลยไปหาหมอมั่วๆ’

แต่ว่า คำตอบของเริ่นเสี่ยวซู่กลับทำให้พวกเขาตะลึงตาแตกกันหมด หมอผีคือเชี่ยอะไรวะ

 ถอยไป  หลิวปู้ผลักเริ่นเสี่ยวซู่ออกไป จากนั้นก็เดินไปหาคนขับที่บาดเจ็บ แล้วถามอย่างเป็นห่วง  โอเคไหม เจ็บหรือเปล่า 

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปสำรวจรอบๆ ตอนเริ่มมีรถกระบะหนึ่งคัน ออฟโรดห้าคัน แต่ตอนนี้เหลือแค่สี่แล้ว

ดูท่าแล้วจะซ่อมรถที่พังเสียหายทั้งสองคันน่าจะซ่อมยากมาก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีความรู้ทางด้านช่างยนต์ เลยได้แต่ดูว่าพวกทหารกองกำลังส่วนตัวจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ร้อยตรีสูเสี่ยนฉู่พาคนของตัวเองมาสำรวจรถ ก่อนจะพบว่ารถที่โดนกวางยักษ์ขวิดจนกระเด็นนั้นหมดทางซ่อมแล้ว ด้วยเพราะมีรูทะลุหลายจุดตรงเครื่องยนต์

แต่กวางยักษ์ตัวนั้นก็ไม่จากไปโดยไร้รอยขีดข่วนเช่นกัน เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเศษเขากวางอยู่ตรงพื้น ดูเหมือนจะแตกออกเพราะแรงกระแทก

หลิวปู้ไปหาสูเสี่ยนฉู่แล้วถาม  ซ่อมได้ไหม 

 ขอไปดูรถคันที่พลิกคว่ำก่อน  หลังจากตรวจสอบเสร็จ สูเสี่ยนฉู่ก็ว่า  รถคันนี้ซ่อมไม่ได้แล้ว แต่รถอีกคันไม่เสียหายเท่าไรเพราะว่าไม่ได้ชนต้นไม้แรงมาก ตอนนี้ทำได้แค่ชำแหละซากของคันพลิกคว่ำมาซ่อมคันนี้ 

 ซ่อมได้แค่คันเดียว?  หลิวปู้ผงะ  งั้นพวกเราต้องทำยังไงดี พวกเรามีคนตั้งเยอะนะ! 

สูเสี่ยนฉู่คิดพักหนึ่งพลางว่า  ที่ท้ายกระบะรถน่าจะมีที่อยู่… 

เริ่นเสี่ยวซู่ยกมือ  ฉันไปเอง 

 ไปตายซะ!  หลิวปู้พูดอย่างโมโห

รอบนี้หลิวปู้ยอมนั่งท้ายกระบะเองดีกว่าปล่อยให้เริ่นเสี่ยวซู่ไป!

สูเสียนฉู่สั่งคนของตัวเองให้ไปหยิบอุปกรณ์มาซ่อมรถ ขณะพวกเขากำลังซ่อมอยู่นั้น เขาก็สั่งลูกน้องด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด  ทุกคนสังเกตรอบๆ ด้วย ถ้ามีสิ่งมีชีวิตนิรนามเข้าใกล้เราก็ยิงได้เลย 

ขณะทหารกำลังจดจ่อกับการซ่อมรถยนต์ก็พลันมีความรู้สึกถึงความมีระบบระเบียบทางการทหารมากขึ้นมา สูเสียนฉู่ดูไม่ใช่คนโง่ ถ้าเวลาแบบนี้แล้วเขาไม่ได้เตือนทุกคน เกิดมีสัตว์ใหญ่เข้ามาหาพวกเขาตอนกำลังซ่อมแซมอยู่ละก็ ถ้าแจ้งเตือนตอนนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้ และคงมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อยแน่

เริ่นเสี่ยวซู่ก็นั่งยองๆ อยู่ข้างรถ คอยเฝ้ามองพวกทหารดำเนินการซ่อมแซมรถยนต์ เขาอยากรู้ว่ารถยนต์นั้นทำงานอย่างไร เพราะเขานิยมชมชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด และในสายตาของเขา ‘เครื่องจักรขนาดใหญ่’ อย่างรถออฟโรดนี่ มีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์มาก

ทุกรายละเอียดนำพากลิ่นอายแห่งความรู้ของการสร้างอารยธรรมใหม่ของมนุษยชาติ

ข้างๆ เขาหลิวปู้กำลังกอดอก แค่นเสียง  ดูเข้าใจด้วยเหรอไงว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ 

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แล้วถาม  ฉันไม่รู้หรอก แล้วนายรู้เหรอไง 

หลิวปู้ผงะ จริงๆ แล้วเขาก็ดูไม่เข้าใจเหมือนกัน

 เอ้า ทั้งนายทั้งฉันก็ดูไม่เข้าใจว่าพวกเขาทำอะไรอยู่กันทั้งนั้น  เริ่นเสี่ยวซู่พูดช้าๆ  จะพล่ามทำมะเขืออะไร 

เริ่นเสี่ยวซู่หันหน้าหนีเขา การซ่อมรถยนต์ใช้เวลาตั้งแต่เช้ายันบ่าย ขณะเดียวกันหลิวปู้กับคนอื่นๆ ก็กำลังคุยกันว่าจะแบ่งที่นั่งอย่างไร แล้วกลยุทธ์ในการคุ้มกันจะปรับอย่างไรด้วย

มีคนบอกเสนอว่าถ้าเจอพวกสัตว์แบบนั้นอีกก็ยิงได้เลย บางคนก็ถามว่าถ้าเกิดยิงไปแล้วทำพวกสัตว์มันโจมตีเราก่อนล่ะ ดูจากขนาดตัวของเจ้ากวางยักษ์นั่นแล้ว กระสุนไม่น่าจะเจาะทะลุไปยังกระดูกได้นะ ยกเว้นแต่จะมีคนสามารถยิงเข้าเป้าที่ตาได้ แต่ใครกันจะเล็งแม่นได้ขนาดนั้น

ระดับนั้นนี่ต้องยิงเข้าเป้าเคลื่อนไหวด้วยคะแนนเก้าเต็มสิบหรือมากกว่าแล้วมั้ง?

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้นะว่าหยางเสียวจิ่นมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ ถ้าเธอทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำได้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจราวๆ หกส่วนว่าในระยะห้าสิบเมตร ตนเองสามารถใช้ปืนพกยิงโดนตา ดังนั้นแล้วหยางเสียวจิ่นก็คงมีโอกาสมากกว่าเก้าส่วน บางทีอาจจะสิบส่วนเต็มสิบส่วนเลยก็ได้!

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบมองปฏิกิริยาของหยางเสียวจิ่น แต่ว่าขณะที่คนอื่นกำลังถกกัน เธอกลับทำเฉยเมยเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเธอเสียอย่างนั้น

ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้สึกโล่งใจกันอยู่บ้างที่เจ้ากวางยักษ์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ ถ้าเกิดว่ามันกำลังหาอาหารอยู่ละก็ ต้องมีคนตายอย่างน้อยสามถึงสี่รายแน่

สูเสียนฉู่ว่า  ส่วนใหญ่ในป่ามีแต่สัตว์กินพืช เพราะไม่งั้นก็คงถูกระบุตัวแล้วก็ล้างบางไปหมดตอนสร้างอาณาเขตตั้งแต่แรกก่อตั้งป้อมปราการ ถ้าเกิดเจอสัตว์แบบนั้นอีกก็ให้ระวังไว้ อย่าไปทำให้พวกมันตกใจกลัวเข้า แต่ถ้าเจอพวกสัตว์กินเนื้อละก็ ยิงเพื่อฆ่าได้เลย เอาละ ซ่อมเสร็จแล้ว เตรียมพร้อมออกเดินทาง 

หลิวปู้พูดต่อ  ตอนนี้เสียรถไปคัน ต้องสลับที่นั่งกัน  เขาหันไปกล่าวกับคนในวง  สูเซี่ยกับเฉิงตงหางไปนั่งที่ท้ายกระบะ ทนเอาหน่อยนะ 

สมาชิกทั้งสอง สูเซี่ยและเฉิงตงหางมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเจ็บปวด พวกเขาสั่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ไปนั่งท้ายกระบะเอาก็ได้ แต่หลิวปู้กลัวว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะกินพวกแครกเกอร์กับอาหารจนหมด ด้วยเหตุนี้จึงให้คนของตนคอยไปอยู่กับเสบียงดีกว่า

สูเซี่ยกับเฉิงตงหางกัดฟันกรอดปีนขึ้นไปท้ายกระบะ ทันใดนั้นสูเซี่ยก็กรีดร้องเสียงแหลมแล้วหล่นตุบลงมากับพื้น เริ่นเสี่ยวซู่ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็สะดุ้งเฮือกหันขวับ ก่อนจะเห็นเขากำลังร้องครวญคราง มือกุมลำคอไว้

ทันใดนั้นใบหน้าสูเซี่ยก็แดงก่ำแถมบวมเป่ง ราวกับว่ากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต เพียงสิบวินาที เขาก็นอนนิ่งอยู่กับพื้นโดยที่ทุกคนไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไร สูเซี่ยมีฟองฟอดท่วมปาก ใบหน้าซีดขาว

สูเสี่ยนฉู่ขยับเข้าใกล้อย่างระแวดระวัง ปืนเตรียมพร้อม หลังจากเห็นว่ารอบๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็นำมือไปอังเหนือจมูกสูเซี่ยเพื่อตรวจสอบลมหายใจของเขา เขาหันมาหาทุกคน ก่อนจะพูดเสียงเรียบนิ่ง  ไม่หายใจแล้ว 

ทุกคนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ ตายไปแบบนี้เลย?

หลิวปู้ตัวสั่น ถามเฉิงตงหาง  เกิดอะไรขึ้นกับเขา 

เฉิงตงหางตัวพิงท้ายกระบะ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว  ฉันไม่รู้ ตอนพวกเราปีนขึ้นมา จู่ๆ เขาก็กรีดร้อง ทำเอาฉันกลัวไปหมด แต่ว่านอกจากนี้ก็ไม่เห็นอะไรแปลกๆ เลย 

เสียงซู่ซู่ในป่าพลันฟังดูน่าขนลุกขึ้นมา ต้นไม้ยังเป็นต้นไม้ แต่จิตใจคนไม่เหมือนเดิมแล้ว

เป็นครั้งแรกเลยที่การเดินทางมีคนของพวกตนต้องจบชีวิตลง หลิวปู้ตะโกนใส่เริ่นเสี่ยวซู่  นายนำพวกเรามาทางไหนกันแน่ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจออะไรแบบนี้เลย เส้นทางที่นายนำทางมามีปัญหาอะไรหรือเปล่า 

 เส้นทางที่ฉันพามาไม่มีปัญหา  เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหลิวปู้อย่างสงบนิ่ง  ถึงพวกนายจะอาศัยอยู่ในป้อม แต่ก็คงรู้สินะว่าแดนรกร้างเริ่มแปลกประหลาดขึ้นน่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพวกนายถึงอยากไปเขาจิ้งซาน แต่คำแนะนำของฉันล้มเลิกการเดินทาง และกลับป้อม 113 ซะ 

 ไม่ได้  สูเสี่ยนฉู่กล่าวเสียงเย็น  คำสั่งจากเบื้องบนคราวนี้ไม่อาจไม่ทำตาม พวกเรากลับไปไม่ได้จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น นี่รวมไปถึงพวกนายทุกคนด้วย! 

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่มีทางที่สูเสี่ยนฉู่จะยอมถวายชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่!

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท