The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 62 รักษาเกียรติ

ตอนที่ 62 รักษาเกียรติ

ทหารที่โดนหยางเสียวจิ่นชี้ปืนใส่เป็นทหารที่ลวนลามลั่วซินอวี่หนักสุด ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่คือ เดาว่าในที่สุดหยางเสียวจิ่นก็ทนดูไม่ได้ จึงลงมือช่วยลั่วซินอวี่

ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะเป็นคนที่ห่วงแต่ตนเองโดยไม่ไยดีผู้อื่น คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทนมองดูลั่วซินอวี่โดนลวนลามไม่ไหว คงเป็นเส้นที่ไม่อาจข้ามของเหล่าผู้หญิงกระมัง

คนที่อยู่หน้าขบวนหันมามองข้างหลัง ในใจใคร่สงสัยว่าหยางเสียวจิ่นกับพวกทหารจะลงมือขั้นรุนแรงใส่กันหรือเปล่า

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองสูเสี่ยนฉู่ ก่อนจะเห็นว่าเขาขมวดคิ้วมุ่น แต่กลับไม่ได้เข้ามาขัดขวางอะไร ราวกับว่าตัวสูเสี่ยนฉู่เองคิดว่าทหารพวกนี้ทำเกินไปแล้ว

ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครคิดจะพูดแทนพวกทหารด้วย มองแวบเดียวก็รู้ว่าทั้งกลุ่มไม่เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันสิ้นดี

เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดเกรงใจ เดินไปข้างทหารนายนั้นแล้วหยิบปืนออกจากซองปืนพกของเขา ตอนที่พวกทหารหนีตาย ล้วนคิดว่าปืนของตนหนักเกินกว่าจะแบกไปมา เลยทิ้งพวกปืนไรเฟิลไป เหลือเพียงแต่ปืนพกเท่านั้น

ทหารนายนั้นกล่าวเสียงเย็น  ยึดปืนจากทหาร รู้ไหมว่าเป็นอาชญกรรมร้ายแรงขนาดไหน 

หยางเสียวจิ่นเอ่ยเสียงนิ่ง  ถ้าขู่ฉันอีกรอบ นายอาจจะตายก็ได้นะ 

เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นกันก็เกือบปรบมือเปาะแปะ คนจริงของแท้…

ตอนเขาชักปืนออกจากซองปืน เจ้าทหารก็เอามือขวาคว้ากุมข้อมือเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ทันที เขาคิดจะลอบหยุดไม่ให้เริ่นเสี่ยวซู่เอาปืนไป แต่ว่าพละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่มหาศาลยากประมาณ เขาใช้กำลังแกะนิ้วของทหาร ถ้าทหารไม่ยอมแพ้กลางคัน เริ่นเสี่ยวซู่คงต้องได้หักนิ้วเขาทิ้งแล้ว

ปืน! ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็สามารถพกปืนไปไหนมาไหนได้อย่างเปิดเผยแล้ว ตั้งแต่ได้ทักษะการใช้ปืนระดับสูงมา เขายังไม่เคยได้ถือปืนแบบเป็นกิจลักษณะเลย!

เจ้าทหารที่โดนฉกปืนไปกวาดตามองเริ่นเสี่ยวซู่  เอาปืนฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่เอามือออกไปจากฉันอีก 

 แม็กกระสุนอยู่ไหน  เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

ทหารนายนั้นสะอึกเงียบไป  อยู่ฝั่งซ้ายของเครื่องแบบ 

ระหว่างถูกเริ่นเสี่ยวซู่ค้นตัว เขาก็แค่นเสียงใส่หยางเสี่ยวจิ่น  เธอเอาปืนฉันให้เขาไปแล้วไง คิดว่าเขาใช้เป็นเหรอ ก็แค่ผู้อพยพคนหนึ่ง 

คนอื่นๆ รู้สึกว่าคำพูดของทหารนายนั้นฟังขึ้นไม่เลวเลย มีเพียงหยางเสียวจิ่นที่พอเห็นท่าจับปืนของเริ่นเสี่ยวซู่ ก็แทบหมดความสงสัยไป

ความรู้เกี่ยวกับปืน หยางเสียวจิ่นมีภูมิความรู้สูงที่สุดในหมู่คนที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นพระราชวังคงไม่ประเมินระดับทักษะของเธอเป็นไร้ที่ติหรอก

ขณะคนอื่นกำลังคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่น่าจะเป็นไก่ได้พลอยใช้ปืนไม่เป็น เธอก็สังเกตเห็นแล้วว่าลักษณะการจับปืนของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นทั้งดูเป็นธรรมชาติทั้งดูคล่องแคล่ว ต่อให้ตอนนี้ลดมือลง ก็ยังอยู่ในมุมที่สามารถยกปืนขึ้นเล็งยิงได้ในชั่วพริบตา

นี่ไม่ใช่ทักษะที่ผู้อพยพควรมีเลย คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่หยางเสียวจิ่นเห็นได้อย่างชัดเจน!

เธอไม่นำพาอะไรต่อให้มากความ เพียงพูดกับทหารนายนั้น  ไสหัวไป 

โดนแย่งชิงอาวุธปืนไปเช่นนี้เป็นหนึ่งในเรื่องขายขี้หน้าที่สุดที่ทหารนายหนึ่งจะมีได้ เขายืนเหม่อ ใบหน้าซีดขาว พอสูเสี่ยนฉู่เห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็กล่าว  เดินทางต่อ พวกเราต้องหาที่เหมาะๆ สำหรับตั้งแคมป์ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน 

สูเสี่ยนฉู่ไม่อยากเข้ามายุ่งวุ่นวายกับปัญหาในกลุ่ม ในใจเขามีแต่เรื่องมุ่งหน้าไปเขาจิ้งซาน เรื่องอื่นไม่สนทั้งสิ้น

ระหว่างทาง พวกทหารขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างพวกตนกับลั่วซินอวี่ หยางเสียวจิ่น และเริ่นเสี่ยวซู่ ต่างฝ่ายต่างตีตัวออกห่างกัน

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าหยางเสียวจิ่นยืนกรานจะช่วยลั่วซินอวี่ หรือพยายามพาเธออกไปจากที่นี่ด้วยกันให้ได้ เขาคงต้องล้มพันธมิตรชั่วคราวนี่แล้วจริงๆ

ตอนนั้นเองลั่วซินอวี่ก็กล่าวกับหยางเสียวจิ่นว่า  ขอบคุณที่ช่วยนะ หวังว่าต่อแต่นี้ไปพวกเราจะร่วมมือกันออกไปจากเขาจิ้งซานให้ได้ 

เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นชัดเจนว่าหยางเสียวจิ่นชะงักไป จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็กล่าวกับลั่วซินอวี่ว่า  ฉันไม่ได้ช่วยเธอแบบให้เปล่า อันดับแรกเลย คืนเงินที่ฉันจ่ายเธอไปมา 

ลั่วซินอวี่  … 

เธอหยิบเงินจากกระเป๋าหนึ่งหมื่นหยวน จากนั้นก็ส่งให้หยางเสียวจิ่น  ตอนนั้นเธอจ่ายฉันห้าพันหยวน แต่ฉันจะคืนหนึ่งหมื่นหยวนแล้วกัน คิดเสียว่าแทนคำขอบคุณ 

หยางเสียวจิ่นรับคำ รับเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาอย่างไม่รีรอ

ลั่วซินอวี่เห็นหยางเสียวจิ่นหยิบรับเงินไป ยิ้มพูด  งั้นเธอจะช่วยฉันระหว่างเดินทางใช่ไหม 

 ฉันขอแก้อะไรหน่อยนะ  หยางเสียวจิ่นพูด  ฉันไม่คิดจะช่วยพาเธอออกไปจากเขาจิ้งซาน แต่จะรับรองว่าเธอจะตายไปอย่างไม่เสียเกียรติ 

ลั่วซินอวี่  … 

ฟังพวกเธอคุยไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจว่าหยางเสียวจิ่นต้องการสื่ออะไร หยางเสียวจิ่นจะกันไม่ให้ลั่วซินอวี่ถูกพวกทหารรังแก ส่วนที่ว่าเธอจะรอดไปได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของหยางเสียวจิ่น

จริงๆ แล้วลั่วซินอวี่ก็ดูน่าสงสารไม่น้อย ถึงเธอจะเป็นผู้ริเริ่มการเดินทางออกจากป้อมปราการ แต่กลับไม่สามารถเชื่อใจใครได้แม้แต่คนเดียว

มีทางแยกสายหนึ่ง เป็นถนนบนเขาที่แยกไปสองทิศทาง

ต้นไม้สูงชะลูดแทบบังท้องนภาจนหมดสิ้น ไม่อาจระบุได้ว่าดวงอาทิตย์อยู่จุดใด และไม่อาจทราบได้ว่าเส้นทางใดนำไปเขาจิ้งซาน

สูเสี่ยนฉู่หันไปถามเริ่นเสี่ยวซู่  เราต้องไปทางไหน 

ฉับพลันทันใด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงเรียบนิ่งจากพระราชวังดังมา [ภารกิจ ระบุทิศ]

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย  ไปทางซ้าย 

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล ความคล่องแคล่ว 1.0 แต้ม]

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกได้ถึงมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นขึ้นอีกครั้ง เขาพลันมั่นใจอะไรบางอย่างได้ ค่าพละกำลังกับค่าความคล่องแคล่วรวมกันจะเกิดเป็นมวลกล้ามเนื้อที่แท้จริง จะเพิ่มค่าพละกำลังหรือค่าความคล่องแคล่วอย่างเดียวไม่ได้สินะ

ตอนนี้เอง ทหารนายที่ถูกชิงปืนไปก็กล่าวเสียงเย็น  ก่อนหน้านี้นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่เคยมาไกลขนาดนี้น่ะ นายบอกว่าซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอยู่สองสามวัน ก่อนหนีออกไป แล้วนายจะไปรู้ทางได้ยังไง 

เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างสงบนิ่ง  ฉันไม่รู้ 

สูเสี่ยนฉู่  … 

หยางเสียวจิ่น  … 

ทุกคนหมดคำพูด ถ้าไม่รู้ทาง แล้วจะบอกว่าให้ไปทางซ้ายทำพระแสงอะไรวะ

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อินังขังขอบ เขาแค่บอกทิศไปตามภารกิจที่พระราชวังให้มา มันไม่ได้บอกว่าจะต้องนำทางไปสักหน่อย จะถูกทางไม่ถูกทางไม่รู้ เขาก็แค่ชี้ๆ ไปก็จบ

เส้นทางที่ถูกต้องไม่รู้ รู้แต่ว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อยดี!

สูเสี่ยนฉู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะว่า  งั้นทำไมนายบอกว่าไปทางซ้าย 

เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ  ถึงฉันไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน แต่ก็รู้ว่าเขาจิ้งซานอยู่ทางซ้ายของพวกเรา 

 ได้  สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า  อย่างนั้นพวกเราไปซ้าย เจอจุดเหมาะๆ สำหรับตั้งแคมป์แล้วบอกฉันด้วย 

ยามสูเสี่ยนฉู่อยู่ในแดนรกร้าง จะตัดสินใจอะไรล้วนหันมาถามความเห็นของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นประจำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดเห็นของเริ่นเสี่ยวซู่มักถูกเสมอ

เริ่นเสี่ยวซู่ปีนขึ้นไปบนสนต้นหนึ่งที่เจอระหว่างทาง เขาเก็บลูกสนกับใบสนลักษณะบวมอูมมา คนอื่นๆ ต่างวิตก ที่เด็ดลูกสนมายังพอเข้าใจว่าเป็นของกินได้ แต่จะเอาใบสนมาทำไมกัน พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวบีบเค้นของเหลวสีเขียวอ่อนมาจากใบสนทีละใบๆ จากนั้นก็เลียจนหมด เขากล่าวกับคนอื่นๆ ว่า  ถ้าไม่อยากหิวน้ำตาย ก็เรียนรู้จากฉันซะนะ 

หลายคนก็รีๆ รอๆ ไม่แน่ใจว่าจะทำตามเขาดีหรือไม่ สุดท้ายก็มีแต่หยางเสียวจิ่น แล้วก็สูเสี่ยนฉู่ที่ปีนขึ้นต้นสนไปอย่างไม่ลังเล

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท