The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 63 ล้วนหายไปหมด

ตอนที่ 63 ล้วนหายไปหมด

พูดถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอด ไม่นับเริ่นเสี่ยวซู่ เทียบกันในกลุ่มแล้ว สูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นสองคนถือว่ามีมากสุด

พอเริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าสารน้ำที่หลั่งออกมาจากใบสนนั้นกินได้ พวกเขาก็ไม่รีรออะไร ปีนขึ้นไปหาใบสนเหมาะๆ ทันที ทั้งยังเด็ดลูกสนลงมาอีกไม่น้อยด้วย

ในความเป็นจริง มีเพียงคนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ที่เอาตัวรอดในแดนรกร้างมาตลอด ถึงจะทราบว่าธรรมชาตินั้นเอื้อเฟื้ออารีนัก ธรรมชาติหาสนไม่ว่าผู้ใดจะได้รับ พอเพียงพยายามขวนขวาย ย่อมสามารถอิงแอบธรรมชาติรอดชีวิตต่อไปได้

มีคนโอดครวญ  ถ้าต้องทำแบบนี้ฉันขอเป็นสัตว์ดีกว่า ชาติหน้าขอไม่เกิดเป็นมนุษย์ละ 

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา  พวกสัตว์ไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างที่นายคิดหรอกนะ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับยีราฟมาน่ะ มันเป็นสัตว์บกที่ตัวสูงที่สุดเลย เรื่องป้องกันนักล่าน่ะไม่มีปัญหาเพราะร่างกายอันใหญ่โตของพวกมัน แต่ก็นะ กระบวนการสืบพันธุ์ออกจะยุ่งยากอยู่หน่อย ยีราฟตัวผู้ต้องดื่มปัสสาวะของตัวเมีย จะได้รู้ว่าพวกเธอมีอารมณ์หรือยังอะไรแบบนี้ ถึงเริ่มเกี้ยวพาราสีได้ เกิดตัวเมียไม่มีอารมณ์ล่ะ ก็เท่ากับว่ายีราฟตัวผู้ดื่มปัสสาวะตัวเมียไปเปล่าๆ เลยไง… 

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังทำให้พวกเขาสะอิดสะเอียนเล่นหรือเปล่าเนี่ย ทุกคนอดสงสัยไม่ได้

ไม่สิ เจ้าหนูผู้อพยพนี่ต้องตั้งใจให้พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนแน่นอน!

หลังจากได้ปืนมาครอบครอง ความมั่นใจของเริ่นเสี่ยวซู่ก็พุ่งทะลุเพดาน ทั้งกลุ่มที่สมาชิกทั้งหมดสิบเอ็ดคนกับปืนอีกเจ็ดกระบอก และในสามกระบอกนั้นล้วนอยู่ในมือของเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่น

แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีทักษะการใช้ปืนระดับสูง และหยางเสียวจิ่นมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ นอกจะเผชิญกับสูเสี่ยนฉู่ซึ่งหน้าแล้ว พันธมิตรที่จับมือหลวมๆ นี้ย่อมชนะใครก็ตามที่คิดดาหน้าเข้ามา

ขณะมองดูทุกคนกำลังเด็ดลูกสนใบสนอยู่ เริ่นเสี่ยวซู่ผู้ซึ่งไม่มีอะไรทำ จำได้ว่าตัวเองมีคัมภีร์คัดลอกทักษะที่ยังไม่ใช้อีกม้วน เขาเหลือบมองหยางเสียวจิ่น ก่อนจะพูดอย่างมุ่งมาดในใจว่า  ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะ 

[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะการทำระเบิดจากเป้าหมาย]

เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป ถึงรีบตกลงเรียนทักษะทันที แต่ก็ยังสับสนอยู่ไม่น้อย หยางเสียวจิ่นฝึกตัวเองมาอย่างไรกันแน่ ทำไมแต่ละทักษะของเธอถึงได้ดูดุร้ายขนาดนี้

แถมทักษะการใช้ปืน การทำระเบิด และกระโดดเชือกนี่ไม่เห็นมันจะคล้องจองกันตรงไหนเลย สามทักษะนี้มาจากคนคนเดียวจริงๆ หรือ

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา รีบถามในใจว่า  เป้าหมายมีทักษะลอบสังหารหรือเปล่า 

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เป้าหมายมีทักษะลอบสังหารระดับสูง]

เริ่นเสี่ยวซู่พลันเกิดคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถาม  เป้าหมายมีทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กไหม 

[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เป้าหมายมีทักษะร้องเพลงกล่อมเด็กระดับสูง]

เริ่นเสี่ยวซู่  … 

มีทักษะมั่วซั่วไปหมดเลยเว้ย

ในใจก็คิดอยู่หรอกนะว่าตนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงถามคำถามอะไรแบบนั้นออกไป ใครจะรู้ล่ะว่าเธอเกิดมีทักษะขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้นไป แถมยังอยู่ระดับสูงอีกต่างหาก

ตอนนี้ทุกคนต่างเด็ดลูกสนใบสนกันเรียบร้อยแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ พลางกล่าว  นี่! จะเด็ดทั้งทีก็แบ่งๆ ไปต้นอื่นบ้างก็ได้ไหม เล่นรุมทึ้งอยู่ต้นเดียว มันจะโกร๋นหมดแล้วเนี่ย! 

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้น อา จริงด้วย แทบจะกลายไปเป็นต้นไม้หัวโกร๋นแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง พูดต่อ  ไม่คิดจะขอบคุณฉันหน่อยเหรอ อุตส่าห์สอนวิชาเอาตัวรอดในแดนรกร้างให้นะ 

ทุกคนผงะ มีคนไม่น้อยกล่าวขอบคุณเขา แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่พบว่ามีเพียงสูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นเท่านั้นที่ขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

ตอนนี้มีเขามีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมดแปดสิบหกเหรียญแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งอยากปลดล็อกอาวุธมากกว่าเดิมอีก เขาจึงหันความสนใจไปยังคนอื่นๆ

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่พลันสังเกตว่าในมือลั่วซินอวี่ยังคงว่างเปล่า ขนาดหลิวปู้ยังมีลูกสนอยู่หลายลูกเลย

ลั่วซินอวี่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังมองเธอ ก็พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า  ฉันปีนต้นไม้ไม่เป็น… 

ลั่วซินอวี่ ดาราดังจากป้อมปราการจะเคยปีนต้นไม้ได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเป็นคนเดียวที่ในมือไม่มีอะไรเลย

ยามใดกันผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ก็คือยามที่ทุกคนมี แต่ตนเองไม่มีอย่างไรเล่า

ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีเงิน แต่ตนไม่มี

ตัวอย่างเช่น ทุกคนมีลูกสน แต่ลั่วซินอวี่ไม่มี

ลั่วซินอวี่กระอึกกระอัก ก่อนจะกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่  ฉันจะจ่ายให้หนึ่งหมื่นหยวน นายปีนขึ้นไปเก็บลูกสนให้ฉันทีได้ไหม 

เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย เขารีบเอาลูกสนกับใบสนที่ใช้เสื้อม้วนไว้อยู่ยัดใส่อ้อมแขนลั่วซินอวี่ทันที  ต่อไปนี้เจ๊คือพี่น้องของผมละ 

ลั่วซินอวี่ตะลึง  ขอบใจนะ 

[ได้รับคำขอบคุณจากลั่วซินอวี่ +1!]

ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ขายน้ำออกไปเพราะว่ามันล้ำค่ามาก เป็นน้ำสะอาดที่พกไปไหนมาไหนสะดวก ส่วนลูกสนและใบสนนั้นไม่เหมือนกัน อยากหาตอนไหนก็ได้หมด

อีกอย่างก็คือ ลั่วซินอวี่เสนอเงินกองโต! หนึ่งหมื่นหยวนทำอะไรได้บ้าง หนึ่งเลยใช้เสวยสุขในเมืองในถึงสองปี อาหารไม่ต้องกังวล เสื้อผ้าไม่ต้องกังวล!

จนกว่าจะให้เงินเริ่นเสี่ยวซู่ ย่อมไม่อาจรู้ตนจะได้เป็นพี่น้องกับเขาไหม หรือจะเรียกอีกอย่างว่าภราดรภาพแห่งแมวชเรอดิงเงอร์[1]!

ลั่วซินอวี่รับลูกสนใบสนไป แต่พอเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ไปเก็บพวกมันเพิ่ม ก็ถามอย่างสงสัยว่า  ไม่ไปเก็บลูกสนเพิ่มเหรอ แล้วคืนนี้จะกินอะไร 

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด  กินช็อกโกแลตไง 

ลั่วซินอวี่  … 

เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ได้กินช็อกโกแลตที่แลกมาจากลั่วซินอวี่ สองสามวันที่ผ่านมาเขาพกติดตัวอยู่ตลอดจนทำให้มันละลายไปบ้าง ถึงตอนนี้จะปลายฤดูไม้ใบร่วงแล้ว แต่ไออุ่นจากร่างกายก็ยังแพร่ไปถึงกระเป๋าได้อยู่ดี

ตอนแรกที่หยางเสียวจิ่นบอกว่าเดี๋ยวช็อกโกแลตละลายนั้นเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไร อย่างไรเขาก็ไม่เคยกินช็อกโกแลตมาก่อน เดิมเขามีแผนจะเอาช็อกโกแลตกลับไปให้เหยียนลิ่วหยวนชิม แต่ดูเหมือนจะพกกลับไปไม่ได้เสียแล้ว

ความสำนึกขอบคุณของลั่วซินอวี่หายไปในชั่วพริบตา ช็อกโกแลตชิ้นนั้นก็คือชิ้นที่เขาเล่นลิ้นเอาไปจากเธอ!

ก่อนตกเย็น เริ่นเสี่ยวซู่เจอโพรงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเหมาะสมสำหรับการตั้งแคมป์ เป็นหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา จนเกิดเป็นดั่งที่กำบังกึ่งเปิดกึ่งปิดผืนหนึ่ง มีลักษณะคล้ายเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเมฆมืดขมุกขมัวบนฟ้าตอนเดินผ่านที่โล่งแห่งหนึ่ง ถึงแม้ไม่รู้หลักการการทำงานของก้อนเมฆ แต่ก็พอรู้ว่าเป็นสัญญาณของฝน

พอเจอหน้าผาที่มีที่กำบังกันลมฝนให้แบบนี้ก็ถือว่าสามารถพักผ่อนได้สบายขึ้นมาก

ขณะนั่งลงใต้แง่หิน ฝนก็เริ่มทิ้งตัวลงมา สูเสี่ยนฉู่หันถามเริ่นเสี่ยววู่ว่า  พวกเราดื่มน้ำฝนได้ไหม 

 ไม่ได้  เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า  ต่อให้มันไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนแล้วก็เถอะ ดื่มฝนกรดไปก็ยังทำให้ตายได้อยู่ดี 

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่แน่ใจนักว่าฝนกรดเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีเกณฑ์อะไรบ้างถึงจะเรียกว่าเป็นฝนกรด จึงได้แต่ใช้คำว่า ‘กรด’ เพื่อบรรยายลักษณะความอันตรายของฝนกรดนี้

พริบตานั้นนอกแง่หินก็บังเกิดเสียงประหลาดดังมาจากทางในป่า เสียงนี้แล่นมาชั่วพริบตา ทำเอาพวกเริ่นเสี่ยวซู่ปั่นป่วนขึ้นมา

ทันใดนั้น คนที่อยู่ลึกสุดของโพรงถ้ำก็กล่าว  ดูสิ มีคนสลักตัวอักษรไว้ด้วยแหละ 

เริ่นเสี่ยวซู่กับสูเสี่ยนฉู่เข้าไปดูที่กำแพงถ้ำ ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นตัวอักษรเฉเฉียงไปมาเขียนไว้บนสุดของโพรงถ้ำ ‘พวกเราเห็นเงาประหลาดเคลื่อนไหวในป่า’

‘หายไปแล้ว พวกเขาทุกคนหายตัวไป’

……………

[1] แมวของชเรอดิงเงอร์ (Schrödinger’s cat) เป็นการทดลองแมวตัวหนึ่ง โดยนำมันใส่ไว้ในกล่องปิด ภายในกล่องนั้นบรรจุสารกัมมันตภาพรังสี (โลกควอนตัม) โดยมีกลไกเชื่อมต่อกับขวดยาพิษ ในเวลาหนึ่งชั่วโมงสารรังสีนั้นมีโอกาส 50% ที่จะปลดปล่อยรังสีจะทำให้ขวดยาพิษแตกดังนั้นแมวตาย 50% ที่จะไม่ปลดปล่อยรังสีขวดยาพิษไม่แตกในกรณีนี้แมวไม่ตายที่อาจทั้งยังมีชีวิตและตายแล้วในเวลาเดียวกัน คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแมวนั้นจะเป็นหรือตายหากเราไม่เปิดกล่องดู นั่นคือ แมวนั้นจะอยู่ในสถานะซ้อนทับระหว่างเป็นและตายอันเป็นผลโดยตรงจากสภาวะซ้อนทับของสารรังสีนั้นเอง (สิขรินทร์ อยู่คง, 2015) เป็นสถานะที่เรียกว่าหลักการซ้อนทับควอนตัม (quantum superposition)

ทางเนื้อเรื่องต้องการจะสื่อว่า ถ้าไม่ลองให้เงินเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มีทางรู้ ว่าจะได้เป็นพี่น้องกับเขาหรือเปล่านั่นเอง

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท