The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 61 อารมณ์เปลี่ยนไวยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ!

ตอนที่ 61 อารมณ์เปลี่ยนไวยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ!

ผู้อพยพจะเข้าไปในป้อมปราการได้มันยากขนาดไหนกัน จากที่หวังฟู่กุ้ยว่าไว้ สี่สิบปีที่เขาเกิดมา เคยเห็นแค่ผู้อพยพสี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าไปในป้อมปราการ และพวกเขาทุกคนต่างเป็น ‘ญาติห่างๆ’ ของคนสำคัญในป้อมทั้งนั้นด้วย

มีคนจำพวกมาหาญาติในป้อมปราการไม่น้อยเลย แต่ต่างถูกปิดประตูใส่เสียหมด เลยได้แต่คอยเฝ้าโอกาสอยู่ในเมือง

ขนาดญาติของคนสำคัญในป้อมปราการยังยากเข้าไป ลั่วซินอวี่อ้างว่าสามารถหาที่ได้ถึงสามที่จะเป็นไปได้หรือ ถ้าเธอมีอำนาจมากขนาดนั้นจริง คงไม่ต้องขอความร่วมมือจากทหารเพื่อไปป้อมปราการ 112 ก็ได้มั้ง สั่งไปตรงๆ เลยจบ

คนโง่ย่อมคิดว่าคนอื่นโง่ตาม

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าลั่วซินอวี่ลงทุนลงแรงเกินเหตุไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นผู้อพยพ แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าคนอื่นเป็นคนนำทาง อาจจะเชื่อคำกล่าวอ้างเธอไปแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ยอมรับเงื่อนไขของเธอจริง พอกลับป้อมปราการไปแล้ว เขาจะเข้าไปหาเธออย่างไรและเขาจะกันไม่ให้เธอเทเขากลางคันด้วยวิธีไหน

ถ้าให้พูดกันตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ชอบหน้าลั่วซินอวี่กับหลิวปู้เท่าไรเลย

ทุกคนกินหมูเสร็จก็คอแห้งผาก น้ำกับอาหารทั้งหมดต่างถูกทิ้งอยู่ที่ท้ายกระบะหมด หรือไม่ก็ส่วนใหญ่พวกมันต่างถูกยิงเละหมดแล้วตอนสูเสี่ยนฉู่กับพรรคพวกสาดกระสุน

สูเสี่ยนฉู่หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ พลางถาม  พวกเราจะหาแหล่งน้ำยังไง 

เสียงจากพระราชวังพลันดังขึ้น [ภารกิจ สอนวิธีหาแหล่งน้ำให้กับทุกคน]

 มีแต่ต้องหาแม่น้ำ หรือไม่ก็ต้องเก็บน้ำค้างจากใบไม้เอา  เริ่นเสี่ยวซู่ไม่หวงวิชา  แต่ฉันไม่แนะนำให้ไปริมแม่น้ำหรอกนะ จากที่ฉันคาดการณ์ไว้ แม่น้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปไม่น้อยเลย ตอนนี้ทนกันไปก่อน ยังไงก็ไม่ขาดน้ำตายหรอก พรุ่งนี้ค่อยเก็บน้ำค้างเอา 

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า กล่าว  ขอบคุณ 

[ได้รับคำขอบคุณจากสูเสี่ยนฉู่ +1!]

เริ่นเสี่ยวซู่รอพักหนึ่ง ก่อนจะถามในใจ รางวัลฉันอยู่ไหนล่ะ

แต่พระราชวังกลับเมินเขาไปเสียฉิบ เริ่นเสี่ยวซู่กำลังงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นหว่า

ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พระราชวังเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทำภารกิจแบบนอกลู่นอกทาง ดังนั้นนั้นพระราชวังจึงไม่อาจตัดสินผลลัพธ์ได้ในทันที!

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเสียงจากพระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ดังมา [ภารกิจสำเร็จ รางวัล พละกำลัง 1.0 แต้ม]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ถึงเควสจะสำเร็จได้ด้วยดีก็เถอะ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ค่าพละกำลังเพิ่มอีกแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยอยู่ว่าพระราชวังอาจจะเพิ่มค่าพละกำลังกับความคล่องแคล่วของเขาแบบเท่าๆ กัน แต่กลับกลายเป็นว่า สุดท้ายแล้วตอนนี้เขายังมีค่าความคล่องแคล่วอยู่ที่ 4.1 แต้ม ส่วนพลังกำลังปาไป 7.5 แต้มแล้ว

มีอีกสองสามเควส พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ก็น่าจะมากกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปถึงสามเท่า

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มีน้ำอยู่สองขวดที่เอาปลาแลกมา จะหาจุดซ่อนนี่เป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตเขาก็ไม่ใหญ่อะไรเลย

ทันใดนั้นหลิวปู้ก็เข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่  ฉันขอซื้อน้ำขวดละหนึ่งพันหยวน 

เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าเขา  ไม่ขาย 

 สองพันหยวน!  หลิวปู้พูดด้วยแววตาลุกโชน  สองพันขายไหม ฉันหิวน้ำโคตรๆ แล้วเนี่ย! 

เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าหลิวปู้นี่หัวทึบหน่อยๆ นะ เขามองหลิวปู้พลางว่า  สถานที่แบบนี้เงินมีค่าอะไรที่ไหน น้ำกับอาหารสิที่ล้ำค่า ถ้าอยากดื่มน้ำ ก็ไปหาเองที่ริมแม่น้ำนู่น 

หลิวปู้อยากจะระบายโทสะใส่เริ่นเสี่ยวซู่อยู่หรอก แต่เขาทำไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่สามารถทำตัวยกตนข่มท่านได้เหมือนตอนเริ่มเดินทางแล้ว เขารู้ดีว่าตอนนี้บทบาทของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นยิ่งผ่านไปยิ่งสำคัญ จนตอนนี้เขาไม่อาจเทียบอะไรได้เลย และถ้าดูจากนิสัยของสูเสี่ยนฉู่ เกิดพวกเขาทะเลาะกันหรือมีเรื่องผิดใจกันละก็ หลิวปู้คงเป็นผู้ถูกสลัดทิ้ง ไม่ใช่เริ่นเสี่ยวซู่อย่างแน่นอน

ตอนเขาออกจากป้อมปราการ หลิวปู้เพียงคิดว่าผู้อพยพคือคนรับใช้แห่งป้อมปราการ และคนจากในป้อมนั้นทั้งสูงศักดิ์ทั้งทรงอำนาจ ทว่าตอนนี้เขาฉุกคิดได้แล้วว่าที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ใบไม้ที่ดึงมาจากต้นไม้เช็ดมือให้สะอาด จากนั้นก็ไปหาหวังเหลย ทำท่าเป็นห่วงเป็นใยเขา กะหวังอยากได้เหรียญคำขอบคุณอีก

แต่จะได้เหรียญจากเขาแบบไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างไร หลังจากได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากเริ่นเสี่ยวซู่ หวังเหลยก็รู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ปฏิบัติต่อเขาแบบไม่ชอบมาพากลเท่าไร ท้ายที่สุด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้เหรียญคำขอบคุณจากการขอบคุณของหวังเหลยอีก

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าตนคงหาเหรียญคำขอบคุณจากหวังเหลยไม่ได้ต่อ เขาล้มเลิกแผนไปทันที ตอนนี้มีเหรียญคำขอบคุณทั้งสิ้นแปดสิบสี่เหรียญแล้ว

ตอนบ่าย สูเสี่ยนฉู่เงยหน้ามองฟ้า พูด  ที่นี่ไม่เหมาะกับการตั้งแคมป์เท่าไรนะ พวกเราต้องหาที่ที่ไม่เปิดโล่งนัก กันสัตว์ป่ามาโจมตี ทุกคนทนเดินทางต่ออีกหน่อยเถอะ 

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพ้องกับคำของสูเสี่ยนฉู่ หลังจากหมูป่าถูกฆ่าแล้วย่างกิน ที่แห่งนี้ก็กลับกลายเป็นอันตรายมาก ตอนนี้อาจจะไม่เห็นอะไรผิดสังเกต แต่ว่าตอนกลางคืนนั้นพวกอสรพิษ แมลง และมด จะออกมากันมากขึ้น ตกดึกแล้วพวกเขาต้องได้เผชิญหายนะแน่นอน

ขนาดซากหนูเมื่อคืนวานยังเหลือแต่โครงกระดูกเลยไม่ใช่เหรอ

สูเสี่ยนฉู่ไปที่เปลหาม กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า  มา ช่วยหามเขากัน 

เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่พอใจ  ทำไมฉันต้องหามเขาด้วย 

สูเสี่ยนฉู่  ??? 

หวังเหลย  ??? 

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่หลิวปู้  มาหามเปล ไม่งั้นฉันแทงไส้ไหล 

หลิวปู้แทบสติแตก เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!

เรื่องเป็นเช่นนี้ทำเอาทุกคนที่แคมป์ตะลึงไป คิดกันว่า เอ็งเป็นโรคจิตเหรอ อารมณ์เปลี่ยนไวฉิบ ตอนเช้ายังขู่อยู่เลยว่าใครมาแย่งหามแปลจะแทงไส้ไหลน่ะ

สูเสี่ยนฉู่ไม่อยากเสียเวลาต่อแล้ว จึงกล่าว  ทุกคนจะสลับกันหามคนเจ็บ พวกผู้หญิงไม่ต้อง ณ จุดๆ หนึ่งยังไงก็ต้องเกิดอาการบาดเจ็บกันบ้าง ถ้าไม่อยากให้ตอนนั้นโดนปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย ก็ควรมาช่วยกันตอนนี้ 

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าสูเสี่ยนฉู่เป็นคนมีเหตุมีผลไม่เลวเลย ถึงในกลุ่มจะเกิดอะไรขึ้น ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะพาทุกคนกลับไป

ระหว่างทาง มีทหารชั้นเลวบางนายเริ่มเข้าหาลั่วซินอวี่อีกครั้ง บางครั้งก็แสร้งเอาแขนชนตอนเดินผ่านเธอ แต่ลั่วซินอวี่ตื่นตัวอยู่ตลอด แล้วหลบได้อย่างทันท่วงที หลังจากนั้นพวกทหารก็จะหัวเราะแบบหื่นกาม

ถ้าว่ากันตามเหตุตามผล หลิวปู้กับลั่วซินอวี่ควรจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ว่าพอหลิวปู้เห็นเรื่องเช่นนี้กลับไม่ปริปากอะไรแม้แต่นิด คนอย่างเขามีหรือจะกล้าไปหาเรื่องพวกทหาร

หลังจากไม่บรรลุเป้าหมายกับสูเสี่ยนฉู่และเริ่นเสี่ยวซู่ ลั่วซินอวี่ก็ดูทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอะไรต่อ ได้แต่หลบเลี่ยงพวกทหารไปมาเท่านั้น

แถมพวกทหารยิ่งพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อันตราย ที่เป็นไปได้ว่าพวกตนอาจจะไม่อยู่รอดจนถึงวันพรุ่ง ก็เริ่มเผยสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งนัก ขณะทั้งกลุ่มเดินทางมุ่งหน้าไป เขาก็จำได้ว่าตนเองมีคัมภีร์คัดลอกทักษะอีกม้วน รอบนี้สงสัยเหลือเกินว่าจะคัดลอกทักษะการต่อสู้ระดับสูงจากหยางเสียวจิ่นได้ไหม

แต่ว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าหันไปมองหยางเสียวจิ่น เขาก็เห็นว่าเธอกำลังชี้ปืนไปที่ศีรษะของทหารนายหนึ่งอยู่ หยางเสียวจิ่นหันกลับมามองเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วพูด  ปืนของเขาเป็นของนายแล้ว 

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท