หวังหยวนหยวนรู้ว่าหวังเจียเหยามีชู้ หล่อนเป็นคนเอารูปที่หวังเจียเหยาแหละหลิ่วอวี่เจ๋อลอบพบกันมาให้เขาดู
ไม่ว่าผู้ชายคนไหนที่พอรู้แล้วย่อมไม่มีทางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หนำซ้ำเย่เฉินยังโดนขับออกจากตระกูลเอาในเวลานี้พอดิบพอดี
หวังหยวนหยวนเดาออกว่า เรื่องที่เย่เฉินโดนขับออกจากตระกูลน่าจะเป็นเรื่องโกหก เพื่อหลอกให้หวังเจียเหยาหย่ากับเขา!
และเพื่อให้ได้เย่เฉินมาครอบครอง เมื่อครู่หล่อนถึงได้จงใจพูดว่าเย่เฉินเป็นยาจก เพื่อทำลายอีโก้ของหล่อน เพื่อให้หล่อนรู้สึกไม่ดี
หล่อนเองก็อยากจะเห็นหวังเจียเหยากับเย่เฉินหย่ากัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วคุณนายเย่ก็จะกลายเป็นหล่อน
คุณนายหวังตบโต๊ะอย่างหัวเสีย “พวกเธอทะเลาะกันพอหรือยัง! ตอนนี้มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังจะเถียงกันเรื่องเสื้อผ้าสกปรก เรื่องหยวนหยวนมีแฟนไหมอยู่ได้!”
วินาทีเรื่องที่เย่เฉินจะได้สืบทอดทรัพย์สมบัติแสนล้านของตระกูลเย่หรือไม่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ!
คุณนายหวังเองก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่นาน จู่ๆ ก็ถามเย่เฉิน “เสี่ยวเฉินเธอกับพี่ชายสองคนสนิทกันไหม?”
เย่เฉินตอบตามจริง “ตอนเด็กสนิทกันดีครับ แต่พอโตมาแล้วก็ถูกคุณปู่ส่งไปฝึกกันคนละที่คนละทาง หลายปีมานี้ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน น่าจะไม่ได้เจอกันมาห้าหกปีแล้วครับ ”
คุณนายหวังผงกศีรษะ “อื้ม การต่อสู้แย่งสมบัติของตระกูลใหญ่ ปกติก็รุนแรงอย่างมาก เรื่องรายงาน DNA เมื่อสิบปีก่อนเป็นของปลอมที่ถูกพูดถึงอีกครั้งก็อาจจะเป็นฝีมือพี่ชายเธอสองคน!”
หลังจากซูหลานได้ยินก็รีบร้อนกล่าว “จริงด้วย จะต้องเพราะพี่ชายสองคนของเย่เฉินทำไปเพื่อฮุบสมบัติแสนล้าน ดังนั้นถึงได้ใส่ร้ายเสี่ยวเฉินแบบนี้”
หวังจื้อหย่วนเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
เย่เฉินคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโยงไปเรื่องนี้ได้จึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอะไร
คุณนายหวังกล่าวต่อ “แล้วก็เรื่องที่พ่อบ้านฟางเอาผมเธอไปตรวจ DNA ก็อาจจะไม่แม่นยำ ฉันได้ยินมาว่าต้องใช้ผมที่มีไขมัน ผลตรวจ DNA ถึงจะแม่นยำอย่างมาก เสี่ยวเฉิน ย่าว่าเธอควรจะไปพบคุณปู่ที่อังกฤษ แล้วไปทำการตรวจ DNA อีกครั้งต่อหน้าเขา ต่อให้เธอจะไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเย่ แต่เธอก็อยู่ที่นั่นมาหลายปีคงมีสายสัมพันธ์กับคนตระกูลเย่ พวกเขาเองก็ดูแลเธอเหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง”
ซูหลานเสริม “จริงด้วย เสี่ยวเฉิน เธอต้องไปอังกฤษ พาเจียเหยาไปพบคุณปู่เธอด้วย เขาเห็นเธอก็คงจะไม่โกรธเธอแล้ว พวกเราเป็นพ่อเป็นแม่รู้ว่าเลี้ยงลูกสักคนยากเย็นขนาดไหน ความสัมพันธ์ตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ไม่สามารถตัดขาดได้ในทันทีทันใดหรอก”
เย่เฉินเดาได้นานแล้วว่าคนบ้านนี้จะต้องเสนอให้ไปอังกฤษ ดังนั้นถึงได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว
เย่เฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว “เดิมทีผมก็ตั้งใจจะไปอังกฤษ แต่พ่อบ้านฟางบอกผมอย่างชัดเจนแล้วว่า คุณปู่ไม่อยากเจอผม อีกอย่างเมื่อครู่ผมเพิ่งได้รับสายจากสถานกงสุลอังกฤษประจำเมืองเทียนไห่ว่าวีซ่าของผมโดนยกเลิกไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ตื่นตกใจอย่างยิ่ง
ซูหลานตื่นตระหนก “อะไรนะ? วีซ่าของเธอผ่านแล้วไม่ใช่เหรอ? โดนยกเลิกได้ด้วยเหรอเนี่ย?”
หวังหยวนหยวนที่นั่งไขว่ห้างบนโซฟาพูดอย่างดูถูก
“โลกแคบก็ตื่นเต้นไปทุกเรื่องนั่นแหละวีซ่าโดนยกเลิกเป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ? ฉันไปเที่ยวเมืองนอกเมื่อปีที่แล้วกำลังต่อแถวรอตรวจร่างกาย ผู้ชายคนหนึ่งด้านหน้าก็โดยลากออกจากแถวไป คนในสนามบินบอกเขาว่าพวกเขาได้รับข่าวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไม่ให้เขาผ่าน แต่ตอนที่พวกเขาตรวจสถานภาพวีซ่าในอินเตอร์เน็ตยังใช้ได้อยู่เลย!”
ในเวลานี้จู่ๆ หวังเจียเหยาก็กล่าวว่า “หนูเองก็เพิ่งรับโทรศัพท์เขาค่ะ เขาโทรมาแจ้งว่าวีซ่าของหนูก็ถูกยกเลิกแบบเย่เฉิน”
“อะไรนะ?”
ตระกูลหวังตกอยู่ในความประหลาดใจอีกครั้ง
คุณนายหวังกล่าวว่า “ศักยภาพของตระกูลเย่แข็งแกร่งอย่างที่คาดไว้จริงๆ ไม่อยากให้ใครไปประเทศอังกฤษคนนั้นก็จะไปไม่ได้ เสี่ยวเฉิน ดูแล้วคุณปู่ของเธอเนี่ยคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่อยากจะเจอเธอ”
เย่เฉินเองก็แสดงท่าทางเศร้าเสียใจให้หญิงชราได้เห็น “ทำไมคุณปู่ถึงได้ใจแข็งแบบนี้นะ!”
เห็นเย่เฉินเสียใจแบบนี้คุณนายหวังก็เกรงใจไม่กล้าจะถามอะไรเย่เฉินอีก และกล่าวว่า
“เสี่ยวเฉิน ฉันไหว้วานเพื่อนที่อังกฤษไปพบคุณปู่ของเธอ ลองดูว่าจะช่วยจัดแจงให้พวกเธอได้พบกันแล้วคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนกันไป เธอเองก็ลองคุยกับพ่อบ้านฟางให้ดีๆ ดูว่าพอจะมีโอกาสคุยกับปู่ของเธอหรือเปล่า”
“ขอบคุณครับคุณย่า”
เย่เฉินรู้ดีแก่ใจว่าถึงแม้คุณนายหวังจะมีเพื่อนในอังกฤษจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพื่อนพวกนั้นของหล่อนไม่ใช่คนในระดับเดียวกันกับปู่ของเย่เฉินด้วยซ้ำ
ตระกูลเย่ถือเป็นตระกูลที่ลึกลับที่สุดของโลก กระทั่งคนอย่างคุณหม่าเองไปประเทศอังกฤษถ้าไม่ได้นัดแนะ ก็เข้าพบคุณปู่ของเย่เฉินไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ?
จากนั้นคนตระกูลหวังก็กินข้าวด้วยกัน ส่วนเย่เฉินกับหวังเจียเหยาก็กลับไปที่เขตซินเฉิงแล้ว
หลังจากกลับไปยังบ้านที่เคยพักอาศัยด้วยกันมาตลอดสามปี เย่เฉินก็ไม่ได้พักแต่อย่างใด แต่มาที่บริเวณบาร์ เปิดเบียร์ขวดหนึ่งแล้วรินเบียร์ดื่มเอง
วันนี้เขาโดนขับออกจากตระกูล แถมยังต้องสูญเสียตำแหน่งประธานบริษัทไป เขาจำเป็นต้องแสดงท่าทีเศร้าโศกเสียใจมากๆ
“เพราะอะไร? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้กับผมด้วย!”
เย่เฉินดื่มเบียร์ไปพลางพูดพึมพำกับตนเอง
ส่วนฟากของหวังเจียเหยาเมื่อเห็นท่าทีเสียอกเสียใจของเย่เฉินแล้ว ก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าเย่เฉินไม่เหมือนคนที่กำลังเสแสร้งแกล้งทำ
ไม่ใช่เพราะเย่เฉินแสดงเก่ง แต่เพราะตอนนี้เขากำลังเสียใจมากจริงๆ และเขารู้สึกว่าโชคชะตาเล่นตลกกับเขาเหลือเกิน
เพียงแต่ว่าเย่เฉินไม่ได้เสียใจเรื่องที่โดนขับออกจากตระกูล แต่เสียใจเรื่องหวังเจียเหยาต่างหาก
เย่เฉินแต่ระบายความทุกข์ใจที่โดนหวังเจียเหยาหักหลัง แต่หญิงสาวกลับเข้าใจผิดไปว่านั่นเกิดจากเรื่องในวันนี้
ผ่านไปไม่นานเย่เฉินก็ดื่มไวน์ไปแล้วสองขวด
จากนั้นเขาก็เมาจนนอนไปกับบาร์
“ที่รัก ที่รัก”
หวังเจียเหยาเรียกเย่เฉินอยู่สองสามทีแต่เขาไม่ตอบ หล่อนจึงใช้มือขาวนวลเนียนตบลงบนใบหน้าของเขาแล้วตะโกนเรียกอีกฝ่าย
“เย่เฉิน ตื่นสิ อย่านอนตรงนี้ เดี๋ยวไม่สบาย ไปนอนในห้องเถอะ”
แต่เรียกกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับ
คุณไม่มีทางปลุกคนที่แกล้งหลับได้หรอก เย่เฉินไม่ได้เมาแต่แกล้งเมาต่างหาก
“เฮ้อ”
หวังเจียเหยาถอนหายใจ หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงบอบบางไม่สามารถจะลากผู้ชายตัวโตอย่างเย่เฉินได้
หนำซ้ำตอนนี้หล่อนยังตั้งท้องอยู่ด้วย หากว่าล้มไปสะดุดอะไรไปก็จะยิ่งเป็นอันตรายกว่าเดิม
หวังเจียเหยามองเย่เฉินที่เมามายไร้สติ ปรายตามองไวน์แดงสองขวดที่เขาดื่ม
จากความสามารถในการดื่มเหล้าของหวังเจียเหยาแล้ว ไวน์แค่ครึ่งขวดก็ทำให้เมาแล้ว
ในสายตาของหล่อนเย่เฉินดื่มไปคนเดียวตั้งสองขวด บวกกับที่วันนี้ดื่มเหล้าเพราะความเสียใจ จึงทำให้เมาง่ายกว่าเดิม
หลังจากดื่มไวน์สองขวดแล้วคงต้องเมาแน่นอน
ดังนั้นหวังเจียเหยาจึงไม่แสร้งทำตัวเป็นแม่ศรีเรือนอีกต่อไป หล่อนกล่าวอย่างรังเกียจว่า
“ผู้ชายไร้ประโยชน์! หลบมากินเหล้าในบ้านมีประโยชน์อะไร! เก่งนักก็ไปหาคุณปู่ที่อังกฤษไปทวงสมบัติคืนมาสิ! ชิ!”
เย่เฉินเป็นคนที่เคยฝึกฝนอย่างมืออาชีพมาก่อน เขาสามารถควบคุมความเมาของตนเองได้ ดังนั้นไวน์สองขวดไม่มีทางเมาได้
เย่เฉินที่แกล้งเมาได้ยินคำพูดของหวังเจียเหยา ก็เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง!
“นี่ก็คือผู้หญิงที่ฉันรักนักรักหนาเหรอเนี่ย!”