เสี่ยวหวังที่เป็นคนขับรถผู้นี้เคยเจอเย่เฉินแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเห็นกันแบบไกลๆ เสียด้วย ฉินหงเหยียนไม่เคยแนะนำให้พวกเขาสองคนรู้จักกัน
บวกกับที่เสี่ยวหวังถูกความน่ากลัวของเย่เฉินเขย่าประสาทเข้า จึงมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนหนุ่มของฉินหงเหยียน
เย่เฉินแค่นเสียงพลางก้าวขึ้นไปคว้าคอเสื้อเสี่ยวหวังแล้วจึงเอ่ยถาม “นายมีวิธีหาเบอร์โทรศัพท์ฉันจนเจอ แต่กลับไม่รู้ว่าฉันหน้าตาเป็นยังไงงั้นเหรอ?”
“เบอร์โทรศัพท์งั้นเหรอ?”
เสี่ยวหวังคิดในใจว่าตนเองเคยไปสืบเบอร์โทรศัพท์คนอื่นเมื่อไหร่?
แล้วทันใดนั้นเองเสี่ยวหวังก็มองเย่เฉินด้วยความหวาดกลัว “นายคือไอ้ไก่อ่อนของฉินหงเหยียนคนนั้นเหรอ?”
เพี้ยะ!
คราวนี้เย่เฉินยังไม่ได้ลงมือ หลิวเจิ้งคุนที่ได้ยินเสี่ยวหวังดูถูกเย่เฉินก็สาวเท้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแล้วประเคนฝ่ามือให้เสี่ยวหวัง
“ไอ้เด็กเปรต นายเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม! ถึงได้เรียกคุณชายเย่แบบนี้!”
หลิวเจิ้งคุนก่นด่าเสี่ยวหวัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอำมหิต
เสี่ยวหวังตกใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วถึงได้ตระหนักว่าเย่เฉินไม่ใช่ไก่อ่อน แต่เป็นคนระดับลูกพี่ทีเดียว!
“ขอโทษด้วยนะครับพี่เย่! ผมนี่มันมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่เป็นคนใหญ่คนโต ถ้ารู้แต่แรกว่าพี่ใหญ่ขนาดนี้ต่อให้ผมใจกล้ามากกว่านี้ ผมก็ไม่กล้าหาเรื่องพี่หรอกครับ!”
เสี่ยวหวัง เป็นคนขี้ขลาด เขาคุกเข่าขอโทษเย่เฉินอย่างรวดเร็ว
เย่เฉินมองเขา “ ฟังจากคำพูดของนายแล้ว ถ้าฉันไม่ใช่คนใหญ่คนโต ถ้าฉันไม่มีลูกน้องพวกนี้นายก็กล้าหาเรื่องฉันล่ะสิ?”
ตุบ!
เย่เฉินเตะอีกฝ่าย “ ไอ้พวกรังแกคนไม่มีทางสู้!”
สังคมในปัจจุบันนี้ มีคนสารเลวแบบหมอนี่เป็นจำนวนมาก รังแกคนไม่มีทางสู้ ถ้าเห็นคุณไม่มีเส้นสายอะไร ก็จะจงใจหาเรื่องคุณ ล่วงเกินคุณ รังแกคุณ
แต่ทันทีที่รู้ว่าคุณมีคนหนุนหลังอยู่ก็แทบจะกราบกรานเข้าหา!
เย่เฉินเหยียดหยามคนประเภทนี้ที่สุดถ้าหากว่าเกลียดเขาแล้วก็น่าจะลงมือทำร้ายกันซึ่งหน้าเช่นนั้นแล้วถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เขาชื่นชม!
แต่เสี่ยวหวังคนนี้ใจป๊อดมากจริงๆ!
“ว่ามา ทำไมต้องส่งข้อความอันนั้นให้ฉันด้วย” เย่เฉินถามอีกฝ่าย
หลิวเจิ้งคุนย้ายเก้าอี้ให้เย่เฉินนั่งลงอย่างรวดเร็วแล้วตะคอกเสี่ยวหวัง “ไอ้เด็กเลว บอกมาตามตรงเลยนะ ถ้าพูดโกหกแค่นิดเดียวล่ะก็ ฉันจะทำให้แกไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์วันพรุ่งนี้เลย!”
เสี่ยวหวังคุกเข่าลงตรงหน้าเย่เฉิน “ครับๆ ผมพูดแล้วครับก็เมื่อสองวันก่อน…”
……
สองวันก่อนหน้านี้ ที่บริษัทไป๋ลี่ ณ ห้องทำงานของฉินหงเหยียน
เสี่ยวหวังที่เป็นคนขับรถ จู่ๆ ก็ผลีผลามผลักประตูเข้ามาแล้วตะคอกใส่หญิงสาว “ฉินหงเหยียน คุณไล่ผมออกทำไม! คุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่ผม!”
ชายหนุ่มพูดอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะเพิ่งถูกเลิกจ้างมาจึงทำให้โมโหอย่างมาก
แต่อีกฝ่ายกลับวางท่า นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบนิ่งไม่มีท่าทีตกใจเพราะ เจ้าหล่อนเชื่อมั่นว่าต่อให้อีกฝ่ายลงไม้ลงมือก็ตามแต่ ตนเองก็ยังสามารถกำราบเขาได้ภายในสามกระบวนท่า
“เพราะนายปากมากเกินไป” ฉินหงเหยียนจ้องเขาเขม็ง ไม่มีท่าทางเกรงใจแม้แต่น้อย
ที่จริงแล้ว นี่ถือว่าหล่อนไว้หน้าอีกฝ่ายมากแล้ว นี่ยังเห็นแก่ว่าเขาเป็นญาติกับเหอเหวินเจี้ยนดังนั้นหญิงสาวถึงยอมพูดเรื่องพวกนี้กับเขา
ให้เขารู้สาเหตุเอาไว้ ต่อไปในอนาคตเวลาทำงาน อย่างน้อยๆ จะได้ฉลาดเสียหน่อย อย่าไปทำให้หัวหน้ารำคาญ
ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วๆ ไป หล่อนอยากจะไล่ออกก็สามารถทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายเหตุผลด้วยซ้ำไป!
แต่เสี่ยวหวังกลับไม่ยอมลดละ “ผมพูดมากแล้วมันทำไม? มีปากให้เอาไว้พูดไม่ใช่หรือไง? ผมทำงานไม่ขาดตกบกพร่องก็น่าจะพอแล้ว มีครั้งไหนบ้างที่คุณจะไปนั่นไปนี่แล้วผมไม่ได้ไปส่งคุณจนถึงจุดหมายปลายทางเหรอ? ฉินหงเหยียนคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร? ผมแม่งยอมเป็นคนขับรถ เปิดปิดประตูปรนนิบัติคุณ ผมก็กล้ำกลืนฝืนทนมากแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะมีหน้ามาไล่ผมออก?”
ในวินาทีนั้นที่เขาระเบิดอารมณ์ออกมา หญิงสาวก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้คนที่สามารถพูดจาหยาบคายได้ต่อหน้าหญิงสาวมีแค่เย่เฉินเพียงคนเดียว
แล้วเหอเหวินเจี้ยนก็พุ่งพรวดเข้ามาพอดี คว้าแขนของเสี่ยวหวังแล้วลากอีกฝ่ายออกไปด้านนอก พลางกล่าวกับหญิงสาว
“ขอโทษด้วยนะครับคุณฉิน เสี่ยวหวังเขาใจร้อนไปหน่อย คุณอย่าถือสาหาความเลยนะครับ ผมจะลากเขาออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เหอเหวินเจี้ยนลากหลานชายไปที่ลานจอดรถใต้อาคารของบริษัท
ฟากหลานชายยังไม่ลดละ เขากล่าวกับผู้เป็นอาเขยว่า “อาครับ ลากผมลงมาทำไม? ขอผมด่าแม่นั้นอีกหน่อยให้สะใจสักหน่อยก็ยังดี!”
เพี้ยะ!
เหอเหวินเจี้ยนฟาดฝ่ามือใส่หลานชายแล้วตะคอก “ห้ามแกด่าฉินหงเหยียน!”
เสี่ยวหวังกุมหน้าด้วยท่าทีตื่นตระหนก เขาแทบไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าอาเขยจะตบเขาลง
เขามีท่าทีเศร้าสร้อยก่อนจะโพล่งถาม “อาครับ อาชอบฉินหงเหยียนเหรอครับ?”
เหอเหวินเจี้ยนรีบร้อนปฏิเสธ “แกพูดเหลวไหลอะไร!”
เสี่ยวหวังยิ้ม “สบายใจเถอะครับ ผมไม่ไปบอกคุณอาผู้หญิงหรอกครับ ผู้ชายน่ะครับ เข้าใจได้ สวยๆ อย่างฉินหงเหยียน จะผู้ชายอายุ 18 หรือ 68 ขอแค่เป็นผู้ชายก็น่าจะชอบหล่อนทั้งนั้น คนไม่ชอบหล่อนต่างหากครับถึงจะประหลาด”
“จริงสิ อาเคยนอนกับหล่อนรึยังครับ?”
คราวนี้ผู้สูงวัยไม่ปฏิเสธแต่ตอบ “หล่อนมีแฟนแล้ว!”
เสี่ยวหวังกล่าว “มีแฟนแล้วยังไง? ยุคสมัยนี้ก็แล้วมีแฟนก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรแล้วอีกอย่างแฟนของหล่อนคนนั้นก็เป็นแค่ไก่อ่อน อย่าไรเสียอาก็เป็นตั้งรองประธานผู้บริหารบริษัทเลยนะครับ น่าจะมีจุดเด่นกว่าหมอนั่นเป็นหมื่นเท่าไม่ใช่หรือไง?”
เหอเหวินเจี้ยนส่ายหน้า “มีเงินแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฉินหงเหยียนเองก็มีเงิน หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆ ที่จะยอมนอนกับใครหรือมีลูกกับใครเพียงเพราะเงินไม่กี่ล้านหรอก หล่อนน่ะรักเด็กนั่นจริงๆ”
เสี่ยวหวังหัวเราะร่วน “ในยุคสมัยนี้ สิ่งที่ผมไม่เชื่อที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องรักแท้นี่แหละครับ! คุณอาผมช่วยออกไอเดียให้ อาน่ะใช้เงินสักสองหมื่นจ้างผู้หญิงสวยๆ ไปอ่อยเด็กของฉินหงเหยียนสิครับแล้วก็ไปฟ้องหล่อน! พอถึงตอนนั้นฉินหงเหยียนคงทิ้งหมอนั่นแน่ แล้วอากับหล่อนก็จะมีโอกาสได้สานสัมพันธ์กันไม่ใช่หรือไงครับ?”
เหอเหวินเจี้ยนจุดบุหรี่แล้วกล่าว “แกคิดว่าฉันไม่เคยลองหรือไง? ฉันใช้เงินไปเกือบแสน จ้างพวกสาวแบ๊ว สาวโหด สาวอะไรสารพัดไปตีสนิทหมอนั่น แต่เด็กนั่นกระทั่งมองยังไม่มองเลย! พอขอวีแชทเขาก็ปฏิเสธ!”
เย่เฉินเป็นคนระดับไหนรสนิยมอยู่ในขั้นไหนกัน?
พวกลูกไก่ลูกกาที่เหอเหวินเจี้ยนหามา ไหนเลยจะเข้าตาเขา!
เสี่ยวหวังเองก็จุดบุหรี่แล้วพึมพำ “ในเมื่ออ่อยเย่เฉินไม่ได้ งั้นเราก็เล่นงานฝั่งฉินหงเหยียนสิครับ หล่อนชอบออกกำลังมากไม่ใช่เหรอครับ? หนำซ้ำยังชอบวิ่งบนลู่เป็นพิเศษด้วย?”
เหอเหวินเจี้ยนพยักหน้ารับ “ออกไปทำงานต่างจังหวัดกันหลายๆ ครั้ง เวลาว่างๆ หล่อนก็มักจะไปวิ่งบนลู่ บางครั้งก็โยคะอยู่ในห้อง สวยมีเสน่ห์จริงๆ”
เสี่ยวหวังหัวเราะ แล้วจึงบอกความคิดสกปรกของเขาให้ผู้เป็นอาฟัง
“อาว่าถ้าตอนเย่เฉินโทรหาฉินหงเหยียนแล้วหล่อนกำลังวิ่งอยู่บนลู่ จู่ๆ อาก็ทำให้หล่อนร้องขึ้นมาสักรอบ เขาคงจะ…”
เหอเหวินเจี้ยนยิ้มพลางขยี้หัวหลานชาย “เด็กบ้า นายเองก็ยังอุตส่าห์จะสรรหาความคิดบ้าๆ แบบนี้ออกมาได้นะ! ใช้ได้ความคิดแบบนี้ดีใช้ได้เลยนี่ ทำให้เย่เฉินเข้าใจฉินหงเหยียนผิด เย่เฉินอาจจะเลิกกับหล่อนก็ได้หลังจากที่รู้ว่าโดนสวมเขา แต่ในฐานะลูกผู้ชาย เขาจะต้องรู้สึกเสียหน้าอยากเอาคืนหล่อนแน่ๆ พอตอนนั้นฉันก็จะหาผู้หญิงสักคนให้ไปตีสนิทกับเขา น่าจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นแน่
ทันทีที่ฉินหงเหยียนจับได้ว่าเย่เฉินทำเรื่องผิดต่อหล่อน ทั้งสองคนจะต้องเลิกกันแน่ ก็เหมือนกับการได้คะแนนเพราะชู้ตบาสนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องโยนให้ลงห่วง แค่ไปแปะแป้นมันก็นับคะแนนแล้ว! คราวนี้เราก็ใช้แผนโยนลูกบาสให้ไปแปะแป้นก็พอ ก็แค่ทำให้สองคนนั้นเลิกกันให้ได้!”