ตอนที่ 20 คู่รักจอมเสแสร้ง
จีเมิงฉิง เดินเข้ามาในร้านอาหารหลางหมานด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เธอไม่ได้มาเพียงคนเดียวแต่วันนี้เธอเดินจูงมือลูกสาวสุดที่รักของเธอมาด้วย
ร้านอาหารหลางหมานนี้เป็นผลมาจากหยาดเหงื่อแรงกายและน้ำตาของเธอเอง เริ่มตั้งแต่การวางแปลนไปจนถึงการตกแต่งภายในร้าน เธอก็ทำด้วยตนเองทั้งหมดจน ในที่สุดวันนี้ธุรกิจร้านอาหารสไตล์ยุโรปกลางของเธอก็เดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เธอสามารถที่จะผ่อนคลายและหมดความกังวลลงได้โดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งต่าง ๆ อีกต่อไป
ในฐานะที่เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกสาวตัวน้อย ๆ ของเธอเพียงคนเดียว และยังต้องคอยดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะสู้ต่อไปไม่ไหว เธอก็ยังมีลูกสาวคนนี้นี่แหละที่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ของเธอ แค่เธอมองไปยังใบหน้าที่ไร้เดียงสาและน่ารักของลูกสาว เธอก็รู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจในการสู้ต่อไปแล้ว
เมื่อเข้าไปในร้านอาหาร จีเมิงฉิงก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ร้านเหมือนทุกวัน แต่ทันใดนั้นเอง ร่างของเธอกลับนิ่งราวกับเพิ่งจะถูกสาปให้กลายเป็นหิน เธอตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้ ขณะที่สายตาของเธอนั้นหยุดกึกลงที่ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเรียบง่ายสบาย ๆ ที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่อย่างเพลิดเพลิน
ลูกสาวตัวน้อยของเธอรู้สึกสงสัยว่าทำไมแม่ถึงหยุดกะทันหัน เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองแม่แล้วถามออกไปว่า
หม่าม้าหยุดทำไมคะ ?
เมื่อได้ยินเสียงลูกสาวถามขึ้น จีเมิงฉิงก็ฟื้นคืนสติและยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดว่า
ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ… ไปกันเถอะ! พูดจบเธอก็จับมือลูกสาวแล้วพวกเขาก็เข้าไปในออฟฟิศของเธอ แต่เธอยังคงจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่มุมห้องขณะเดินไป
ผู้ชายคนนี้ได้สร้างความประทับใจให้เธออย่างลึกซึ้ง หากไม่ใช่เพราะเขาในครั้งนั้น เธอคงจะพบจุดจบที่น่าเศร้าในต่างแดน ถึงแม้ว่ามันจะผ่านไปสองปีแล้ว แต่ภาพของชายคนนั้นก็ยังคงถูกจารึกอยู่ในสมองของเธออย่างลึกซึ้ง บางครั้งในช่วงเวลาค่ำคืน ร่างที่น่าเย้ายวนของชายผู้นั้นจะคืบคลานเข้าไปในจิตใจส่วนลึกของเธอ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอได้แต่หวังให้มีข่าวเกี่ยวกับชายคนนั้นแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เธอรอคอยมาตลอดระยะเวลาสองปีแต่เธอไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เธอจะได้พบกับเขาอีกครั้งแถมยังเป็นในร้านอาหารของตัวเธอเองเช่นนี้
เมื่อพวกเขาอยู่ในออฟฟิศ ลูกสาวของเธอก็เดินไปที่โซฟาด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง เธอหยิบขนมขึ้นมาทานและเล่นกับตุ๊กตาอย่างมีความสุข
เย่เชียนไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังถูกจับตามองอยู่ เพราะเขากำลังมีความสุขอยู่กับการทานอาหารมื้อค่ำกับหลินโรโร่ว เขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องตื่นตัวในช่วงเวลาแห่งความสุขนี้
เย่เชียนยิ้มบาง ๆ เมื่อขอคำแนะนำจากบริกร แม้ว่าเธอจะซ่อนความรู้สึกของเธอไว้อย่างดีแต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าในใจของเธอกำลังดูถูกเหยียดหยามเขาอยู่ บุคคลประเภทนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไปซึ่งเขาเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่เขาก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องลดระดับตัวเองลงไปเพื่อเสวนากับคนประเภทนี้
ในขณะที่รับประทานอาหารมื้อค่ำกับหลินโรโร่วอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกมีความสุขและไม่อยากที่จะไปทะเลาะวิวาทกับใคร แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกของเขากับหลินโรโร่วที่ได้มานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันสองต่อสอง เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงที่จิตใจงามคนนี้รู้สึกผิดหวัง ดังนั้นเมื่อบริกรคนนั้นแนะนำเนื้อวัวราคาแพง ไข่ปลาคาเวียร์ และไวน์แดง เขาจึงไม่คัดค้านใด ๆ
โรโร่ว ?
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขนั้น จู่ ๆ ก็มีหญิงชายคู่หนึ่งเดินควงแขนกันมาทักทายหลินโรโร่ว
หลินโรโร่วประหลาดใจ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา เธอก็อุทานด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
เอ๊ะ! เธอคือ… ซูย่าหยิงใช่ไหม ? ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้เธอทำงานที่ไหนน่ะ ?
หลินโรโร่วไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเพื่อนร่วมรุ่นจากวิทยาลัยพยาบาล เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง
ฉันสบายดี ตอนนี้ทำงานอยู่ที่สำนักงานการวางแผนครอบครัว ก็ในเมื่อการเป็นพยาบาลมันไม่ทำให้ฉันก้าวหน้านี่นะ แถมแฟนฉันก็ไม่อยากให้ฉันทำงานเหนื่อยจนเกินไปเขาก็เลยช่วยย้ายฉันไปที่สำนักงานการวางแผนครอบครัว ตอนนี้ฉันก็กำลังจัดการโครงการการกุศลบางอย่างอยู่ด้วย จะว่าไปงานที่ฉันทำอยู่นี่ก็น่าจะเรียกได้ว่างานราชการแล้วล่ะนะ แล้วเธอล่ะ ? เธอยังทำงานพยาบาลที่โรงพยาบาลอยู่หรือเปล่า ? ซูย่าหยิงพูดอย่างพึงพอใจกับตัวเองมาก
ใช่จ้ะ ฉันยังทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่เดิม หลินโรโร่วตอบสั้น ๆ เธอไม่ได้โอ้อวดเหมือนกับซูย่าหยิงเพื่อนของเธอที่ดูท่าทางจะพอใจกับตัวเองมาก
โรโร่ว… ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ นะ ความสามารถของเธอมีตั้งมากโข อย่างเธอน่ะไปหางานทำใหม่ไม่ง่ายกว่าเหรอ ? ทำไมยังทนทำงานหนัก ๆ ในฐานะนางพยาบาลอยู่อีกล่ะ ?
ซูย่าหยิงพูดจาเหมือนว่าจะเป็นห่วงหลินโรโร่วมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอกำลังอวดความฉลาดหลักแหลมของตนเอง เพราะในปัจจุบันเธอรู้สึกมีชีวิตชีวาและแสนจะสุขสบาย
หลินโรโร่วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบเพื่อน
ก็การเป็นพยาบาลมันเป็นอาชีพที่ฉันรักนี่นา ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยก็ตามแต่มันก็ทำให้ฉันมีความสุขมาก
ซูย่าหยิงส่ายหัวและเปลี่ยนบทสนทนา
โรโร่ว ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับแฟนของฉัน… นี่ จ้าวเซี่ย เขาทำงานในสำนักงานเขต แต่ในไม่ช้านี้เขาจะย้ายไปที่คณะเทศบาลแล้ว
ดูเหมือนว่าซูย่าหยิงจะพอใจในอาชีพที่ตัวเธอเองและแฟนทำมาก เพราะอากัปกิริยาของเธอนั้นแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแต่มันทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่พวกเธอยังเรียนกันอยู่ ซูย่าหยิงแพ้ให้กับหลินโรโร่วทุกอย่าง เธอไม่เก่งเท่าหลินโรโร่วทั้งในทฤษฎีและการปฏิบัติด้านพยาบาล แม้แต่บุคลิกก็ยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับเธอแล้ว และไม่ว่าหลินโรโร่วจะเก่งแค่ไหน แต่ทว่าในตอนนี้เธอก็ชนะหลินโรโร่วอย่างแท้จริง
หลังจากได้ยินคำแนะนำของซูย่าหญิงแล้ว เย่เชียนที่จิบไวน์แดงของเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำ
ฮ่า ๆ ๆ… เขาคิดในใจว่าไม่มีชื่ออื่นแล้วหรือยังไง ทำไมถึงต้องตั้งชื่อว่า…จ้าวเซี่ย
เมื่อทั้งสามคนเห็นเย่เชียนหัวเราะ พวกเขาก็จ้องมองเย่เชียนด้วยความสงสัย เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า
โทษที ๆ ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่คิดอะไรตลก ๆ ขึ้นมาได้น่ะ คุยกันต่อเถอะ
*อธิบาย: ‘จ้าวเซี่ย’ หมายถึงขอบคุณ แต่ฟังดูเหมือน ‘ซ้าวเซี่ย’ ซึ่งหมายถึงการหลั่งเร็ว
โรโร่ว… นี่แฟนของเธอเหรอ ? ทำไมเธอไม่แนะนำเขาให้เรารู้จักล่ะ สุดหล่อ… นายกำลังไต่เต้าในอาชีพการงานอะไรเหรอ ? ซูย่าหยิงเรียกเย่เชียนว่าสุดหล่อ วิธีที่เธอพูดนั้นเธอเสแสร้งทำเป็นสุภาพ แต่ภายในใจเธอกลับคิดว่าเย่เชียนเป็นคนบ้านนอกและดูถูกเขาอย่างมาก
สไตล์การแต่งตัวสบาย ๆ ของเย่เชียนมีอิทธิพลมาจากการที่เขาไปอยู่ต่างประเทศมาเป็นเวลานาน เขาชอบแต่งตัวสบาย ๆ ตามแบบฉบับวัยรุ่นแถบทวีปอเมริกาซึ่งทำให้ประชาชนคนจีนส่วนใหญ่ไม่สามารถหยั่งถึงรสนิยมเช่นนี้ได้มากนัก มันจึงทำให้ไม่ว่าเย่เชียนจะไปที่ใดก็ล้วนแล้วแต่จะมีคนมองว่าเป็นคนบ้านนอกเสมอ
หลินโรโร่วรู้จักเย่เชียนเพียงแค่สองวันและพวกเขาก็ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น งานของเย่เชียนก็ยังไม่ชัดเจนสำหรับเธอ เมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘เย่เชียนเป็นแฟนของเธอเหรอ ?’ เธอก็ได้แต่เขินอายและไม่สามารถตอบกลับได้แต่อย่างใด
อ้อ… ผมไม่ได้กำลังไต่เต้างานอะไรหรอก ผมเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เท่านั้น เย่เชียนตอบอย่างเฉยเมย
หลังจากได้ยินคำตอบของเย่เชียน สีหน้าที่ดูสุดแสนจะเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูย่าหยิงและจ้าวเซี่ยทันที พวกเขายังหนุ่มยังสาวและเป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งในปัจจุบันพวกเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่เย่เชียนนั้นเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั่วไป แล้วจะเอาอะไรมาเทียบกับพวกเขาได้
ซูย่าหยิงยิ่งพึงพอใจกับตัวเองมากขึ้นไปอีกและคิดในใจว่าหลินโรโร่วที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถขนาดนี้แต่กลับมีแฟนเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัย งานที่จะต้องใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องและอยู่กันไปตลอดชีวิตจนวันตายอย่างไม่มีอนาคต…
อ้อ! ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของ อู่หยาง เราวางแผนว่าจะไปที่บาร์ต่อเพื่อฉลองวันเกิดให้เขา ฉันว่าเธอเองก็ควรมาด้วยนะโรโร่ว ซูย่าหยิงพูดอย่างสุภาพ แต่ทุกคนรู้ว่าเธอนั้นไม่จริงใจ เธอแค่ตั้งใจจะเย้ยหยันหลินโรโร่ว
หลินโรโร่วเธอเป็นเด็กดีและไม่เคยไปที่ผับที่บาร์มาก่อน เมื่อเธอได้ยินซูย่าหยิงพูดแบบนั้น เธอก็หันไปหาเย่เชียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เย่เชียนเองก็วิตกอยู่ในใจ เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไร้เดียงสา แต่ในเมื่อหลินโรโร่วต้องการที่จะไป ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องไปกับเธอด้วย เขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วถามว่า
ที่ไหนเหรอ ? เดี๋ยวเราจะตามไป
โอเค งั้นเจอกันที่บาร์มนต์เสน่ห์สองทุ่มตรงนะ ซูย่าหยิงตอบกลับ
จากนั้นซูย่าหญิงก็ควงแขนของจ้าวเซี่ยด้วยความร่าเริง ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาตลอดจนออกไป จ้าวเซี่ยไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรอื่น เขาเพียงไม่อยากเสวนากับคนบ้านนอกอย่างเย่เชียนก็เท่านั้น