ใครเป็นภรรยาของคุณกันล่ะ ฉันยังไม่ได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับคุณสักหน่อย! หลินโรโร่วพูดอย่างเขินอาย
หัวใจของเธอนั้นเปลี่ยนไปแล้วเหรอที่รัก…? เย่เชียนพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย และเขาก็พูดต่ออีกว่า รู้ไหมว่ามันทำร้ายหัวใจที่เปราะบางของผมมาก…
คุณอย่ามาทำเป็นพูดเองเออเองแบบนี้เลย คุณพูดจาเข้าข้างตัวเองอย่างนี้… ฉันไม่แต่งงานด้วยหรอกนะ
คำตอบของหลินโรโร่วทำให้เย่เชียนตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยิ้มและพูดว่า คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ หัวใจของผมน่ะเป็นของคุณไปหมดแล้วทั้งสี่ห้อง ให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยานได้เลยว่าเย่เชียนจะไม่แต่งงานกับใครอีกแล้ว…
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังเย้าแหย่กัน ก็มีชายหนุ่มสี่คนเดินตรงมาหาพวกเขา ชายกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน พวกนั้นคือพวกของหลี่ตงนั่นเอง และก็เป็นคนเหล่านี้เองที่ถูกเย่เชียนสั่งสอนวิถีแห่งลูกผู้ชายให้ถึงสองครั้ง!
เมื่อเย่เชียนเห็นพวกเขาเดินตรงเข้ามา เย่เชียนก็ยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกนั้นกำลังมาส่งเงินให้เขา
พี่เย่! เมื่อพวกเขามาถึงด้านหน้าของเย่เชียน หลี่ตงก็พูดอย่างนอบน้อม
เย่เชียนพยักหน้าและหันไปหาหยางเจียนกัวก่อนจะพูดว่า พ่อกับเสี่ยวเซ่ลรอผมอยู่ที่รถก่อนนะ เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยกับเพื่อนของผมสักครู่…
หยางเจียนกัวมองไปที่หลี่ตงและอีกสามคนที่มาด้วยกัน เขาเห็นว่าคนเหล่านี้ถึงจะไม่ได้แต่งตัวดีอะไรมากนัก แต่ก็ดูเคารพและสุภาพกับเย่เชียนมาก เมื่อเห็นแบบนี้เขาก็พยักหน้าตอบเย่เยียนแล้วเขากับฮันเซ่ลก็เข้าไปนั่งในรถ
เย่เชียนมองไปที่หลี่ตง เขาส่งสายตาเป็นการบอกใบ้ให้พวกเขาเดินตามไปข้าง ๆ โรงพยาบาล เมื่อเห็นดังนั้นแล้วหลี่ตงและคนอื่น ๆ จึงรีบเดินตามเย่เชียนไป
พี่เย่… เราเตรียมเงินที่พี่ต้องการมาแล้ว ทั้งหมดนี่มีประมาณสองหมื่นหยวนก็ไม่รู้ว่ามันเพียงพอไหม… หลี่ตงก้มหัวยื่นซองเงินที่ห่อด้วยกระดาษน้ำตาลอย่างสุภาพ
เย่เชียนหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ได้มองและดึงเงินออกมาเพียงไม่กี่ใบ จากนั้นเขาก็ส่งมันกลับไปให้หลี่ตงพร้อมพูดว่า เอาเงินนี้ไปดื่มกินกับพี่น้องของนายซะ คิดเสียว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลจากฉันก็แล้วกัน อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านพ้นไปและมาเป็นเพื่อนกันดีกว่า!
หลี่ตงได้ยินดังนั้นก็ค่อนข้างประหลาดใจ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกดีมากเช่นกัน เขาอดคิดไม่ได้ว่าเงินนี่มันน้อยเกินไปหรือเปล่า ? มีใครที่ไหนบ้างที่จะเอาเงินไปมอบให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า ด้วยความสงสัยอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจเอ่ยปากถามเย่เชียนออกไปตรง ๆ
พี่เย่… มันไม่น้อยเกินไปใช่ไหม ? อย่าเพิ่งกังวลไปนะพี่ เดี๋ยวพวกฉันจะรีบไปหามาให้เพิ่ม!
เย่เชียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า ฉันบอกว่าจะให้นาย นายก็รับมันไว้เถอะ ที่จริงแล้ว… ฉันต้องการความช่วยเหลือจากพวกนายนิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าพวกนายจะเต็มใจหรือเปล่า!
ตอนนี้หลี่ตงเห็นว่าเย่เชียนเป็นคนที่ใจกว้างและจริงใจอย่างแท้จริง เขาจึงรับเงินและรีบพูดว่า พี่เย่ต้องการอะไรก็ขอให้พูดมาได้เลย… ตราบใดที่หลี่ตงคนนี้สามารถทำให้ได้ ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟฉันก็จะทำมัน!
เอ่อ… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอก ฉันแค่อยากจะขอยืมรถนายอีกสักวันน่ะ เพราะวันนี้พ่อของฉันเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลและมีกระเป๋าเยอะมาก เลยไม่สะดวกที่จะกลับโดยรถประจำทาง…
หลี่ตงคิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้เสียอีก แต่มันกลับกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเช่นการยืมรถเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่ลังเลที่จะตอบตกลง เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้เลยพี่… ถ้าพี่เย่ต้องการก็เอามันไว้ใช้ก่อนเลย!
ไม่ ๆ… นายไปเอามันคืนได้ที่หน้าบ้านของฉันวันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย ๆ พูดจบ เย่เชียนก็หันหลังเดินกลับไปที่รถ แต่ยังไม่ทันถึงรถ เขาก็หยุดเดินอย่างกะทันหันแล้วหันไปพูดว่า เฮ้! ถ้านายไม่รังเกียจ… เรียกชื่อฉันก็ได้! ในบ้านฉันเป็นพี่คนรอง พวกนายเรียกฉันว่า ‘พี่สอง’ เถอะ
โอ้…! ได้ครับ ‘นายน้อยที่สอง’ เดินทางปลอดภัยนะครับ หลี่ตงพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย เขายังคงพูดกับเย่เชียนอย่างสุภาพเพราะหลังจากคลุกคลีอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน เขาก็ไม่ได้โง่หรือตาบอด เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่บาร์ในคืนนั้น มิหนำซ้ำเย่เชียนก็มีพวกพ้องอย่างหวังหู่ด้วย ดังนั้นหลี่ตงจึงเดาเอาในใจว่าเย่เชียนไม่ใช่คนธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าตอนนี้เย่เชียนจะเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัย แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่ง เย่เชียนจะโบยบินทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซึ่งเขาเองก็อยากเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง และตราบใดที่เขาเดินตามเส้นทางของเย่เชียนแล้ว มันจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายสำหรับตัวเขาเอง
นายน้อยที่สองงั้นเหรอ ? เย่เชียนพึมพำกับตัวเอง เพราะชื่อนี้เขาไม่เคยได้ยินมันมานานมากแล้ว เมื่อแปดปีที่แล้วตอนที่เขามีกลุ่มแก๊งเป็นของตัวเองอยู่ตามท้องถนน น้อง ๆ บางคนก็เรียกเขาแบบนี้
อันที่จริง เย่เชียนเห็นว่าหลี่ตงไม่ใช่คนทรยศพวกพ้อง และเขาก็คลุกคลีอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้มานานแล้ว เย่เชียนจึงคิดว่าหลี่ตงน่าจะช่วยเขาได้มากในอนาคต และการมีเพื่อนเพิ่มมาคนหนึ่งนั้นดีกว่าการมีศัตรูเพิ่มมาคนหนึ่งเป็นไหน ๆ ดังนั้นเย่เชียนจึงแสดงให้หลี่ตงเห็นว่าตัวเขานั้นใจกว้างมาก ซึ่งหลังจากดูท่าทางของหลี่ตงแล้ว เย่เชียนก็พยักหน้าเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ
……
หลังจากที่เย่เชียนรับประทานอาหารกลางวันกับพ่อและฮันเซ่ลที่ร้านอาหารด้านนอกโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อย เย่เชียนก็ส่งพวกเขากลับบ้าน แม้ว่าในตอนแรกหยางเจียนกัวจะดูไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่าการไปทานข้าวที่ร้านอาหารนั้นมันสิ้นเปลืองเกินไปต้องใช้เงินเยอะ แต่เขาไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาดีของลูกชายได้ นอกจากนี้แล้ว เย่เชียนก็ใช้เหตุผลว่านี่เป็นการเฉลิมฉลองการออกจากโรงพยาบาลของพ่อของเขา เพราะฉะนั้นความฟุ่มเฟือยนี้มันไม่ใช่ปัญหาใด ๆ เลย
ในตอนบ่าย เย่เชียนไม่จำเป็นต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยเพราะเขาขออนุญาตอาจารย์ฉินหยูลากิจครึ่งวันแล้ว เขาจึงอยู่พูดคุยกับพ่อของเขาต่ออีกพักใหญ่ ส่วนฮันเซ่ลอยู่ในช่วงกำลังจะสอบ เธอจึงขอตัวไปที่ห้องของเธอเพื่อทบทวนบทเรียน เพราะเนื่องจากเธอต้องอยู่ดูแลพ่อที่โรงพยาบาลหลายวัน ฮันเซ่ลจึงมีเวลาทบทวนบทเรียนไม่มากนัก ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยเวลาที่เธอใช้ไป
จนเวลาห้าโมงเย็น เย่เชียนบอกลาหยางเจียนกัวและรีบตรงไปยังมหาวิทยาลัย ด้านหยางเจียนกัวก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ได้แต่บอกว่าให้กลับบ้านเร็ว ๆ
……
เย่เชียนเรียกรถแท็กซี่และใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงมหาวิทยาลัย ในขณะที่เขาเดินไปที่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย เย่เชียนก็เห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ หลังจากเพ่งมองดูรูปลักษณ์ของเด็กคนนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว เย่เฉียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและตะโกนว่า
เฮ้ย…! นี่มันไม่เร็วเกินไปเหรอ ?
เด็กหนุ่มคนนั้นเดินไปหาเย่เชียนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า แหม บอส… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!
นี่นายอย่าบอกนะว่า… นายแอบสอดแนมฉันน่ะ ? เย่เชียนถามด้วยความสงสัย
ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันล่ะ… ผมแค่คอยอารักขาบอสอย่างลับ ๆ ก็เท่านั้น… บอสเป็นถึงหัวหน้าของหน่วยเขี้ยวหมาป่าของพวกเรา จะให้พวกเราผ่อนคลายและปล่อยให้บอสกลับมายังประเทศจีนตามลำพังได้ยังไง ? เด็กหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
โธ่เอ๊ย…! เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายเกินไปจริง ๆ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกจับตามองมาตลอด โชคยังดีที่เป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาเอง เพราะถ้าหากเป็นศัตรูล่ะก็ เขาคงต้องเสียใจไปนานแล้ว
นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่ประเทศจีน ? ฉันจำได้ว่าฉันเพิ่งจะแจ้งตำแหน่งของฉันไปเองหนิ เย่เชียนงุนงงเล็กน้อย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่งจะระบุตำแหน่งของเขาในประเทศจีนให้หน่วยเขี้ยวหมาป่าทราบเมื่อไม่นานมานี้เอง…
บอส… นี่บอสกำลังอยู่ในเมืองที่อ่อนไหวมากนะ อีกอย่าง บอสก็ดูจะผ่อนคลายกับบ้านเกิดของตัวเองมากเกินไป บอสลืมไปแล้วเหรอ ? สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดดูราวกับว่าเขากำลังตบหน้าเย่เชียนเพื่อเรียกสติของเย่เชียนให้กลับคืนมา
บัดซบเอ๊ย…! ฉันคงจะชะล่าใจเกินไปจริง ๆ! เย่เชียนเหลือบมองเขาและถามอีกว่า ว่าแต่… นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่ ?
โธ่บอส… บอสลืมโทรศัพท์ของพวกเราไปแล้วเหรอ ? ทุกเครื่องของหน่วยเราถูกติดตั้งระบบ GPS ที่สามารถระบุตำแหน่งได้ทั่วโลกเชียวนะ เป็นแบบนี้แล้วพวกเราจะไม่รู้ได้ยังไงว่าบอสอยู่ที่ไหนน่ะ ? เด็กหนุ่มพูดอย่างกระวนกระวาย