ในขณะที่เย่เชียนกำลังวุ่นอยู่กับการทำครัวนั้น จู่ ๆ จ้าวหยาที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เดินงัวเงียลงบันไดมาในชุดนอนและเข้าไปในครัวโดยไม่ตั้งใจ เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าตอนนี้มีผู้ชายอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
“เค่อเอ๋อร์… พี่ทำอาหารเช้าให้ฉันแล้วหรือยัง ? ฉันหิวมากเลย” จ้าวหยาพูดอย่างสะลึมสะลือ
เย่เชียนหันกลับไปเห็นจ้าวหยาในชุดนอนที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นชุดชั้นในเสียมากกว่า เธอใส่แค่สายเดี่ยวบาง ๆ ซึ่งเผยให้เห็นหน้าอกที่ขาวเนียนของเธอเกือบครึ่งหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองมันและคิดว่าการที่จ้าวหยาทำตัวแบบนี้มันเป็นการยั่วยวนและยั่วยุให้เขากระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าจ้าวหยาจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอขยี้ตาที่สะลึมสะลือของเธอและเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเธอก็ตกใจและร้องออกมา
“กรี๊ดดดดดดดด!” จากนั้นเธอก็รีบเอามือปิดหน้าอกตัวเองและถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“นาย… นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ ?!” จ้าวหยาถามขณะที่เธอโผล่ออกมาจากประตูครัวแค่ส่วนหัวเท่านั้น
“ฉันหิวจนเวียนหัวก็เลยมาที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน ฉันทำเผื่อไว้ให้แล้ว… เธอเอาไปกินสิ” เย่เชียนพูดพร้อมถือชามบะหมี่เต้าเจี้ยวเดินไปหาจ้าวหยา
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ! อย่าเข้ามา!” จ้าวหยาพูดด้วยความตื่นตระหนก เธอเอียงหัวไปมาและคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าเมื่อคืนนี้ฉินหยูตกลงที่จะให้คนขี้โกงคนนี้มาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยนี่นา แล้วเธอลืมไปได้ยังไงกัน ?
กำลังคิดเพลิน ๆ แต่เมื่อจ้าวหยาได้กลิ่นหอมลอยมาจากชามบะหมี่เต้าเจี้ยว ท้องของเธอก็ร้องขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เธอจึงรีบพูดว่า “บอกฉันมานะว่านายมีเจตนาที่ไม่ดีกับฉันใช่มั้ย ?”
“เฮ้อ… ไอเราก็อุตส่าห์หวังดี แต่ถ้าเธอไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร” พดจบเย่เชียนก็นำชามบะหมี่ไปเก็บไว้ในตู้กับข้าว จากนั้นเขาก็หยิบชามของตัวเองแล้วเดินออกไปจากห้องครัว
“นี่… เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เพราะงั้นนายอย่ากินส่วนของฉันล่ะ” จ้าวหยาพูดพลางรีบวิ่งขึ้นบันไดไป ไม่นานเธอก็เดินลงบันไดมาในชุดไปรเวท จากนั้นก็รีบหยิบชามบะหมี่จากตู้กับข้าวแล้วไปนั่งกินด้วยความหิวโหย
เย่เชียนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเหม่อลอย สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความอึ้งทึ่งบางอย่าง
จ้าวหยาตกใจเล็กน้อย เธอถามเขาว่า “นายมองอะไรของนายยะ ? นายไม่เคยเห็นคนสวยกินข้าวมาก่อนหรือไง ?”
เย่เชียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเพียงพูดว่า “นี่ ก่อนกินเธอได้ล้างหน้าแปรงฟันหรือยังเนี่ย ?”
จ้าวหยาทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าเธอยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันจึงวางตะเกียบแล้ววิ่งเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นาน เธอก็รีบกลับออกมาราวกับกลัวว่าเย่เชียนจะแย่งกินบะหมี่ของเธอ
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน่ะมีฝีมือขนาดนี้ ฉันไม่เคยกินบะหมี่เต้าเจี้ยวที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยนะ” จ้าวหยาพูดไปกินไป ท่าทางการกินของเธอดูมูมมามแต่เธอดูเอร็ดอร่อยมาก
“ถ้าเธอชอบ… พอเราแต่งงานกันฉันจะทำให้เธอกินทุกวันเลยดีไหมล่ะ ?” เย่เชียนถามหยอก ๆ
เย่เชียนเดาว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คงจะเริ่มโต้เถียงกับเขาอีกยก แต่ทว่าจ้าวหยากลับแค่ส่งสายตาดุร้ายมาให้เขาแล้วนิ่งเงียบไป เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าจ้าวหยากำลังเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนทัศนคติของเธอที่มีต่อเขาอย่างนั้นเหรอ ? แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้วเขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการที่จะเปลี่ยนทัศนคติของจ้าวหยาได้ มันยากเสียยิ่งกว่าการทำให้สหรัฐอเมริกายอมจำนนเสียอีก
จ้าวหยาดูค่อนข้างจะหิวมากเลย เพราะนอกจากที่เธอจะกินส่วนของเธอไปจนหมดแล้ว เธอยังกินส่วนของฉินหยูไปอีกด้วยโดยอ้างว่าฉินหยูกำลังลดน้ำหนักอยู่ และอีกอย่างฉินหยูก็ไม่กินอาหารเช้า จากนั้นเธอก็จับท้องของตัวเองแล้วเรอออกมาเอิ้กใหญ่
“เอิ้ก! ฉันอิ่มแล้ว… ฉันจะกลับไปนอนละนะ… หนังตาฉันตอนนี้น่ะมันหนักมากเลยแหละ”
เย่เชียนตกตะลึงมาก เขาไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงร่างบางจะสามารถกินจุได้ถึงขนาดนี้ เธอกินไปตั้งเยอะขนาดนั้นแล้วพอกินเสร็จก็ยังจะไปนอนต่ออีกเนี่ยนะ ?!
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วเดินไปที่ห้องครัวเพื่อล้างจานชาม การเป็นผู้ชายนั้นมันไม่ง่ายเลย
เนื่องจากวันนี้ทั้งฉินหยูและจ้าวหยาอยู่บ้าน เย่เชียนจึงคิดว่ามันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นจึงโทรศัพท์หาหลี่เหว่ยยี่เพื่อขอที่อยู่ของเขาแล้วออกจากบ้านไปในทันที
……
เนื่องจากเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปเพิ่งจะเข้ามาทำธุรกิจในเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน มันจึงทำให้ธุรกิจของพวกเขาในเมืองนี้ยังไม่ใหญ่โตมากนัก พวกเขาเช่าอาคารสำนักงานเพียงตึกเดียวเพื่อตั้งเป็นสำนักงานใหญ่ ถึงแม้ว่าธุรกิจในปัจจุบันของพวกเขาในจีนจะยังไม่ใหญ่โต แต่พวกเขาก็เป็นถึงกลุ่มการเงินระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนของพวกเขาเป็นอย่างมากเพราะจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก
การปล้นในคืนก่อนนั้นทำให้รัฐบาลรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เพราะถ้าหากเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปตัดสินใจถอดถอนการลงทุนในเซี่ยงไฮ้ออกไป มันก็จะเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่สำหรับประเทศเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปประกาศว่าพวกเขาจะจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองเพื่อเป็นการรับประกันว่าการลงทุนของพวกเขาจะไม่เกิดอันตรายใด ๆ อีก สภากลางก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลงและอนุมัติในทันที
นอกจากนี้ หากไม่ใช่เพราะสมาชิกหน่วยเขี้ยวหมาป่าที่แฝงตัวเป็นบุคลากรของบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วล่ะก็ พวกรัฐบาลก็คงไม่สามารถมีหัวอยู่บนบ่าได้อีกต่อไป เพราะว่าบรรดาแขกที่ไปร่วมงานราตรีในคืนนั้นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นบุคลากรที่สำคัญของประเทศนี้ทั้งสิ้น
เย่เชียนไม่ได้มีหน้าที่ในกิจการของเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปมากนัก เขาเพียงแค่รอตรวจสอบรายงานทางการเงินเป็นครั้งคราวเพียงเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าเย่เชียนเป็นเหมือนดั่งซีอีโอใหญ่ที่เฝ้ารอแค่ผลสรุปรายได้เท่านั้นเอง
หลังจากนั้นไม่นาน เย่เชียนก็มาถึงสำนักงาน หลี่เหว่ยยี่และแจ็คกำลังรอเขาอยู่ที่ชั้นล่าง และเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา แจ็คและหลี่เหว่ยยี่ก็รีบเดินไปต้อนรับเขาในทันที
“ไปคุยกันที่ชั้นบนเถอะ…” เย่เชียนพูด จากนั้นก็เดินต่อไป
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าห้องสำนักงานห้องหนึ่ง แจ็คก็กดปุ่มลับบนผนัง หลังจากนั้นส่วนหนึ่งของผนังก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นประตูข้างในซึ่งเป็นห้องลับอีกที เย่เชียนสังเกตดูการตกแต่งภายในและเห็นว่ามันไม่ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบเลยราวกับว่าแจ็คได้เตรียมการทุกอย่างมานานแล้ว
ภายในห้องลับนั้นมีหญิงสาวรูปร่างบอบบางและงดงามนั่งอยู่ แต่เมื่อเธอเห็นเย่เชียนและคนอื่น ๆ เข้ามา เธอก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
“นายถามความเป็นมาของเธออย่างละเอียดหรือเปล่า ?” เย่เชียนหันไปถามหลี่เหว่ยยี่
หลี่เหว่ยยี่ยักไหล่และพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้ปิดปากเงียบสนิท เธอไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเราเลย ผมลองมาหลายวิธีแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ”
เย่เชียนพยักหน้าและเดินไปข้างหน้าช้า ๆ จนกระทั่งเขามาอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว “คุณดูเหมือนไม่ใช่คนจีนเลย คุณต้องการอะไรงั้นหรือ ?”
“ฆ่าฉันซะ!” หญิงสาวพูดโดยไม่มีร่องรอยของความกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เราไม่มีความเกลียดชังหรือความบาดหมางกัน แล้วทำไมผมถึงต้องฆ่าคุณด้วยล่ะ ?” เย่เชียนพูดเบา ๆ และพูดต่ออีกว่า “ถ้าให้ผมเดานะ…คุณมาจากดาร์กลิลลี่ใช่ไหม ?”
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็พูดว่า “อย่าคิดว่าจะมีอะไรหลุดออกมาจากปากฉันได้… ฉันแนะนำให้พวกคุณล้มเลิกความพยายามดีกว่า”
เย่เชียนแสยะยิ้มและมองไปที่หลี่เหว่ยยี่ จากนั้นก็พูดว่า “ปล่อยเธอไปซะ!”
หลี่เหว่ยยี่ชะงักไปชั่วครู่และจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวเองก็ตกใจอย่างสุดขีดเช่นกัน เพราะเมื่อเธอถูกหลี่เหว่ยยี่จับตัวได้นั้นเธอก็เตรียมใจและพร้อมที่จะตายแล้ว เธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะถามคำถามเพียงไม่กี่คำถามแล้วจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ
เธอมองใบหน้าที่ดูสงบของชายหนุ่มตรงหน้า และพยายามคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะปล่อยเธอไปเสียได้